-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
หมวด ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
เหรียญยืน ร.6 หลังรูปเหมือนเจ้าคุณนรฯ พิมพ์ใหญ่ ปี 2513
ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | เหรียญยืน ร.6 หลังรูปเหมือนเจ้าคุณนรฯ พิมพ์ใหญ่ ปี 2513 |
อายุพระเครื่อง | 54 ปี |
หมวดพระ | ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี |
ราคาเช่า | 650 บาท |
เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ | |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | จ. - 15 เม.ย. 2567 - 21:10.15 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | จ. - 15 เม.ย. 2567 - 21:10.34 |
รายละเอียด | |
---|---|
เหรียญยืน ร.6 หลังรูปเหมือนเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ เนื้อทองแดงรมดำ พิมพ์ใหญ่ ปี 2513 เข้าพิธีปลุกเสก ปี 2513 พระผิวเดิม ๆ ไม่ผ่านการใช้ (บล็อคแตก) ชอบอ่าน ชอบเล่าเรื่อง 5 กรกฎาคม 2016 · อดีตมหาดเล็กรัชกาลที่ 6 ที่ยอมบวชตลอดชีวิตเพื่อพระองค์ท่าน ▼ ท่านเจ้าคุณนรฯ ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) ชีวิตเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งรับราชการ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี วันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันมาฆะบูชา คือวันเกิดของบุตรชายคนหัวปีของพระนรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์) นายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี และนางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์) ยังความโสมนัสให้แก่ผู้เป็นบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง ท่านนายอำเภอบางปลาม้าได้ตั้งชื่อบุตรชายคนหัวปีของท่านว่า "ตรึก" เมื่อทารกผู้ได้นามว่า "ตรึก" นี้เจริญวัยขึ้น ในฐานะเด็กน้อยเรือนร่างแบบบางผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อถึงวัยสมควรเล่าเรียนหนังสือก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในพระนคร วันหนึ่งได้มีงานเลี้ยงเป็นพิธีในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่จำนวนมหาดเล็กเด็กชามีไม่พอ สำหรับตำแหน่งพนักงานเดินโต๊ะและรับใช้อื่น ๆ นักเรียนรัฐศาสตร์ที่มีหน้าตาและหน่วยก้านดี จึงถูกเกณฑ์ไปช่วยในหน้าที่ดังกล่าว นักเรียนรัฐศาสตร์ที่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งนี้ ก็ได้มีนายตรึกรวมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ และหน่วยก้านของหนุ่มน้อยตรึกเข้า ก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถามถึงเหล่ากอพงศ์พันธุ์ เมื่อพระองค์ทราบจะแจ้งดีแล้วก็ดำรัสว่า "เมื่อเรียนจบแล้วมาอยู่กับข้า" เด็กชา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี เด็กชา คือบุคคลที่ทำงานรับใช้เจ้านายในรั้วในวัง มักเรียกขานตำแหน่งแบบควบรวมว่า มหาดเล็กเด็กชา ซึ่งแท้จริงแล้วตำแหน่งมหาดเล็กและเด็กชาเป็นตำแหน่งที่แยกจากกัน แต่ทำงานอยู่ในกองเดียวกัน หน้าที่คล้ายกัน คือรับใช้พระมหากษัตริย์และเจ้านายในพระราชวัง เด็กชาคือข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ทำงานรับใช้อยู่ในสังกัดกรมมหาดเล็กนั่นเอง นาย"ตรึก"ได้ศึกษาชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดโสมนัส ชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ชั้นอุดมศึกษา ที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนหอวัง (ต่อมาได้ยกฐานะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับประกาศนียบัตรในวิชารัฐศาสตร์ เมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้เข้าซ้อมรบเสือป่าที่ค่ายหลวง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตรและพอพระราชหฤทัย จึงโปรดเกล้าฯ รับสั่งชวนให้เข้ารับราชการในราชสำนักนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเหตุนี้เองเมื่อหนุ่ม “ตรึก” เรียนสำเร็จรัฐศาสตร์แล้ว แทนที่จะได้เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยตามวิชาที่เรียนสำเร็จ ตามความประสงค์ของบิดาผู้เป็นนักปกครอง แต่กลับไปเป็นข้าราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง ในตำแหน่ง ต้นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐานและเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็ก ท่านได้ปฏิบัติงานด้วยความวิริยะอุตสาหะ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ถวายชีวิตและความสุขส่วนตัว เพื่อพระองค์ท่านด้วยความจงรักภักดีและความกตัญญูเป็นที่ยิ่ง ด้วยความเอาใจใส่ต่อราชการ จึงทำให้ท่านก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอย่างรวดเร็ว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก และพระราชทานนามสกุลให้ว่า “จินตยานนท์” หนุ่ม “ตรึก” รับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคบาทเพียงไม่ทันถึงปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “หลวงศักดิ์นายเวร” ต่อมาไม่ช้ามินานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น “เจ้าหมื่นศรีสรรเพชร” พออายุ ๒๕ ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้ากรมห้องพระบรรทมเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น “พระยาพานทอง” ราชทินนามว่า "นรรัตนราชมานิต" เรียกขานกันว่าพระยานรรัตนราชมานิต เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ซึ่งเป็นพระยาที่หนุ่มที่สุดในสมัยนั้น และต่อมาได้เป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า อ่านข้อความ ดูเหมือนยังมีคำว่ามหาดเล็กไล่กาอีก ที่เป็นตำแหน่งให้เด็ก ๆ ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้เด็กผู้ชายที่เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังกับญาติเมื่อยังเล็ก เป็นพนักงานคอยช่วยไล่กาขณะที่ทรงบาตร จึงเกิดมหาดเล็กขึ้นอีกประเภทหนึ่ง ครั้งนั้นเรียกกันว่ามหาดเล็กไล่กา ที่มา http://www.monnut.com/board/index.ph...action=search2 พร้อมกับที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองให้นี้ ได้พระราชทานที่ดินเพื่อให้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแทนเช่าอยู่ ที่ดินที่พระราชทานให้นั้นมีจำนวนถึง ๔ ไร่ อยู่ตรงเชิงสะพานราชเทวี ตรงที่มีซอยชื่อ “ซอยนรรัตน” ปัจจุบันนี้ ขณะที่รับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ปล่อยเวลาว่างให้ผ่านไปได้ค้นคว้าศึกษาวิชาต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่นวิชาลัทธิโยคี ทางดูลายมือและรูปร่างลักษณะบุคคล สั่งตำราจากอังกฤษ อเมริกามาค้นคว้า จนมีความชำนิชำนาญทางด้านดูลายมือและรูปลักษณะบุคคล เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำมาก แต่เป็นที่น่าเสียดาย ต่อมาภายหลังพระยานรรัตนราชมานิตได้เผาตำหรับตำราโหราศาสตร์จนหมดเกลี้ยง เป็นเพราะได้ทำนายทายทักผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ให้แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระยานรรัตนราชมานิตจึงเลิกทำนายทายทักแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนี้ยังได้ศึกษาภาษาฝรั่งเศสจากมองซิเออร์เอ.เค.จนกระทั่งแตกฉาน สามารถแปลตำราภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ส่วนทางด้านภาษาอังกฤษนั้น พระยานรรัตนราชมานิตท่านมีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ จึงทรงโปรดปรานมาก และทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ เรียกสถาปนิกฝีมือเยี่ยมจากอิตาลีผู้หนึ่งมาออกแบบ เพื่อทรงสร้างที่อยู่ให้แก่พระยานรรัตนราชมานิต ซึ่งปล่อยที่ดินที่พระราชทานให้รกร้าง หญ้าพงขึ้นเต็มที่ดิน มิเหมือนกับพระยาคนอื่น ๆ พอได้รับพระราชทานที่ดิน ก็เริ่มก่อสร้างที่พักเสียจนหรูเพื่อประดับเกียรติอย่างเช่น ท่านพระยารามราฆพ ก็ได้สร้างคฤหาส์นอันโอ่อ่าด้วยหินอ่อนอิตาเลียน แล้วตั้งชื่อคฤหาส์นหลังนั้นว่า บ้านนรสิงห์ (ปัจจุบันเป็นทำเนียบของรัฐบาล) พระยาอนิรุธเทวาก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอฬารเหมือนกัน แล้วตั้งชื่อว่า บ้านบรรทมสินธุ์ (ปัจจุบันเป็นบ้านสำหรับรองรับแขกเมืองของรัฐบาล) พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) อดีตอธิบดีกรมชาวที่ (ดั้งเดิมจะเรียกว่า จางวางกรมชาวที่) ผู้มีหน้าที่ดูแลพระราชฐานที่ประทับทั้งหมด ได้สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อบ้านนี้ว่า มนังคศิลา อันหมายถึงที่ประทับ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์) มีแต่พระยานรรัตนราชมานิตผู้เดียวเท่านั้น ที่มิได้ยินดียินร้ายต่อที่ดินที่พระองค์ท่านพระราชทานให้เลย พระองค์ท่านจึงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ แต่พระยานรรัตนราชมานิตกลับปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ โดยสิ้นเชิง ถึงแม้พระองค์จะทรงกริ้วก็สุดแล้วแต่พระกรุณา พระยานรรัตนราชมานิตได้กราบบังคมทูลขอให้ยับยั้งพระราชประสงค์ หากทรงสร้างคฤหาสน์ขึ้นบนที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แม้จะเอาตัวท่านไปประหารชีวิต ท่านก็จะทูลเกล้าฯ ถวายคืนทั้งคฤหาสน์และที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ ล้นเกล้าฯ จึงต้องตามใจพระยานรรัตนราชมานิต หมายเหตุ อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เด็กเมื่อวานซืน อ่านข้อความ บุคคลในข้อความสีน้ำเงินน่าจะหมายถึง พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) อดีตอธิบดีกรมชาวที่(ดั้งเดิมจะเรียกว่า จางวางกรมชาวที่) ผู้มีหน้าที่ดูแลพระราชฐานที่ประทับทั้งหมด และพระราชทานชื่อบ้านนี้ว่า มนังคศิลา อันหมายถึงที่ประทับ ครับ ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/บ้านมนังคศิลา __________________ พระยานรรัตนราชมานิตเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่การงาน ยากที่ใครเสมอเหมือนได้ และเป็นผู้ที่ทำอะไรทำจริง ไม่ถือตัว และไม่แบ่งชั้นวรรณะ แม้แต่เครื่องแต่งกายก็สวมใส่อย่างธรรมดา คือ เสื้อขาว กางเกงขาว มักจะชอบเดินไปไหนมาไหนเสมอ พระยานรรัตนราชมานิตให้ข้อคิดในการเดินว่า นั่นคือการออกเอ็กเซอไซส์ไปในตัว บางครั้งพระยานรรัตนราชมานิตก็จะนั่งรถลาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รถเจ๊ก" สมัยนั้นคนจีนมีอาชีพรับจ้างลากรถเป็นส่วนมาก และถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ดี นึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ขณะที่พระยานรรัตนราชมานิตนั่งอยู่บนรถลากมองเห็นคนจีนลากรถเหนื่อยหอบ ท่านเจ้าคุณก็จะลงมาสับเปลี่ยนกับคนจีน ลากรถแทนคนจีนลากรถเสียเองก็ยังมี ทำความแปลกใจให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ที่พบเห็นทุกคน เลยกลายเป็นเสียงซุบซิบเล่าสู่กันฟังจนหนาหู แต่พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้สนใจต่อข่าวลือที่เป็นมงคล และอัปมงคลแต่ประการใดเลย พระยานรรัตนราชมานิตได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ด้วยความจงรักภักดีเรื่อยมา จนกระทั่งล้นเกล้าฯ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ก็ขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อมา ก็มีพระราชประสงค์อยากจะได้ตัวพระยานรรัตนราชมานิตไว้ในราชการ จึงรับสั่งให้เจ้าคุณไพชยนเทพ (ทองเจือ ทองใหญ่) ไปติดต่อเพื่อขอชุบเลี้ยงเยี่ยงรัชกาลที่ ๖ แต่พระยานรรัตนราชมานิต ผู้ยึดมั่นในคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายนั้นไม่ดีแน่" จึงได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ไปว่า "ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงชุบเลี้ยงมา เหมือนกับเอาตะกั่วมาชุบให้เป็นทอง ถึงล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๗ จะทรงชุบเลี้ยงให้ดีปานใด ก็เปรียบเหมือนกับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น" ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จะทรงให้ใครมาติดต่อกับพระยานรรัตนราชมานิตหลายครั้งหลายหน แต่พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ตอบตกลงสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงวันถวายพระเพลิงพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงได้สละทรัพย์สมบัติ มอบที่ดิน ๔ ไร่และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแก่วัดเทพศิรินทราวาส และอุปสมบทเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) เป็นพระอุปัชฌาชย์ ได้รับฉายาทางสมณเพศว่า "ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ" และได้ครองสมเพศตลอดมาจนถึงมรณภาพ หมายเหตุ ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สุธรรม ที่จริงข้อความช่วงนั้นไม่ครบครับ ท่านเจ้าคุณนร ฯ ถวายพระพรว่า "ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงชุบเลี้ยงมา เหมือนกับเอาตะกั่วมาชุบให้เป็นทอง ถึงล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๗ จะทรงชุบเลี้ยงให้ดีปานใด ก็เปรียบเหมือนกับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น" พระยานรรัตนราชมานิตได้บอกว่าตำแหน่งของท่านนี้ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตก็จะบวชถวายพระราชกุศล มีตัวอย่างมาเสมอ แต่ไม่มีใครบวชถวายตลอดชีวิตตั้งแต่หนุ่มเหมือนท่าน เหตุใดท่านจึงได้มาบวชที่วัดเทพศิรินทราวาสก่อน ในเมื่อบ้านท่านก็อยู่ใกล้วัดโสมนัส และท่านเองก็เรียนที่วัดโสมนัส ท่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดเทพศิรินทราวาสมาก่อนหรือ ตอนนี้แหละที่วิชาดูลายมือ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของท่าน เมื่อท่านตัดสินใจแน่วแน่ที่จะบวชแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่า การบวชนี้ก็เท่ากับว่าได้เกิดในเพศใหม่ มีพระอุปัชฌาย์เป็นพ่อ ฉะนั้นท่านก็ควรจะเลือกพ่อให้ดีที่สุด ฯลฯ |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...
อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments