ประวัติ เมืองเชียงใหม่ - พระกรุ - webpra

เมืองเชียงใหม่

ประวัติ พระกรุ


เมืองเชียงใหม่

                อาณาจักรล้านนา เกิดขึ้นจากความพยายามของพญามังรายที่ขยายพระราชอำนาจจากบริเวณที่ราบลุ่มเชียงรายมาสู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนได้สำเร็จเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ปรากฏชื่อเรียกตามเอกสารจีนว่า ป่าไป๋ซีฟู แปลว่าอาณาจักรแห่งสนมแปดร้อย อาณาจักรแห่งนี้เคยถูกจักรพรรดิกุบไลข่าน แห่งมองโกล ส่งกองทัพโจมตี เนื่องจากพญามังรายให้ความช่วยเหลือผู้นำไทยใหญ่ขับไล่กองทัพมองโกลไปจากพุกาม

                ตามประวัติกล่าวว่า พญามังรายสืบเชื้อสายมาจากวงศ์ลาวจักราช ทรงเป็นดอรสของพญาลาวเมง และนางเทพคำขยายซึ่งเป็นธิดาท้าวฮุ่งแกนชาย(ท้าวแก้วซ้ายเมือง) เจ้าเมืองเชียงรุ่ง ประสูติที่เมืองหิรัญนครเงินยางเมื่อประมาณ พ.ศ. 1728 พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา เมื่อปี พ.ศ. 1804 ขณะที่มีพระชนมายุ 22 พรรษา นับว่าเป็นกษัตริย์ในวงศ์ลาวจักราชองค์ที่ 25 ต่อมาได้ทรงสร้างเมืองเชียงรายเป็นเมืองหลวงแทนใน พ.ศ. 1805 หลังจากนั้นก็มีพระราชประสงค์จะขยายอาณาเขตออกไปให้กว้างขวาง โดยในครั้งแรกได้ทรงเข้ายึดเมืองหริภุญไชยเป็นผลสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ. 1835 ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ทรงทำสัญญาพระราชไมตรีกับพญาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) แห่งเมืองสุโขทัย และพญางำเมือง แห่งเมืองพระเยา เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและหากเพลี่ยงพล้ำพระองค์จะได้มีกำลังสนับสนุนจากกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ เมื่อพญามังรายยึดครองเมืองหริภุญไชยได้เป็นผลสำเร็จ และคงจะพิจารณาแล้วว่าเมืองหริภุญไชยไม่เหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการปกครองดินแดนล้านนาคงเป็นเพราะเมืองหริภุญไชยมีวัดวาอารามมากทำให้ยากต่อการขยายเมือง จึงได้ทรงมอบให้อ้ายฟ้าขุนนางของพระองค์ที่มีส่วนร่วมในการยึดเมืองหริภุญไชยปกครองต่อไป

                จากนั้นพญามังรายได้ทรงสร้างเวียงกุมกามในราวปี พ.ศ. 1837 แต่เนื่องจากเวียงกุมกามมีขนาดเล็กมากประกอบกับที่ตั้งของเวียงกุมกามอยู่ในบริเวณที่ลุ่มต่ำมากเกินไปจึงเกิดน้ำท่วมอยู่เสมอตำบลนั้นเป็นที่ลุ่มน้ำยามฤดูพรรษา ช้าง ม้า โค กระบือ หาที่อาศัยมิได้ และหลักฐานจากการขุดค้นที่เวียงกุมกามในบริเวณวัดอีก้างกับวัดปู่เปี้ยประกอบกับการศึกษาด้านธรณีวิทยา ได้พบว่าตัวโบราณสถานจมอยู่ใต้ดินระดับความลึกจากชั้นดินปัจจุบัน 1.80 – 2.30 เมตร และมีชั้นดินตะกอนทรายทับถมอยู่ด้วย ซึ่งดินตะกอนทรายเหล่านี้เกิดจากการพัดพาของกระแสน้ำ เมื่อเป็นดังนั้นพญามังรายจึงต้องพยายามหาที่แห่งใหม่ เพื่อสร้างศูนย์ในการปกครองและทรงเห็นว่าบริเวณเขาดอยสุเทพ (อุสุจบรรพต) เป็นที่ซึ่งมีชัยภูมิเหมาะสมจึงได้ทรงเชิญพญาร่วง(พ่อขุนรามคำแหง) และพญางำเมือง พระสหายมาร่วมพิจารณาถึงภูมิและการวางผังเมือง

                ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของพญามังรายพระองค์ได้ทรงวางรากฐานความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ล้านนาในหลายๆด้าน ทั้งด้านกฎหมาย ด้านการปกครองและด้านการบำรุงพุทธศาสนา เป็นต้น

                ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพญามังรายในปี พ.ศ. 1854 ความสำคัญของเมืองเชียงใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะปรากฏหลักฐานว่า กษัตริย์ราชวงศ์มังรายองค์ต่อๆมาได้เสด็จไปประทับที่เมืองเชียงรายหรือไม่ก็ที่เมืองเชียงแสน ส่วนเมืองเชียงใหม่ทรงให้พระราชโอรสปกครองแทน ทำให้เมืองเชียงใหม่อยู่ในฐานะที่เปรียบเสมือนเป็นเมืองลูกหลวง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในช่วงระยะเวลานั้นดินแดนในเขตเชียงรายและเชียงแสนไม่มีความมั่นคงเพียงพอ จนกระทั่งในสมัยของพญาผายูขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 5 ระหว่างปี พ.ศ. 1879-1898 ฐานะของเมืองเชียงใหม่ก็ได้หวนกลับคืนโดยมีพญาผายูทรงประทับที่เชียงใหม่คงเป็นเพราะดินแดนตอนบนมีความมั่นคงเพียงพอแล้ว

                ต่อมาในสมัยของพญากือนา (พ.ศ.1898-1928) ความเจริญรุ่งเรืองของล้านนามีมากขึ้นซึ่งน่าจะเป็นเพราะเวลานั้นไม่มีการศึกสงคราม ทำให้พระองค์ทรงมีเวลาทำนุบำรุงบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศาสนา

                นอกจากนี้แล้วพญากือนาทรงโปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนยอดดอยสุเทพซึ่งก็คือ พระธาตุดอยสุเทพนั่นเอง

                ในปี พ.ศ. 2060 เป็นต้นมา อาณาจักรล้านนาก็เริ่มเสื่อมลง มีการก่อการกบฏ การปลงพระชนม์ กษัตริย์องค์ต่อๆมา เหล่าขุนนางในเมืองเชียงใหม่และขุนนางหัวเมืองต่างๆ เกิดความแตกแยกแย่งชิงความเป็นใหญ่และในที่สุดอาณาจักรล้านนา ก็ตกอยู่ในอำนาจของพม่า เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมายึดเมืองเชียงใหม่ได้ในปี พ.ศ. 2110

                อาณาจักรล้านนาอยู่ในความปกครองของพม่าเป็นเวลากว่าสองร้อยปีจนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าตากสิน ล้านนาก็ได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อไทยร่วมมือกันขับไล่พม่าออกไปสำเร็จในปี พ.ศ. 2317 แล้วจึงตกเป็นเมืองประเทศราชของไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา

                เมืองเชียงใหม่เคยรุ่งเรืองสุดขีดในอดีต ศิลปวัตถุมีความรุ่งเรืองตาม ส่วนใหญ่จะได้แก่ เทวรูปที่ทำจากปูนปั้น พระพุทธรูปสมัยต่างๆ มีทั้งศิลปะสุโขทัย เชียงแสนยุคต้นถึงยุคปลาย และที่มีศิลปะของลังกาก็มีส่วนพระเครื่องนั้นของเชียงใหม่จะมีน้อยกว่าจังหวัดใหญ่อื่นๆ ที่สำคัญๆ ก็ได้แก่พระพิมพ์ต่างๆ ที่ทำจากเนื้อดิน กรุเวียงท่ากาน(เมืองหลวงเก่าของเชียงใหม่) และที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ พระที่ทำจากหินแกะสมัยเชียงแสนเป็นหินสีต่างๆ ที่ขุดค้นพบได้จากอำเภอฮอด ซึ่งเป็นพระที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะ ฝีมือ และวัสดุในการทำ


ข้อมูลอ้างอิง : คัดลอกมาจาก "หนังสือ อมตพระกรุ"
ทางทีมงานขอขอบคุณทางเจ้าของหนังสือมา ณ โอกาสนี้



วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารภาพ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เมืองเชียงใหม่
( เจ้าของภาพ : http://www.tour-laos.com)


Top