เหรียญหลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน - webpra

ประมูล หมวด:พระเกจิภาคอีสานเหนือ

เหรียญหลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน

เหรียญหลวงปู่เครื่อง  วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน เหรียญหลวงปู่เครื่อง  วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง เหรียญหลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน
รายละเอียดเหรียญหลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี ปี 2520 รุ่นรวมใจสู่ชายแดน

หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร ท่านเกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ แก่กว่าหลวงปู่มั่น ๓ ปี หลวงปู่มั่นเกิดปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ที่บ้านนาหมี ตำบลนายูง จังหวัดอุดรธานี เพราะเกิดแต่ปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และถึงกาลมรณภาพในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้วยอายุยืนยาวถึง ๑๑๓ ปี จึงได้ชื่อว่าภิกษุ ๖ แผ่นดิน

อุปสมบทครั้งที่ ๑ (ก่อนเบียด)
บวชครั้งแรกอายุ ๒๑ ปีเต็ม เข้าใจว่าท่านบวชตามประเพณีนิยม พรรษาเดียวก็มีอันได้สึกออกมาสมรสกับ นางสาวนาค ลุนทอง ชาวหมู่บ้านเดียวกัน เรียกว่าบวชก่อนเบียด หลวงปู่เครื่อง ขณะดำรงเพศฆราวาสในชีวิตครองเรือนกับนางนาค ก็มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏขึ้น บุตรชาย-หญิงทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กไปด้วยกัน (ไม่ทราบสาเหตุของการตายท่านไม่ได้เล่าไว้) ต่อมานางนาคผู้เป็นมารดาผู้พิลาปร่ำรำพันหาลูกทั้งสองคนไม่สร่าง ก็ตรอมใจตายตามไปอีกคน เสียลูก เสียเมีย และเสียขวัญอย่างใหญ่หลวงแล้ว ทุกข์ที่ส่งมอบโดยมือของอนิจจังกับอนัตตา คือสิ่งที่ท่านรับมือไม่อยู่ ถึงกับเตลิดเปิดเปิงไปอย่างคนที่สิ้นไร้ความหมายแห่งชีวิต เหมือนถูกพายุใหญ่ชัดไปไกลจนถึงเมืองลาว ไปเพื่อให้ลืม หรือเพื่อให้จำก็ไม่มีใครรู้จัก นอกจากตัวท่านเอง

อุปสมบทครั้งที่ ๒
***เบื่อหน่ายเป็นเหตุผลเดียวที่ท่านบอกเพื่อบวชในครั้งที่ ๒ (ท่านบวช ๒ ครั้งพร้อมมีครอบครัวคล้ายหลวงปู่เพชร ปทีโป สหธรรมิกของท่าน)***
สถานที่บวช - วัดสีสะเกด แขวงเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว
อุปัชฌาย์ - พระครูแก้ว
พระกรรมวาจาจารย์ - พระอาจารย์เถิง
พระอนุสาวนาจารย์ - พระอาจารย์คำ

บวชแล้วก็ได้อยู่ศึกษาทั้งวิชาอาคมและการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์คือ พระครูแก้ว ผู้เป็นสหายของเจ้ามหาชีวิตลาว เจ้าศรีสว่างวงศ์ เป็นเวลา ๓ ปีเต็มกับการพำนักจำพรรษากับพระครูแก้ว ท่านจึงได้กราบลาออกหาความวิเวกตามลำพัง

พระธุดงค์คล้ายนกขมิ้นหลงรัง ค่ำไหนนอนไหน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกำหนดหมายเดินหน้าไปเรื่อยๆ ในป่าเขาลาว ตอนเหนือสุดของป่าเขาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ท่านพบผีตองเหลืองกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ พวกนี้ไม่นุ่งผ้า พอเห็นหลวงปู่ก็ตกใจ พากันซุบซิบอยู่พักหนึ่งแล้วกรูเข้ามาล้อมกรอบหลวงปู่ มีไม้แหลมแทนหอกคนละด้าม ทำท่าจะพุ่งหอกแทงหลวงปู่ ต้องยืนนิ่งๆหลับตาลงเสีย แล้วเร่งภาวนา แผ่เมตตาให้พวกเขากิริยาที่หลวงปู่ไม่คิดหนี หากแต่ยืนนิ่งหลับตา เป็นของแปลกที่ผีตองเหลืองกลุ่มนั้น (ประมาณ ๑๐ คน) ไม่เคยเห็นที่คิดจะทำร้ายก็รีรอก่อน แล้วก็พาลสงสัย เข้ามาเขย่าตัวหลวงปู่เพราะเห็นว่ายืนนิ่งเฉยเกินไป ท่านลืมตาขึ้น ส่งภาษามือ ทั้งโบกห้ามและชี้ไปที่หอกไม้ พวกผีตองเหลืองจึงเข้าใจ และส่งหอกให้หลวงปู่ด้ามหนึ่ง ท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ พวกนั้นจึงดึงมือหลวงปู่ จูงท่านไปสู่ที่พัก และหาอาหารมาถวายแม้เป็นเวลาวิกาลท่านก็รับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ป่าไว้ในบาตร บางทีจะถนอมไมตรีกันไว้ก่อน ที่ท่านรับแล้วฉันมีเพียงน้ำเท่านั้น
คืนนั้นท่านนั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง มีผีตองเหลืองทั้งหมดนั่งล้อม คืนประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม ท่านสอนให้พวกนั้นรู้จู้กเอาใบไม้มาปิดอวัยวะที่เปลือยล่อนจ้อนเป็นครั้งแรก ทายสิครับว่าพวกนั้นเชื่อหรือไม่ ต่อไปใบไม้สวยๆ ก็จะเป็นแฟชั่นของผีตองเหลืองเผ่านี้ดอกกระมัง

และต่อมาเดินดุธงค์ไปวัดปากคลองโดยไปเป็นศิษย์หลวงปู่ศุขถึง ๙ ปี ซึ่งการเดินทางจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่าจึงมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข รุ่งเช้าฉันอาหารแล้วหลวงปู่ศุขจึงให้หลวงปู่เครื่องเข้าพบในกุฏิ ท่านจ้องหน้าเป็นเวลานาน แล้วบอกว่า "เรียนได้แต่ต้องทดสอบอีกครั้งก่อน" หลวงปู่เครื่องสงสัยว่าจะทดสอบวิธีใด รู้สึกวิตกกังวลและตื่นเต้น กลัวจะไม่ผ่านการทดสอบ แล้วหลวงปู่ศุขก็ให้ศิษย์ที่จะเรียนใหม่ประมาณ ๑๐ คนรวมทั้งหลวงปู่เครื่องด้วย ไปคอยที่แพหน้าวัด เมื่อหลวงปู่ศุขมาถึง ได้สั่งให้ทุกคนยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่ง “ถ้าสั่งให้กระโดด จงกระโดดทันที” หลวงปู่ศุขชี้แจงโดยจะให้สัญญาณนับ ๑ ถึง ๓ “น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดปากคลองขณะนั้นไหลเชี่ยวกรากจนน้ำม้วนตัววนลึกลงไปเหมือนกรวยก้นแหลม น่าหวาดเสียวยิ่ง เมื่อหลวงปู่ศุขให้สัญญาณนับ ๑ ถึง ๓ ทุกคนก็กระโดดลงพร้อมกัน พอโผล่หัวขึ้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏ นั่นคือ มีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งลอยตัวอยู่กับกลุ่มผู้กระโดดน้ำหน้าแพ”

หลวงปู่เครื่องเล่าให้ฟังพร้อมหัวเราะเมื่อระลึกถึงความหลัง ก่อนเล่าต่อ
“บางคนกลัวจระเข้รีบตะลีตะลานว่ายน้ำปีนป่ายขึ้นแพ จระเข้ก็ว่ายตามทำท่าจะงับ บางคนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด” สำหรับหลวงปู่เครื่องเองไม่กลัว เพราะเคยอยู่แม่น้ำโขงมาแล้ว อีกอย่างเคยผจญภัยมามากต่อมากจนชิน ถ้าผู้ใดกลัวจระเข้ หลวงปู่ศุขจะยังไม่สอนวิชาให้ เพราะกำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ ต้องฝึกใหม่จนเข้มแข็ง การทดสอบแต่ละครั้งจะมีผู้เรียนได้ ๑-๒ คน บางครั้งไม่มีเลย และจระเข้ที่เห็นก็คือหลวงปู่ศุขแปลงร่างนั่นเอง วิธีนี้เป็นวิธีทดสอบพลังจิตอีกวิธีหนึ่งในหลายๆ วิธี ซึ่งหลวงปู่ศุขมักใช้อยู่เสมอซึ่งหลวงปุ่ศุขสอนวิชาทั้งกลางวัน-กลางคืน โดยกลางวันเรียนธรรมวินัย บางครั้งเมื่อหลวงปู่ศุขว่างจะลงสอนเอง ส่วนกลางคืนฝึกสมถวิปัสสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด อาศัยร่มไม้ ป่าช้า ซึ่งเป็นที่สงบเงียบบำเพ็ญความเพียร ถ้าตั้งอารมณ์ผิด หลวงปู่จะเข้าไปทักทันที ทั้งๆ ที่ท่านอยู่บนกุฏิ พร้อมแนะวิธีที่ถูกให้ แสดงว่าหลวงปู่ศุขมีเจโตปริยาญาณแจ่มใสมาก การเสกหัวปลีเป็นกระต่าย เสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตน บิณฑบาตใต้น้ำ ของหลวงปู่ศุขนั้น หลวงปู่เครื่องได้เคยประสบมากับตาตนเอง และยังได้เรียนอีกด้วย มีครั้งหนึ่ง หลวงปู่ศุขสอนศิษย์ชื่อนายแดงให้เสกหัวปลีเป็นกระต่าย เสกด้วยคาถา “นะ มะ พะ ทะ” นายแดงเสกเป็นเวลานานหัวปลีก็ไม่กลายเป็นกระต่ายสักที หลวงปู่จึงให้กำลังใจ “เอ้าแดง เอ้า เสกเข้า” แต่หัวปลีก็เป็นหัวปลีตามเดิม หลวงปู่ศุขจึงเสกเสียเอง เอามือลูบกระต่าย ๓ ครั้งเท่านั้น หัวปลีเป็นกระต่ายในฉับพลัน วิ่งพล่านไปเลย หลวงปู่เครื่องก็สามารถทำได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น ซึ่งหลวงปู่อธิบายว่า สิ่งที่เรียนมากับหลวงปุ่ศุข วัดปากคลองฯ “ถ้าเราทำได้อย่ายึดติด จงปล่อยวางเสียถ้าติดในฤทธิ์ ความหลงตัวเองจะเกิดขึ้นต้องก้าวให้ถึงนิพพาน” หลังจากหลวงปู่เครื่องศึกษาวิชาการลึกลับจากหลวงปู่ศุขเป็นเวลาถึง ๙ ปีแล้ว ก็กราบลาหลวงปู่ศุข มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดแดนอีสานต่อไป โดยการเดินธุดงค์เร่ร่อนสู่ป่าและถ้ำเป็นที่พักพิง จนกระทั่งถึงบ้านนายูง ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปในป่าลึกห่างไกลหมู่บ้านหลายสิบกิโลเมตร หมู่บ้านเหล่านี้เป็นกระท่อมชาวนาชาวไร่ ตั้งอยู่ห่างๆ กัน ภายในป่าลึก พบกระท่อมร้างหลังหนึ่งสภาพโย้เย้เกือบจะพังแล้วแต่พออาศัยได้ มีฝากั้นมิดชิดพอสมควร หลวงปู่จึงเข้าอาศัยในกระท่อมหลังนี้นานถึง ๗ วัน บิณฑบาตกับต้นไม้ใหญ่ ได้ข้าวพอฉันไปวันๆ หนึ่ง หลวงปู่ไม่ยอมบอกว่าใครใส่บาตรให้ แต่ข้าวมีลักษณะเหลืองหอม บางครั้งหลวงปู่ก็ฉันผักอย่างเดียว ตกกลางคืนมีคนถือคบเพลิงเป็นเครื่องนำทาง มานมัสการหลวงปู่เพื่อขอฟังธรรมจำนวนมาก ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ หลวงปู่แสดงธรรมให้พวกเขาฟังทุกครั้ง แล้วพวกนั้นก็จากไป รุ่งขึ้นก็พากันมาอีก “ผู้มาฟังธรรมมิใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนประหลาดซึ่งอาศัยซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์นี้ จะเรียกชาวลับแลก็ได้” หลวงปู่เมตตาเล่าให้ฟัง

หลังจากพำนักที่ถิ่นกำเนิดแล้ว หลวงปู่ก็ธุดงค์มุ่งหน้าสู่ราชอาณาจักรลาว ขณะหลวงปู่เครื่องธุดงค์อยู่นั้น ได้ข่าวเกี่ยวกับสมเด็จลุนซึ่งมีชื่อเสียงทางไสยศาสตร์ เป็นที่เคารพนับถือแก่ชาวฝั่งลาวเป็นอย่างมาก หลวงปู่จึงเข้ามอบตัวเป็นศิษย์กับสมเด็จลุนเป็นเวลา ๓ ปีก็ลาจาก หลวงปู่เล่าว่าได้อยู่ศึกษาวิชาอาคมและปฏิบัติธรรมกับสำเร็จลุนเป็นเวลา ๓ ปี ได้เห็นอภินิหารของท่านมากมาย เช่นบางครั้งลงจากเขาไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน พอจะกลับ สำเร็จลุนหายตัวไปเฉยๆ เมื่อท่านกลับถึงวัดก็พบสำเร็จลุนนั่งรอฉัน นี่เป็นเรื่องแปลกที่พบเห็นบ่อยที่สุด สำเร็จลุนมักอยู่ในถ้ำตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเว้นแต่บิณฑบาตเท่านั้นจึงจะออกมา หลวงปู่เครื่อง ก็เป็นศิษย์อีกคนหนึ่งที่ไม่ใคร่จะพูดถึงสำเร็จลุนผู้เป็นอาจารย์ เมื่อสำเร็จลุนเห็นว่าหลวงปู่เครื่องพอจะเอาตัวรอดได้แล้ว จึงแนะนำให้ท่านไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล สหธรรมิกของสำเร็จลุน เคยอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยกันบนภูเขาควาย ท่านให้เหตุผลว่า การยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ไม่อาจพบยอดธรรมอันวิเศษโดยง่าย อาจารย์คือผู้ชี้ทางเดินให้แค่นั้น ๓ ปี กับสำเร็จลุนก็สิ้นสุดลงหลังจากออกจากหมู่บ้านไทยเขิน หลวงปู่ย้อนกลับไปวังเวียงเพื่อเจริญสมาธิที่ภูเขาควาย แขวงเวียงจันทน์ ได้พบพระภิกษุและสามเณรมาจากฝั่งไทยหลายรูป ในจำนวนนี้มีพระภิกษุองค์สำคัญองค์หนึ่งคือพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตเถระ ปรากฏว่าหลวงปู่และพระอาจารย์เสาร์ถูกอัธยาศัยกันดี จนกลายมาเป็นสหธรรมิกในเวลาต่อมา ในที่สุดหลวงปู่ชวนพระอาจารย์เสาร์ไปหาสมเด็จลุนและได้อยู่กับสมเด็จอีกครั้งหนึ่ง

หลวงปู่เครื่องใช้ชีวิตในเมืองลาวคราวนี้นานถึง ๑๐ ปี จนกระทั่งอายุได้ ๗๓ ปี จึงเดินทางกลับเมืองไทย สู่บ้านเกิด บ้านนายูง เข้าสู่วัดเทพสิงหารอีกครั้ง และอยู่อย่างมั่นคงที่นี่ไม่หนีไปไหนอีก อยู่เป็นหลักชัยแห่งการประพฤติปฏิบัติให้ชาวพุทธแถบนั้นยึดเหนี่ยวเป็นตัวอย่างสืบไป
หลวงปู่เครื่องกับหลวงปู่แหวน (เกิด พ.ศ. ๒๔๓๐ บวช ๒๔๕๑ อ่อนกว่าหลวงปู่เครื่อง ๒๐ ปี) แห่งดอยแม่ปั๋ง ทั้งสองท่านรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เคยพบกันและเคยพำนักด้วยกันแต่ครั้งต่างยังโคจรอยู่ในแผ่นดินลาว และเมื่อพรากจากกันแต่คราวนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกจนกระทั่งวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๒๐ เวลาบ่ายโมงตรง คณะของหลวงปู่เครื่องก็ได้เดินทางขึ้นดอยแม่ปั๋ง ทำให้การพบกันครั้งนี้มีความหมายและความน่ารักน่าอบอุ่นปรากฏขึ้นอีก บทสนทนาต่อจากนี้ถอดออกจากเทปบันทึกเสียง มีหลายท่านได้ฟังและได้อ่านมักกล่าวแสดงความชื่นชมว่าน่ารักมาก สำหรับภิกษุชรา ๒ ท่าน ได้ฟื้นความหลังกัน

เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมพสกนิกรที่บ้านน้ำทรง ต.นางัว อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี หลวงปู่เครื่องได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว และกราบบังคมทูลความประสงค์จะก่อสร้างพระอุโบสถ วัดเทพสิงหาร พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๒๘,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างพระอุโบสถ บรรดาข้าราชบริพารร่วมกันถวายเพิ่มเติมอีก ๓๕,๐๐๐ บาท ภายหลังพระอุโบสถสร้างสำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ไว้ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย

หลวงปู่เคยพูดกับคุณประสงค์ ทองมาดี ว่า อายุ ๑๑๓ ปี “ก็จะไป” พอถึงปี ๒๕๒๓ หลวงปู่มีอายุ ๑๑๓ ปีพอดี และมรณภาพในปีนี้
หลวงปู่คงรู้ชะตาชีวิตของท่าน ในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๓ ท่านกลับนอนสงบนิ่งเหมือนเข้าฌานเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ท่านกระดิกเท้าขวา ๓ ครั้ง เท้าซ้าย ๓ ครั้ง แล้วท่านก็แยกจิตออกจากกายอย่างเด็ดขาด !!!...บ้านนายูง ดินแดนแห่ง “โมกขธรรม” บัดนี้สิ้นแล้วซึ่งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ ยังความโศกสลดแก่ผู้เคารพเลื่อมใสโดยทั่วไป บรรดาศิษย์เชื่อกันว่าท่านนิพพานแล้ว !!!
โอวาทธรรมของหลวงปู่ฯ
จิตมนุษย์มีพลังมหาศาล จะทำอะไรก็มักสำเร็จ ก็เพราะมีดวงจิตที่เป็นกำลังสำคัญ จิตดวงเดียวสำคัญที่สุด?จิตมันบอกลักษณะไม่ได้ แต่มันก็มีความรู้สึกอยู่ภายใน?เว้นแต่ว่ามนุษย์เกิดมาแล้ว จะเอาดีหรือเอาชั่วเท่านั้น มันเป็นขั้นตอนอยู่ตรงนี้ถ้าเอาดีก็ต้องได้ของดีมาประดับตัวแน่นอน
มนุษย์ควรเจริญด้วยธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติในข้อวัตรปฏิบัติธรรม คือ ความดีมีศีลธรรมนั้นเองจะช่วยได้

ซึ่งสุดท้ายนี้ ได้รวบรวมข้อมูลมาจากในเว็บไซด์นะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้นะครับ
ราคาเปิดประมูล20 บาท
ราคาปัจจุบัน140 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูลพ. - 10 เม.ย. 2567 - 11:20.03
วันปิดประมูล อ. - 30 เม.ย. 2567 - 11:20.03 (10วัน 6ชั่วโมง 0นาที)
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 140 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ20 บาท
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่การประมูล ที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
40 บาท จ. - 10 ธ.ค. 2561 - 13:26.16
60 บาท พฤ. - 27 ธ.ค. 2561 - 03:12.34
80 บาท พฤ. - 26 ก.ย. 2562 - 07:46.25
100 บาท ส. - 19 ต.ค. 2562 - 09:46.53
120 บาท อ. - 05 พ.ย. 2562 - 23:25.43
140 บาท จ. - 03 ส.ค. 2563 - 23:30.13
กำลังโหลด...
Top