กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - webpra

ประมูล หมวด:เครื่องรางของขลัง

กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม

กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง กุมารทอง. บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน. วัดป่าดงหมู จ.นครพนม
รายละเอียดกุมารทอง บักหำขวด รุ่นแรก รวยพันล้าน เนื้อ ทองแดงพิ้งค์โกล์
👉👉 วัดป่าดงหมู หมู่ 10 ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม เล่ากันต่อๆมาว่าเดิมเป็นวัดร้างสมัยเมืองมรุกขนคร ซึ่งเป็นนามใหม่ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ภายในบริเวณวัดมีซากเจดีย์ปรากฏอยู่ ผู้คนในละแวกนั้นเรียกเจดีย์องค์นี้ว่า “ธาตุนางคำกอง” หลังหมดสิ้นยุคมรุกขนครเข้าสู่สมัยกรุงธนบุรี วัดแห่งนี้ก็ถูกรกร้างนานศตวรรษ ต่อมาเมื่อปี 2516 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2(2493-2518) ยังระอุ ก็มีพระธุดงค์มาปักกลดวิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่าเป็น”สำนักสงฆ์ป่านางคำกอง” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดป่าดงหมูในปัจจุบัน สำนักสงฆ์ป่านางคำกอง มีเรื่องเล่าที่ผูกโยงกับวรรณกรรมเรื่องจำปา 4 ต้น ที่เขียนขึ้นมา จำนวน 3 ฉบับ คือล้านนาไทย อีสานและลาว เนื้อเรื่องจำปาสี่ต้นทั้ง 3 ฉบับ มุ่งสั่งสอนชาวไทยล้านนา ชาวอีสาน และชาวลาว ในเรื่องกฎแห่งกรรมส่งเสริมให้ทำความดี มีความกตัญญูรู้คุณ และสะท้อนให้เห็นความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี กล่าวคือ ณ เมืองปัญจานคร มีพระมหากษัตริย์พระนามว่าท้าวจุลนี พระมเหสีชื่อพระนางอัคคี และมีเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกันชื่อเมืองจักขิน มีเจ้าเมืองชื่อพระเจ้าจักขิน พระองค์มีพระมเหสีชื่อพระนางแก้วเทวี และพระธิดาแสนสวยนามนางปทุมมา(หรือนางคำกอง) เมื่อนางอายุได้ 14 ปี พระเจ้ากรุงจักขินทรงพระสุบินว่า พระอาทิตย์ถูกภูเขาบดบัง ฝนตกน้ำท่วมจากหน้าเมืองจนถึงยอดปราสาท พระราชวังพังทลาย เหล่าบรรดาประชาราษฎร์ ทั้งข้าทาส วัว ควาย สัตว์ต่าง ๆ จมน้ำตายอนาถ โหรหลวงทำนายว่าจะเกิดกลียุค มีกาลีบ้านกาลีเมือง ไม่นานเกิดเหตุการณ์พญานกยักษ์ บินมาทำลายเมืองผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พระเจ้าจักขินเห็นว่าเผ่าพันธุ์ชาวเมืองจะสูญสิ้นไป จึงได้นำพระธิดาไปซ่อนไว้ในกลองใบใหญ่ พร้อมกับเสบียงอาหารตลอดจนเพชรนิลจินดาเพื่อให้นางรอดพ้นอันตรายจากพญานกยักษ์ ต่อมาท้าวจุลนี แห่งเมืองปัญจานครได้เสด็จประพาสป่า และได้หลงทางเข้าไปในเมืองร้าง(เมืองจักขิน) พบกลองใบใหญ่อยู่กลางเมือง จึงตีกลองเพื่อจะเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนมา ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องอยู่ในกลอง พระองค์จึงใช้พระขรรค์ผ่าหนังกลองออกพบนางปทุมมาอยู่ด้านใน เมื่อถามไถ่ได้ความว่าพญานกยักษ์โฉบมากินผู้คนล้มตายจำนวนมาก พระบิดาจึงนำนางมาซ่อนไว้ในกลอง และโหรได้ทำนายว่าจะมีผู้วิเศษมาปราบนกยักษ์ตนนี้ได้ เมื่อพญานกบินมาท้าวจุลนีก็ฆ่าตายต่อหน้านางปทุมมา จากนั้นท้าวจุลนีได้รับนางปทุมมาเป็นมเหสีคนที่สอง(เมียน้อย)ของพระองค์ ฝ่ายพระนางอัคคีซึ่งเป็นอัครมเหสี(เมียหลวง) แต่ไม่มีพระโอรสและพระธิดาร่วมกัน ในเวลาต่อมาพระนางปทุมมาก็เริ่มตั้งครรภ์ จึงเป็นเหตุให้พระนางอัคคีเกิดความริษยา จึงวางแผนทำลายพระนางปทุมมาในขณะที่กำลังจะประสูติกาล โดยอ้างว่าพระนางปทุมมาทรงครรภ์แรกเกรงว่าเห็นเลือดแล้วจะตกใจกลัว จึงให้เอาผ้ามาผูกตา พร้อมนัดกับคนใช้ให้เอาลูกสุนัข (หมา) มาเตรียมไว้ เมื่อคลอดออกมาปรากฏว่ามีลูกแฝดถึง 4 คน นางจึงให้คนใช้ไปเอากุมารทั้ง 4 นั้น ยัดลงไปใส่ในไห แล้วเอาไปลอยน้ำในแม่น้ำ แล้วนางก็เอาลูกหมา 4 ตัว ใส่พานนำไปถวายพระสวามี เมื่อท้าวจุลนีทอดพระเนตรเห็นก็ทรงกริ้วโกรธมาก จึงสอบถามเหล่าเสนาอมาตย์ว่าจะลงพระอาญาแก่พระนางปทุมมาโดยให้ประหารชีวิตบูชาผีโขมด หรือเนรเทศออกจากเมือง เหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์ก็กราบทูลว่า ควรลงโทษโดยให้ไปเป็นนางทาสรับใช้เลี้ยงหมู ดังนั้นพระนางปทุมมาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกเหล่านางกำนัลใช้ทำงานสารพัดนอกจากจะเลี้ยงหมูแล้ว ยังถูกสั่งให้หาบน้ำ เก็บฟืน ตำข้าวต่างๆนาๆ ขณะกุมารน้อยทั้ง 4 ที่อยู่ในไห เมื่อพระมเหสีอัคคีได้ให้คนนำไหไปลอยน้ำ ไหก็ไหลไปจนถึงอุทยานสวนดอกไม้ มีสองตายายที่อยู่ดูแลรักษาสวนได้พบไห จึงนำเอากุมารทั้ง 4 ก็นำไปชุบเลี้ยงไว้อย่างรักใคร่ทะนุถนอม ฝ่ายนางอัคคีนับตั้งแต่กำจัดนางปทุมมาสำเร็จแล้ว ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก นับเป็นเวลาหลายเดือนหลายวันแล้ว ที่ไม่เคยเห็นคนชราสองผัวเมียนำดอกไม้มาถวายดังที่เคยทำมา จึงให้นางกำนัลไปสืบดู ก็ทราบว่ามัวแต่เลี้ยงเด็กที่ได้มาถึง 4 คน นางอัคคีจึงแน่ใจว่าเด็กน้อยทั้ง 4 คนนั้น คือเด็กที่ตนเองให้นำไปลอยน้ำ นางอัคคีจึงคิดอุบายอันชั่วร้าย ในขณะที่สองตายายไม่อยู่บ้าน ตอนออกไปหาซื้อเสื้อผ้า ขนม โดยนางทำขนมใส่ยาเบื่อแล้วให้นางกำนัลนำไปให้กุมารทั้ง 4 กิน เมื่อตายายกลับมาถึงก็พบว่ากุมารน้อยทั้ง 4 ได้สิ้นใจตาย จึงร้องให้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อแน่ใจว่ากุมารทั้ง 4 ตายแล้ว จึงจัดการเผาศพกุมารทั้ง 4 เมื่อไฟดับทั้งสองก็กลับขึ้นบนเรือน จนรุ่งสางจึงรีบไปดูที่เผาศพ ก็ปรากฏว่าเห็นจำปาสี่ต้นเกิดอยู่ตรงที่เผาศพนั้นแทน ชูดอกใบโชยกลิ่นหอมไปทั้งสวน ต้นที่ 1 ขาวอ่อนสีบริสุทธิ์ ต้นที่ 2 สีเหลือง ต้นที่ 3 สีนิล และต้นที่ 4 สีแดงดำ ฝ่ายนางอัคคี เมื่อได้วางแผนใช้ยาเบื่อฆ่ากุมารน้อยทั้ง 4 คนสำเร็จ ก็ได้ให้คนใช้ไปดูแลเพื่อให้ได้ความว่ากุมารน้อยทั้ง 4 ตายจริงหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่าตายจริง และสองผัวเมียได้เอาไปเผา รุ่งเช้ากลับเกิดเป็นต้นจำปาสี่ต้น สองผัวเมียจะคอยเฝ้าดูแลและหวงแหนเป็นอย่างมาก เมื่อทราบดังนั้น นางอัคคี จึงจำต้องเดินทางไปทำลายต้นจำปาทั้งสี่ต้น โดยออกอุบายว่าต้องการดอกจำปา สองตายายก็ได้บอกว่าดอกไม้มีเต็มสวน ทำไมจะมาต้องการแต่ดอกจำปา ก็ให้เสียใจเศร้าโศก นางกำนัลจึงได้พากันปีนเก็บดอกไม้ แต่ก็ไม่สามารถเด็ดได้ ถึงขนาดมีดฟันก็ไม่เข้า ใช้จอบเสียมขุดก็ไม่เข้าเพราะแข็งปานหิน นางอัคคีโกรธจัดสั่งให้ไปจับตัวสองตายายมามัดแล้วเฆี่ยนตี สองตายายจึงจำต้องร้องขอให้จำปาทั้งสี่ต้นช่วย โดยการยอมให้นางอัคคีถอนต้นจำปา ทั้งสี่จึงยอม นางอัคคีก็นำไปลอยน้ำ สองตายายพยายามติดตามหาแต่ไม่พบว่าติดอยู่ ณ แห่งใด ขณะที่จำปาสี่ต้นเมื่อถูกนำไปลอยน้ำ ก็ปรากฏว่าเทวดา อินทร์ พรหม ครุฑ นาค ได้บันดาลให้จำปาไหลทวนน้ำขึ้นไปพบกับพระฤาษีตาไฟ พระฤาษีท่านได้มีเมตตาและกรุณาได้ชุบทั้ง 4 ชีวิตกุมารคืนชีพ และตั้งชื่อกุมารทั้งสี่ คนที่ 1 ชื่อเสกราชกุมาร เป็นคนธาตุดิน มีตรีเป็นอาวุธประจำกาย คนที่ 2 ชื่อปัตตะราชกุมาร เป็นคนธาตุน้ำ มีคฑาเป็นอาวุธประจำกาย คนที่ 3 ชื่อสุวรรณกุมาร เป็นคนธาตุลม มีจักรเป็นอาวุธประจำกาย ส่วนคนสุดท้องคนที่ 4 ชื่อเพชรราชกุมาร เป็นคนธาตุไฟ มีสังข์เป็นอาวุธประจำกาย ปรากฏว่าเจ้าคนน้องสุดท้องนี้เป็นผู้มีฤทธิ์เดชมาก เพราะตอนที่ตาเถรศิษย์ของพระฤาษี ไปดึงดอกจำปานั้นจนขาดออกมา พบว่ามียางเหนียวมากและเป็นสีเลือด จึงนำมาให้พระอาจารย์ดู พระฤาษีได้นั่งทางใน ก็ทราบได้ด้วยญานว่าเป็นเทพบุตรจุติลงมาเกิด พระฤาษีจึงชุบชีวิตคืนให้แล้วก็พบว่ายังมีนิ้วชี้มือข้างขวาของเพชรราชกุมารด้วน พระฤาษีต้องทำพิธีปลุกเสกใหม่ ดังนั้นนิ้วชี้ที่ด้วนจึงกลายเป็นนิ้วมงคลเพชร สามารถชี้คนเป็นให้ตาย ชี้คนตายให้ฟื้น(ได้ด้วยการประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาคมของพระฤาษีตาไฟนั่นเอง) เมื่อกุมารทั้ง 4 เจริญวัยเป็นหนุ่ม จึงมีฤทธิ์มาก ประกอบกับได้รับการอุปการะอุ้มชูจากพระอินทร์หรือท้าวสักเทวราช ทำให้มีฤทธิ์เดชมหาศาล ต่อมาพระอินทร์ได้เล่าความหลังให้พวกกุมารทั้งสี่ทราบความจริง กุมารทั้งสี่จึงได้วางแผนที่จะกลับบ้านเมืองเดิมของตน ในระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองนั้น ได้ผ่านการต่อสู้กับข้าศึกในอาณาจักรของพวกยักษ์มาร จนได้ธิดาของยักษ์มาเป็นมเหสีครบทุกพระองค์ เมื่อมาถึงเมืองปัญจานครแล้ว ก็ได้ไปหาสองตายายที่เคยเลี้ยงดูทั้งสี่มาก่อน จากนั้นได้ไปช่วยพระนางปทุมมาผู้เป็นมารดาของตน ที่ถูกสั่งให้เป็นทาสเลี้ยงหมู ก่อนไปเข้าเฝ้าท้าวจุลนีพระเจ้ากรุงปัญจาผู้เป็นพระบิดา และได้ทูลเล่าความเป็นจริงให้แก่บิดาได้ทรงทราบ พระเจ้าจุลนีจึงได้สั่งลงโทษนางอัคคี ให้ไปเป็นข้าทาสรับใช้เลี้ยงหมู ชดใช้กรรมที่เคยทำกับพระนางปทุมมาในคราวก่อน หลังจากนั้นเพชรราชกุมารก็ได้ใช้นิ้วเพชรอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยชุบชีวิตพระเจ้ากรุงจักขิน และพระนางแก้วเทวี ซึ่งเป็นพระเจ้าตาและสมเด็จยาย ตลอดจนไพร่ฟ้าประชาชนของกรุงจักขินให้คืนชีพดังเดิมทุกประการ เหตุที่วรรณกรรมเรื่องจำปี 4 ต้น เชื่อมโยงกับเจดีย์(ธาตุ)นางคำกอง เพราะตอนที่มีนกยักษ์บินมากินชาวเมืองจักขินนั้น พระบิดานำธิดาพระนางปทุมมาไปซ่อนไว้ในกลองพร้อมเพชรนิลจินดา จึงมีคนเรียกชื่อพระนางว่านางคำกอง “คำ”ในภาษาลาวคือทองคำ “กอง”ก็คือกลองที่นางเข้าไปอยู่ เล่าขานกันว่าบริเวณวัดป่าดงหมู คือสถานที่นางถูกส่งมาเลี้ยงหมู ณ สถานที่แห่งนี้ (จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าดงหมู) ภายหลังพระนางปทุมมาเสียชีวิตจึงมีการนำเถ้ากระดูกมาสร้างเป็นเจดีย์หรือธาตุครอบเอาไว้ จึงเรียกว่าธาตุนางคำกอง (บางแหล่งก็จะเรียก”ธาตุนางอัคคี”ก็มี) ปัจจุบันธาตุนางคำกองสำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด บูรณาการความร่วมมือระหว่างสํานักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี จังหวัดนครพนม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม องค์การบริหารส่วนตําบลท่าค้อ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานกลุ่มที่ 1 ต่อมากลางเดือนมีนาคม 2563 พระอาจารย์วรรณ จิตติโสภโณ เจ้าอาวาสได้สร้างรูปปั้นเด็กชาย ความสูงประมาณ 1 เมตรเศษ ยืนยิ้มพนมมือไหว้ นุ่งโสร่งแบบคนโบราณ ซึ่งสมมุติว่าเป็นลูกชายแฝดคนที่สี่ของนางคำกองหรือพระนางปทุมมาคือเพชรราชกุมาร พร้อมตั้งชื่อเล่นว่า”บักหำขวด” ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพี่ๆทั้งสามคน หลังทำพิธีเบิกเนตร”บักหำขวด” มีผู้คนแวะเวียนไปกราบไหว้จำนวนมาก เพราะต่างได้ประสบโชคลาภจากบักหำขวดมานักต่อนัก เรียกว่ารวยเงียบหลายงวดติดต่อกัน กระทั่งมีการเรียกร้องให้จัดสร้างวัตถุมงคลรูปเหมือน”บักหำขวด” รุ่นแรก รวยพันล้าน
รับประกันตามกฏ. ครับ
ราคาเปิดประมูล159 บาท
ราคาปัจจุบัน159 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูลจ. - 09 ก.ย. 2567 - 09:17.07
วันปิดประมูล อา. - 29 ก.ย. 2567 - 09:17.07 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 159 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ20 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
ยังไม่มีผู้ประมูล
กำลังโหลด...
Top