ประวัติ เมืองเพชรบุรี - พระกรุ - webpra

เมืองเพชรบุรี

ประวัติ พระกรุ


เมืองเพชรบุรี

                จากหลักฐานทางโบราณคดี ในจารึกปราสาทพระขรรค์พบที่เมืองพระนครซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งกัมพูชา เมื่อปีพุทธศักราช 1734 มีชื่อเมือง “ศรีชัยวัชรบุรี” ซึ่งนักโบราณคดีบางคนเชื่อว่าน่าจะเป็นเมืองเพชรบุรีนั่นเอง

                หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณเมืองเพชรบุรีซึ่งเชื่อว่า เพชรบุรีเป็นเมืองหนึ่งที่มีความเจริญอยู่ในยุคสุวรรณภูมิ เช่นเดียวกับเมืองนครไชยศรี เมืองราชบุรี เมืองกาญจนบุรี เมืองตะนาวศรี และมีความรุ่งเรืองสืบต่อกันมาจนถึงสมัยอาณาจักรทวาราวดี ในพุทธศตวรรษที่ 11-16 ซึ่งตรงกับบันทึกในจดหมายเหตุจีนที่เรียกอาณาจักรนี้ว่า โต-โลโปตี้ อันประกอบไปด้วย เมืองเพชรบุรี ราชบุรี คูบัว นครปฐม กำแพงแสน พงตึก (บริเวณอำเภอท่ามะกา) ลพบุรี เป็นต้น โดยสันนิษฐานว่าศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ที่นครปฐมหรืออู่ทอง เนื่องจากได้มีการขุดพบแหล่งโบราณสถานอยู่มากในบริเวณสองแห่งนี้

                จากหลักฐานในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยสุโขทัยก็ได้ปรากฏชื่อเมืองเพชรบุรีอยู่เช่นกันดังมีข้อความปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า “เมืองตะวันออกรอดสระหลวงสองแควลุ่มมลายสคาเท่าฝั่งโขงถึงเวียงจันทน์เเวียงคำ เป็นที่แล้ว เมืองหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุวรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว”

                และในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชก็ได้มีการกล่าวถึงเรื่องราวการสร้างเมืองเพชรบุรี ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของลาลูแบร์ว่า “พระพนมทะเลมเหสวัสดิทราธิราชเป็นผู้สร้างเพชรบุรี โดยนำคนจำนวนสามหมื่นสามพันคนช้างพังพลายห้าร้อยเชือกม้าเจ็ดร้อยตัวสร้างพระราชวังขึ้น และโปรดให้โอรสทรงพระนามว่า พระพนมวังไปสร้างเมืองนครดอนพระโดยพระราชทานคนเจ็ดร้อยคน แขกห้าร้อยคน ช้างสามร้อยเชือก ม้าสองร้อยตัว เพื่อไปสร้างเมืองและพระธาตุ”

                จากตำนานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า เมืองเพชรบุรีเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความสำคัญมากในยุคสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระราชทานข้อคิดเห็นว่า “เดิมเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้วเมืองเพชรบุรีมีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช”

                แต่จากคำให้การของชาวกรุงเก่า กล่าวว่า พระอินทราชาเป็นผู้สร้างเมืองเพชรบุรีขึ้น และพระเจ้าอู่ทองพระราชโอรสของพระองค์ก็ได้ครองสมบัติ และเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเจ้าเมืองศิริธรรมนครต่อมาครั้งเมืองเพชรบุรีเกิดอดอยากข้าวยากหมากแพง มีโรคภัยไข้เจ็บระบาดอยู่ทั่วไป พระเจ้าอู่ทองจึงทรงหาที่ตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่ตำบลหนองโสน แล้วทรงตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า “กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์” แล้วทรงสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้ารามาธิบดี สุริยะประทุมสุริวงศ์

                ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพชรบุรีเป็นเมืองหน้าด่านที่สังกัดอยู่ในหัวเมืองตะวันตกและเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของเมืองเพชรบุรีอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งเป็นทางผ่านไปมาและติดต่อค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียนอกจากนั้นเพชรบุรียังเป็นเมืองเก่าที่เชื่อมระหว่างหัวเมืองฝ่ายเหนือและหัวเมืองฝ่ายใต้ของไทยเข้าด้วยกัน และยังเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ตลอดมากระทั่งในปัจจุบันนี้

                เนื่องจากเพชรบุรีเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตหลายร้อยปี ทั้งยังเคยเป็นเมืองท่าและแหล่งชุมชนที่มีผู้คนอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นในสมัยอยุธยา มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและประเพณีต่างๆ มากมาย ดังนั้นวัดที่เราเห็นอยู่ในเมืองเพชรบุรีทุกวันนี้ จึงเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมอันล้ำค่าของช่างฝีมือในอดีตที่ได้สร้างสรรค์งานเอาไว้ให้เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงลูกหลานในปัจจุบันถึง 211 วัด ทั้งนี้ยังมีวัดที่ร้างอีก 59 วัดทั่วเมืองเพชรบุรี

                เมืองเพชรบุรี เป็นเมืองเก่าแก่ เพราะฉะนั้น พระพุทธรูปและเทวรูปจึงมีหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี จนมาถึงสมัยอยุธยาส่วนพระเครื่องก็มีอยู่มากเช่นกัน ที่ถือว่าอยู่ในความนิยมเป็นอย่างมากก็มีอยู่หลายชนิดและหลายยุค อาทิเช่นยุคศรีวิชัย และยุคลพบุรีถือว่านิยมสูง ได้แก่พระเทริดขนนก กรุวัดค้างคาว, เทริดขนนก กรุเสมาสามชั้น และพระหูยานสนิมแดง กรุสมอพลือ


ข้อมูลอ้างอิง : คัดลอกมาจาก "หนังสือ อมตพระกรุ"
ทางทีมงานขอขอบคุณทางเจ้าของหนังสือมา ณ โอกาสนี้



Top