ประวัติวัด 11.สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ - วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จ.กรุงเทพฯ - webpra

11.สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์

ประวัติวัด วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จ.กรุงเทพฯ

 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

 

ประวัติและความสำคัญของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร 
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุต 
ความสำคัญของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามแห่งนี้คือเป็น 
วัดประจำรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๗ แห่งบรมราชจักรีวงศ์ 
ซึ่งถือว่าเป็นวัดแห่งเดียวของกรุงรัตนโกสินทร์ 
ที่เป็นวัดประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ถึง ๒ พระองค์ 


เหนืออื่นใด วัดแห่งนี้ยังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช 
องค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย ๒ พระองค์คือ 
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า 
(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) 

สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
ทรงครองวัด ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๖๔-๒๔๘๐ และ 
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
ทรงครองวัด ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๑๗-๒๕๓๑ 
และเคยเป็นที่พำนักของสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะหลายรูป

 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

ตามประวัติกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาล 
ก่อพระฤกษ์เพื่อลงมือก่อสร้างเมื่อวันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง เอกศก 
ตรงกับวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๒ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ 
เริ่มแรกในการสร้างวัด ทรงซื้อวังพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ
(พระองค์เจ้าสิงหรา) พระราชโอรส องค์ที่ ๔๘ 
ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ และเจ้าจอมมารดาคล้าย
รวมทั้ง ซื้อบ้านเรือนข้าราชการ และราษฎร เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างวัด
สิ้นพระราชทรัพย์ไปเป็นเงิน ๒,๘๐๖ บาท ๓๗ สตางค์ 
แล้วนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ มาจำพรรษาอยู่ 
พร้อมกับอัญเชิญ ‘พระนิรันตราย’ มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ

 

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)  สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

มูลเหตุที่ทรงสร้างนั้นสืบเนื่องมาจากพระราชศรัทธาอันยิ่งใหญ่ 
และเพื่อให้เป็นไปตามโบราณพระราชประเพณีนิยม 
ที่สมเด็จพระบรมราชบุพการีได้ทรงบำเพ็ญมา กล่าวคือ 
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างวัดพระเชตุพนฯ 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสร้างวัดอรุณฯ 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดราชโอรสาราม 
และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดราชประดิษฐ์ฯ 

ในการก่อสร้างพระอารามหลวงประจำรัชกาลแห่งนี้ 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
ให้ก่อสร้างตามแบบของวัดแต่โบราณกาล 
ดังเช่นวัดราชประดิษฐ์ฯ กรุงเทพฯ และวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
กล่าวคือ สถาปนาพระมหาเจดีย์ไว้ตรงกลางเป็นหลักสำคัญของวัด 
แล้วล้อมด้วยพระระเบียง พระอุโบสถ พระวิหาร และพระวิหารทิศ 
มีกำแพงกั้นระหว่างเขตพุทธาวาสและสังฆาวาสแยกออกจากกัน

 

พระอุโบสถ พระวิหาร และพระระเบียงคด ล้อมรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่ซึ่งอยู่ตรงกลาง

พระอุโบสถ พระวิหาร และพระระเบียงคด ล้อมรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่ซึ่งอยู่ตรงกลาง

 

โดยมี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ
พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นณรงคหริรักษ์ 
(พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) 
ซึ่งกำกับราชการกรมช่างสิบหมู่ ทรงอำนวยการสร้างเป็นพระองค์แรก
แต่สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๘
พระองค์ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ 
และเมื่อผู้อำนวยการสร้างพระองค์ที่ ๒ สิ้นพระชนม์ลงอีก จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) 
ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร
เป็นผู้อำนวยการสร้างพระองค์ต่อมา จนเสร็จการ 

รูปแบบวัดมีลักษณะผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและยุโรป 
คือลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก 
และโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” 
หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง โดยมีมหาสีมาหรือเสมาใหญ่
อันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร ๘ เสา 
ตั้งประจำที่กำแพงวัดทั้ง ๘ ทิศ ซึ่งแตกต่างไปจากเสมาของวัดโดยทั่วไป
ตามปกติแล้วเสมาของวัดโดยทั่วไปจะอยู่ตามมุมหรือติดอยู่กับตัวพระอุโบสถ 
ทั้งนี้ ได้สร้างขึ้นตามแบบอย่างมหาสีมาของวัดราชประดิษฐ์ฯ

 

พระอุโบสถ พระวิหาร และพระระเบียงคด ล้อมรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่ซึ่งอยู่ตรงกลาง

พระอุโบสถ พระวิหาร และพระระเบียงคด ล้อมรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่ซึ่งอยู่ตรงกลาง

 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มีนามวัดแบ่งออกเป็น ๒ ตอนคือ 
“ราชบพิธ” หมายถึง พระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง 
“สถิตมหาสีมาราม” หมายถึง พระอารามซึ่งมีมหาเสมาหรือเสมาใหญ่
ดังนั้น ในการประกอบพิธีสงฆ์ หรือการกระทำสังฆกรรมใดๆ 
จึงสามารถกระทำได้ทุกแห่งภายในขอบเขตของมหาสีมานี้ 
เท่ากับเป็นการขยายเขตทำสังฆกรรมของสงฆ์ให้กว้างขึ้น 

เรื่องชื่อสร้อยของวัดนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า
“เมื่อสร้างวัดราชบพิธเจริญรอยวัดราชประดิษฐ์หมดทุกอย่าง 
จนกระทั่งทำมหาสีมาและชื่อวัดให้คล้ายกัน 
ชะรอยจะคิดเปลี่ยนสร้อยชื่อวัดราชประดิษฐ์เป็น ‘สถิตธรรมยุติการาม’ 
เอาสร้อยเดิมของวัดราชประดิษฐ์ไปใช้วัดราชบพิธ ว่า ‘สถิตมหาสีมาราม’ 

จะเป็นได้ด้วยเหตุนี้ดอกกระมัง 
แต่จะมีเหตุอย่างไรให้กลับความคิดจึงมิได้ใช้ 
บ้างก็ว่า ‘สถิตธรรมยุติการาม’ เป็นชื่อสร้อยวัดเดิม 
เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็น ‘สถิตมหาสีมาราม’ ในยุคหลังนี่เอง”

 

สถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของวัดราชบพิธฯ

สถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของวัดราชบพิธฯ

 

การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงพระราชทานที่ให้สร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนี้ 
ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีบรมราชโองการพระราชทานวิสุงคามสีมา 
ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๒ ปีมะเมีย โทศก จ.ศ. ๑๒๓๒ 
และยังได้พระราชทานที่อื่นๆ อีกเป็นอุปจารของวัด 
รวมทั้ง พระราชทานตึกแถวถนนเฟื่องนครอีกด้วย

วัดราชบพิธฯ ยังได้สะท้อนถึงยุคสมัยที่มีการปฏิรูปการศึกษาของชาติ 
นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้การศึกษาแพร่หลายไปสู่ราษฎร 

โดยการผันวัดซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการศึกษามาแต่โบราณ 
มีการแยกการศึกษาออกจากทางวัด ถึงแม้สถานที่เรียนยังอยู่ในบริเวณวัดก็ตาม 
โรงเรียนวัดราชบพิธ จึงได้ถือกำเนิดแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ เป็นต้นมา 
โรงเรียนกับวัดมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและมีกิจกรรมร่วมกันมาโดยตลอด 
รวมถึง การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเป็นประจำทุกปี

 

ด้านหน้าประตูทางเข้า “พระวิหารทิศ” ฝั่งถนนเฟื่องนคร ในยามราตรี

ด้านหน้าประตูทางเข้า “พระวิหารทิศ” ฝั่งถนนเฟื่องนคร ในยามราตรี

 

ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ 
มิได้ทรงสร้างวัดประจำรัชกาล แต่ก็ได้รับพระราชภาระในการทำนุบำรุง 
และโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 
วัดของพระราชบิดาคือรัชกาลที่ ๕ เป็นงานใหญ่แทน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ 
เสมือนหนึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ด้วยเช่นกัน 

ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน 
คือ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตสุสานหลวง
 

เขตพุทธาวาส ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของวัด 

คือบริเวณที่เป็นสิ่งก่อสร้างอันเนื่องในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ตั้งอยู่บนพื้นไพทีหรือยกพื้นสูงกว่าพื้นปกติ ปูด้วยหินอ่อน 
เขตสังฆาวาส ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของวัด 
คือบริเวณที่เป็นอาคารจำพรรษาของพระภิกษุสามเณร 
เขตสุสานหลวง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด

 

บริเวณติดต่อกันระหว่างเขตพุทธาวาสและเขตสุสานหลวง

บริเวณติดต่อกันระหว่างเขตพุทธาวาสและเขตสุสานหลวง 

 

“พระมหาเจดีย์ใหญ่” ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นหลักสำคัญของวัด  ล้อมด้วยพระระเบียง พระอุโบสถ พระวิหาร และพระวิหารทิศ

“พระมหาเจดีย์ใหญ่” ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นหลักสำคัญของวัด 
ล้อมด้วยพระระเบียง พระอุโบสถ พระวิหาร และพระวิหารทิศ

 

ปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส 

บนไพทีที่ยกพื้นสูงกว่าพื้นปกติ มีปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานที่สำคัญภายในวัด
อาทิเช่น พระมหาเจดีย์ใหญ่ พระอุโบสถ พระวิหาร 
พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข พระระเบียงคด ศาลาราย 
ฯลฯ 

ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายในวงล้อมของกำแพงสูงประมาณ ๑ เมตร 
ปูด้วยหินอ่อนทั้งบริเวณ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี 

อีกทั้งยังใช้กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์นี้ประดับปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถาน 
และถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัดแห่งนี้ โดยเฉพาะในเขตพุทธาวาส 
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงค์ 
ทรงกล่าวไว้ว่าเป็นฝีมือพระอาจารย์แดง ช่างเขียนมีชื่อเกิดในรัชกาลที่ ๓ 
แต่มามีชื่อเสียงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นผู้ออกแบบลาย
แล้วส่งไปทำเป็นกระเบื้องเคลือบ ณ ประเทศจีน นำเข้ามาประดับ

 

พระมหาเจดีย์ใหญ่ ทรงไทยย่อเหลี่ยม ทรงระฆังกลม  ฐานคูหาประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งองค์

พระมหาเจดีย์ใหญ่ ทรงไทยย่อเหลี่ยม ทรงระฆังกลม 
ฐานคูหาประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งองค์

 

พระมหาเจดีย์ใหญ่ 

ไม่มีชื่อเรียกพระมหาเจดีย์เหมือนวัดอื่น ได้สร้างขึ้นก่อนสิ่งก่อสร้างอื่นๆ 
เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร พระวิหารทิศ พระระเบียงคด เป็นต้น 
ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบฉบับการสร้างปูชนียวัตถุแบบโบราณ 
คือสร้างพระมหาเจดีย์ไว้ตรงกลาง 
ถือเป็นหลักสำหรับเคารพบูชาหรือเป็นประธานของวัด 
ต่างจากวัดต่างๆ ในปัจจุบันที่สร้างพระอุโบสถเป็นประธานตรงกลาง

 

พระมหาเจดีย์ใหญ่ตั้งอยู่บนฐานทักษิณที่สูงในระดับแนวหลังคาพระระเบียงคด

พระมหาเจดีย์ใหญ่ตั้งอยู่บนฐานทักษิณที่สูงในระดับแนวหลังคาพระระเบียงคด

 

องค์พระมหาเจดีย์เป็นทรงไทยย่อเหลี่ยม ทรงระฆังกลม 
ตั้งอยู่บนฐานทักษิณที่สูงในระดับแนวหลังคาพระระเบียงคด 
คือสูงประมาณ ๔๓ เมตร ความยาวโดยรอบฐาน ๕๖.๒๐ เมตร 
ฐานคูหาประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์โดยตลอดทั้งองค์ 
เหนือฐานพระมหาเจดีย์มีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ 

และ พระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ 
พระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) 

รวมทั้ง รูปหล่อของพระเถระสำคัญรูปอื่นๆ อยู่โดยรอบ รวม ๑๔ ซุ้ม

 

เหนือฐานพระมหาเจดีย์ใหญ่มีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ  และพระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช ๒ พระองค์ อยู่โดยรอบ  ส่วนซุ้มกระจกประดับด้วยลายเทพนมแบบปูนปั้นอย่างงดงาม

เหนือฐานพระมหาเจดีย์ใหญ่มีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ 
และพระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช ๒ พระองค์ อยู่โดยรอบ 
ส่วนซุ้มกระจกประดับด้วยลายเทพนมแบบปูนปั้นอย่างงดงาม

 

ซุ้มกระจกพระมหาเจดีย์ใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ

ซุ้มกระจกพระมหาเจดีย์ใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ

 

เหนือซุ้มคูหาพระพุทธรูปเหล่านี้มีบริเวณชานเดินประทักษิณ
และกำแพงแก้ว สำหรับเดินรอบองค์พระมหาเจดีย์ 
มีบันไดขึ้นจากด้านในพระมหาเจดีย์ ทางเข้าข้างในขึ้นบันไดอยู่ทางทิศเหนือ 
ด้านข้างพระอุโบสถ กลางองค์พระมหาเจดีย์ 
มีฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาปางนาคปรก ศิลปะลพบุรี 
สลักจากหินทรายจำนวน ๒ องค์ ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือและทิศใต้

และพระพุทธรูปปางนาคปรกขนาดย่อมอีก ๒ องค์ 
ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก 
นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปอื่นๆ อีกหลายองค์ 
เล่ากันว่าพระพุทธรูปศิลาปางนาคปรกนี้ขุดพบใต้ต้นตะเคียนริมคลองหลอด 
อีกทั้งเป็นที่เชื่อกันว่าคนที่อยากมีบุตรให้มาขอพรที่นี่ ก็จะได้มีบุตรสมใจ 

และตามผนังด้านในขององค์พระมหาเจดีย์ 
มีช่องขนาดย่อมสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปอีก ๖ ช่อง 
คือผนังด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ ทิศละ ๒ ช่อง
รวมทั้ง มีตู้พระธรรมตั้งอยู่อีก ๑ ตู้ 

ส่วนบนยอดปลีของพระมหาเจดีย์เป็นลูกแก้วกลม 
ครอบผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒

 

ยอดปลีของพระมหาเจดีย์ใหญ่เป็นลูกแก้วกลมครอบผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้

ยอดปลีของพระมหาเจดีย์ใหญ่เป็นลูกแก้วกลมครอบผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 

 

สถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของพระมหาเจดีย์ใหญ่

สถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามของพระมหาเจดีย์ใหญ่

 

พระมหาเจดีย์ใหญ่ (อีกมุมหนึ่ง)

พระมหาเจดีย์ใหญ่ (อีกมุมหนึ่ง) 

 

“พระอุโบสถ” วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

“พระอุโบสถ” วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

 

พระอุโบสถ 

เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขเด็จด้านหน้า หลังคาลด ๒ ชั้น 
หลังคาด้านหน้ามุขเด็ดมุงด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์หลากสี
ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับปูนปั้นรูปช้างเจ็ดเศียร
เทิดพานรองรับพระเกี้ยวอยู่กลางลานกระหนก 
ขนาบสองข้างด้วยฉัตร ประคองด้วยราชสีห์ และคชสีห์ 
หน้าบันมุขเด็จเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ 

ตัวพระอุโบสถเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๕ มีประตูเข้าด้านหน้า ๓ ช่อง 
มี ๗ ห้อง กว้าง ๑๗.๗๐ เมตร ยาว ๒๑.๖๕ เมตร สูงถึงขื่อ ๙.๘๐ เมตร 
ประตูและหน้าต่างมีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง 
มีบานประตู ๑๐ บาน บานหน้าต่าง ๒๘ บาน 
บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถด้านในเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ 
ด้านนอกประดับมุกลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เฉพาะตราชั้นหนึ่ง รวม ๕ ดวง นับแต่ดวงบนลงมาตามลำดับ มีดังนี้

 

‘หน้าต่างพระอุโบสถ’ มีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง  ด้านข้างของซุ้มหน้าต่างแต่ละด้านเป็นเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกระหนก

‘หน้าต่างพระอุโบสถ’ มีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง 
ด้านข้างของซุ้มหน้าต่างแต่ละด้านเป็นเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกระหนก

 

๑. นพรัตน์ราชวราภรณ์
๒. มหาจักรีบรมราชวงค์
๓. ปฐมจุลจอมเกล้า
๔. ประถมาภรณ์ช้างเผือก
๕. ประถมมาภรณ์มงกุฏไทย

และโดยเฉพาะที่บานประตู เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง ๕ นี้ 
มีสายสะพายล้อมวงกลมและสร้อยทับอยู่บนสายสะพาย 
กับมีโบว์ห้อยดวงตราลงมาตามลำดับดังนี้ ใต้ดวงที่ ๑ เป็นภาพเทวดาพนมมือ 
ใต้ดวงที่ ๒ เป็นภาพเทพธิดาฟ้อน ใต้ดวงที่ ๓ เป็นภาพกินนรรำ 
ใต้ดวงที่ ๔ เป็นภาพหนุมานเหาะ ใต้ดวงที่ ๕ เป็นภาพอินทรชิตเหาะ 
ระหว่างภาพและตราเป็นลายกะหนกและประจำยามก้ามปู

 

“บานประตูพระอุโบสถ” ประดับมุกลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์  ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

“บานประตูพระอุโบสถ” ประดับมุกลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 
ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

 

อนึ่ง การประดับมุขชิ้นเล็กๆ ยังทำเป็นสร้อยทับลงบนแพรแถบ 
มีอักษร จ.ป.ร. ไขว้ และมีตราจักรีคั่นไปเป็นระยะ โดยมีสร้อยลูกโซ่ร้อยทั้งสองข้าง 
ชายแถบแพรผูกหูกระต่าย มีตราห้อยตรงกลางแบบของจริง 

ยกย่องกันว่าลายประดับมุขที่บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถนี้ 
เป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ด้านข้างของซุ้มประตูพระอุโบสถแต่ละด้าน
เป็นรูปเซี่ยวกางทรงเครื่องแบบไทย ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์ 
ส่วนด้านข้างของซุ้มหน้าต่างพระอุโบสถแต่ละด้าน 
เป็นเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกระหนก 

ฝีมือประดับมุขดังกล่าวนี้มานี้ ตามหลักฐานกล่าวว่า
เป็นฝีพระหัตถ์ของ พระบรมวงค์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงค์ประวัติ 
พระราชโอรสองค์ที่ ๓๐ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
และเป็นพระองค์ที่ ๕ ในเจ้าจอมมารดาจันทร์

 

มุกลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์  บน “บานประตูและบานหน้าต่างพระอุโบสถ” วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม  ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

มุกลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 
บน “บานประตูและบานหน้าต่างพระอุโบสถ” วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 
ซึ่งยกย่องกันว่าเป็นศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

 

บานมุขประตูและหน้าต่างพระอุโบสถมีประวัติว่า เดิมเป็นบานพระทวาร
และบานพระแกลพระพุทธรูปปรางค์ปราสาท วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 
ในพระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นเมื่อบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม 
คราวสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๕
ภายหลังเกิดเพลิงไหม้หลังคาพระพุทธปรางค์ปราสาท
เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๔๖ 

พระพุทธปรางค์ปราสาทถูกไฟไหม้มากเพราะเป็นเครื่องไม้เป็นส่วนใหญ่ 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบัญชาการดับเพลิงอยู่ด้วย 
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ถอดบานมุกที่ยังไม่ไหม้ออกทัน 
พร้อมกันนั้นได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ถอดบานมุกที่พระมณฑป
ซึ่งอยู่ใกล้กับพระพุทธปรางค์ปราสาทออกด้วย 

และต่อมาได้มีการปฏิสังขรณ์พระพุทธปรางค์ปราสาทใหม่ 
แต่ยังไม่ทันเสร็จก็พอดีสิ้นรัชกาลที่ ๕ เสียก่อน

ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ต่อจนแล้วเสร็จ 
แต่บานพระทวารและพระแกลได้เปลี่ยนเป็นลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อย่างในปัจจุบัน 
เหตุที่ยังไม่โปรดให้นำเอาบานมุกมาติดไว้ตามเดิม 
คงจะเป็นเพราะว่า บานมุกไม่ครบ คงถูกไฟไหม้เสียหายไปบ้าง 
จะซ่อมใหม่ก็ทำให้สิ้นเปลืองพระราชทรัพย์มาก

 

เครื่องแขวน ในพระอุโบสถ

เครื่องแขวน ในพระอุโบสถ

 

ยิ่งกว่านั้นก็คือกรมช่างมุกในระยะนั้นเสื่อมจนหมดตัวช่างฝีมือดีเสียแล้ว 
เมื่อปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ พระราชทานนามใหม่ว่า “ปราสาทพระเทพบิดร”
และเปิดใช้งานเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ 

บานมุกทั้งหมดที่นำมาติดที่พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนี้
มีรวมด้วยกันทั้งหมดที่บานประตูและบานหน้าต่างรวม ๓๘ บาน 
(เมื่ออยู่พระพุทธปรางค์ปราสาทหรือปราสาทเทพบิดรมีมากกว่านี้)
เป็นประตูหน้าและหลัง ๕ คู่ ๑๐ บาน และเป็นหน้าต่าง ๑๔ คู่ ๒๘ บาน 

ส่วนบานมุกเดิมที่ถอดไว้นั้น โปรดเกล้าฯ 
ให้นำมาติดที่พระอุโบสถประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๕ 
และบานประตูและหน้าต่างเดิมของพระอุโบสถซึ่งเป็นไม้แกะสลักนั้น 
นำไปติดไว้เป็นประตูและหน้าต่างของพระวิหาร 

พระอุโบสถหลังนี้ ทรงนอกเป็นแบบไทยตามที่ได้กล่าวมาแล้ว 
ส่วนทรงในเป็นแบบฝรั่ง กล่าวกันว่าเพดาน เสา และลวดลาย 
ประดับตกแต่งผนังลักษณะคล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่ง 
ในพระราชวังแวร์ซายร์ ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็มีศิลปะไทยปนอยู่ด้วย

 

พระอุโบสถประดับตกแต่งผนังลักษณะคล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่ง  ในพระราชวังแวร์ซายร์ ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็มีศิลปะไทยปนอยู่ด้วย

พระอุโบสถประดับตกแต่งผนังลักษณะคล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่ง 
ในพระราชวังแวร์ซายร์ ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็มีศิลปะไทยปนอยู่ด้วย

 

ที่ผนังด้านในพระอุโบสถเขียนเป็นรูปดอกไม้ร่วงสีทอง 
ระหว่างช่องหน้าต่างเป็นรูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ” 
ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกของพระปรมาภิไธยรัชกาลที่ ๕ 
เหนือซุ้มประตูกลางด้านในปั้นเป็นรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาลของพระองค์
หรือตราแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ หรือที่เรียกว่า ตราอาร์ม 
อันประกอบด้วยที่หมายสำคัญต่างๆ รวมกัน คือ พระมหาวิชัยมงกุฎ จักร 
ตรี โล่ ช้างไอราพต ช้างเผือก กฤช พระมหาสังวาลย์นพรัตน์ 

พระสายสร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฯ ฉัตรตั้งมีราชสีห์และคชสีห์
ประคองฉลองพระองค์ครุยและเครื่องหมายเบญจราชกุลภัณฑ์ 
เบื้องล่างมีแถบโบจารึกภาษิตกำกับว่า 
“สพเพสํ สงฆภูตานํ สามคคี วุฑฒิสาธิกา” ประกอบอยู่ด้วย 

ผนังส่วนบนระหว่างเสาคูหาเขียนภาพพุทธประวัติ 
ซึ่งทั้งการออกแบบตกแต่งและเขียนภาพนี้
เป็นผลงานของหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย

 

บานประตูกลางพระอุโบสถด้านในเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์  เหนือซุ้มประตูกลางปั้นเป็นรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ๕ และที่ผนังระหว่างช่องหน้าต่างเป็นรูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ”

บานประตูกลางพระอุโบสถด้านในเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ 
เหนือซุ้มประตูกลางปั้นเป็นรูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ๕
และที่ผนังระหว่างช่องหน้าต่างเป็นรูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ”

 

สำหรับเรื่องรูป ‘อุณาโลม’ ที่มีลักษณะเหมือนเลขเก้านั้น มีเรื่องเล่าว่า 
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ 
ที่ยังต้องมีการรบทัพจับศึกอยู่นั้น เหล่าไพร่พลต่างก็หาของขลังของดี 
และเครื่องรางจากอาจารย์ต่างๆ มาคุ้มกันตัวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอาจารย์ 
แล้วก็ว่าของขลังของอาจารย์ตนนั้นเหนือกว่าของอาจารย์คนอื่น 

จนมีเรื่องกระทบกระทั่งกันวุ่นวาย ต่อมา รัชกาลที่ ๑ กับพระอนุชา 
คือสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ 
จึงเสด็จไปที่วัดชนะสงคราม แล้วทรงเขียนยันต์เป็นรูปอุณาโลมนี้ 
แจกจ่ายให้กับบรรดาทหารทั้งหลายเหมือนกันหมด ไม่ให้ใช้เครื่องรางของผู้อื่นอีก 
และรูปอุณาโลมนี้ก็เป็นเครื่องหมายที่ใช้มาในกองทัพจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 

นอกจากนั้น การให้สีในพระอุโบสถล้วนมีความประณีตงดงาม 
ปิดทองบางแห่งทำให้แลดูเจริญตา การตกแต่งภายในพระอุโบสถนี้ 
เป็นฝีพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย เช่นเดียวกัน 
(แต่ลวดลายที่ปรากฏอยู่บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒)

 

ด้านข้างของซุ้ม ‘ประตูพระอุโบสถ’ แต่ละด้าน  มีทวารบาลเป็นรูป ‘เซี่ยวกาง’ ทรงเครื่องแบบไทย ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์         ด้านข้างของซุ้ม ‘ประตูพระอุโบสถ’ แต่ละด้าน  มีทวารบาลเป็นรูป ‘เซี่ยวกาง’ ทรงเครื่องแบบไทย ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์

ด้านข้างของซุ้ม ‘ประตูพระอุโบสถ’ แต่ละด้าน 
มีทวารบาลเป็นรูป ‘เซี่ยวกาง’ ทรงเครื่องแบบไทย ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์

 

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ ที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ
ที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค

 

พระพุทธอังคีรส 

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปหล่อปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ 
ทรงผ้ามีกลีบ วัสดุสำริดกะไหล่ทองเนื้อแปด ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ ศอกคืบ 
หรือ ๖๐ นิ้ว น้ำหนัก ๑๘๐ บาท พระฉวีวรรณเป็นทองคำทั้งองค์
ซึ่งเป็นทองคำที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
รัชกาลที่ ๕ ทรงใช้แต่งพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนที่สั่งมาจากประเทศอิตาลี 
‘พระพุทธอังคีรส’ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าพระนามหนึ่ง 
ซึ่งแปลว่า มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย 


พระพุทธรูปองค์นี้มีประวัติการสร้างบันทึกไว้ต่างกันเป็น ๒ ความ

ความที่หนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
ทรงเล่าประวัติพระพุทธรูปสำคัญพระองค์นี้ไว้ว่าหล่อเมื่อสถาปนาวัดราชบพิธ

 

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

 

ส่วนอีกความหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ 
ทรงนิพนธ์ไว้ว่าหล่อในระหว่างช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ ต่อต้นรัชกาลที่ ๕ 
การหล่อทำเป็นพระราชพิธี เป็นพระพุทธรูปกะไหล่ทองคำทั้งองค์ 
สิ้นเนื้อทองแปดน้ำหนัก ๑๘๐ บาท 

เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้น
เพื่อจะนำไปประดิษฐานยังพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม แต่มาสิ้นรัชกาลเสียก่อน 
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นำมา
ประดิษฐานในพระอุโบสถแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๕

ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อฐานบัลลังก์กะไหล่ทองเนื้อหก หนัก ๔๘ บาท 
ขึ้นรองรับองค์พระพุทธรูป เบื้องบนองค์พระพุทธรูปมีเศวตฉัตรกั้น
ซึ่งเดิมเป็นเศวตฉัตรกั้นพระโกศพระบรมศพของ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
เมื่อถวายพระเพลิงแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
โปรดเกล้าฯ ให้นำมากั้น ‘พระพุทธอังคีรส’ พระประธานในพระอุโบสถ 
และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีชักเชือกเศวตฉัตรนี้ 
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๗

 

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

พระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

 

ใต้ฐานชุกชีของพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ 
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ 
โปรดให้บรรจุพระบรมอัฐิและพระอัฐิในครอบครองของพระองค์ 
ประกอบด้วยพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ ๒ ถึง รัชกาลที่ ๕ 

พระอัฐิสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร 

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ 
เมื่อเสด็จสวรรคต ณ ประเทศอังกฤษ ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิกลับเมืองไทย 
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มาบรรจุไว้ที่ใต้ฐานชุกชีของพระพุทธอังคีรสนี้
และในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ก็ได้บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ไว้เช่นกัน 


เมื่อเรากราบพระพุทธอังคีรส นอกจากจะได้สักการบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว 
ยังเท่ากับได้ถวายสักการะพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า 
แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และพระบรมวงศ์ไปในขณะเดียวกัน

 

“พระนิรันตราย” พระพุทธรูปทองคำ

“พระนิรันตราย” พระพุทธรูปทองคำ

 

พระนิรันตราย 

เป็นพระพุทธรูปทองคำเช่นเดียวกัน ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี
เป็นเบญจาด้านหน้าและต่ำกว่า ‘พระพุทธอังคีรส’ ลงมา 
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเพชร 
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์กะไหล่ทอง 
มีเรือนแก้วเป็นพุ่มมหาโพธิ์ ยอดเรือนแก้วมีรูปพระมหามงกุฎ
และเรือนแก้วนี้ติดกับฐานชั้นล่างขององค์พระพุทธรูป 
มีอักษรขอมจารึกพระคุณนามแสดงพระพุทธคุณ
ลงบนกลีบบัวเบื้องหน้า ๙ เบื้องหลัง ๙ 

คือ ตั้งแต่ อรหํ สมมาสมพุทโธ ถึง ภควา 
และฐานล่างของฐานพระมีที่สำหรับรองน้ำสรงพระ มีท่อเป็นรูปศีรษะโค 
อันมีความหมายถึงพระพุทธองค์ว่าเป็น “โคตมโคตร” 

พระนิรันตราย เป็นพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว 
ทรงมีพระราชดำริแบบอย่างสร้างขึ้น
แล้วหล่อจำลองพระราชทานอารามต่างๆ ในคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย 

ปัจจุบันพระนิรันตรายเป็นองค์ที่ทำขึ้นใหม่ 
เพราะองค์ที่พระราชทานมานั้นถูกโขมยลักไป 
ชุกชีที่ประดิษฐานเป็นเบญจาซีกเล็ก 
เคยเป็นที่ทรงพระโกศสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บรมราชเทวี 
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์

 

“พระนิรันตราย” ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

“พระนิรันตราย” ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ

 

พระพุทธอังคีรส เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าพระนามหนึ่ง  ซึ่งแปลว่า มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย

พระพุทธอังคีรส เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าพระนามหนึ่ง 
ซึ่งแปลว่า มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย

 

“พระวิหาร” มีรูปทรงเป็นแบบเดียวกับพระอุโบสถทั้งภายนอกและภายใน  บานประตูและบานหน้าต่างสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

“พระวิหาร” มีรูปทรงเป็นแบบเดียวกับพระอุโบสถทั้งภายนอกและภายใน 
บานประตูและบานหน้าต่างสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

 

พระวิหาร 

อยู่ทางด้านใต้พระมหาเจดีย์ใหญ่ มีลักษณะรูปทรงเป็นแบบเดียวกับพระอุโบสถ
ทั้งภายนอกและภายใน ต่างกันแต่ว่าบานประตูและบานหน้าต่างของพระวิหาร
สลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 
(เฉพาะตราชั้นหนึ่ง รวม ๕ ดวง) และลงรักปิดทอง เท่านั้น 

ภายในพระวิหารลักษณะการตกแต่งภายในคล้ายคลึงกับพระอุโบสถ
แต่ตกแต่งเรียบกว่า ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ 

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) 
โปรดให้ทาผนังเป็นสีชมพูซึ่งเป็นสีตามวันพระราชสมภพ (วันอังคาร)
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
และเขียนลายดอกไม้ร่วงสีทอง โดยผนังระหว่างช่องหน้าต่างทำเป็น
รูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ” เช่นเดียวกับพระอุโบสถ

 

ด้านข้างของ “พระวิหาร” ด้านหน้าของ “พระวิหาร” ซุ้มประตู “พระวิหาร”

ด้านข้างของ “พระวิหาร”                                                ด้านหน้าของ “พระวิหาร”                                                ซุ้มประตู “พระวิหาร”

 

 

กล่าวกันว่า เดิมประตูและหน้าต่างของพระวิหารนี้เป็นของพระอุโบสถ
แต่เมื่อนำเอาบานมุกมาติดที่พระอุโบสถแล้ว ก็ย้ายของเดิมมาไว้ที่พระวิหาร 

และข้อแตกต่างจากพระอุโบสถอีกอย่างหนึ่งภายในพระวิหารก็คือ 
ลวดลายมีเฉพาะที่เพดาน บัวกั้นผนังชั้นล่าง ชั้นบน 
และกรอบประตูหน้าต่างเท่านั้น ผนังนอกนั้นเป็นสีขาวไม่มีลวดลาย

ที่หัวเสาพระวิหารมีเครื่องตกแต่งเป็นสัญลักษณ์ เรียกว่า “หัวเม็ดยอดปลี” 
หมายถึงเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นเครื่องตกแต่งอาคารเฉพาะวังและวัดเท่านั้น

 

“พระประทีปวโรทัย” พระประธานในพระวิหาร  ด้านหน้าประดิษฐานพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร)

“พระประทีปวโรทัย” พระประธานในพระวิหาร 
ด้านหน้าประดิษฐานพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร)

 

พระประทีปวโรทัย 

ในพระวิหารประดิษฐานพระประธาน นามว่า พระประทีปวโรทัย 
ประดิษฐานอยู่บนชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยของเก่าที่ซ่อมขึ้นใหม่ 
เศวตฉัตรที่กั้นเหนือองค์พระเดิมเป็นเศวตฉัตรกั้นพระโกศพระบรมศพ 
ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 

ด้านหน้าและด้านขวาของ “พระประทีปวโรทัย” พระประธานในพระวิหาร 
ประดิษฐาน พระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) 
พระรูปภาพ และเจดีย์พระอัฐิ ของอดีตสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้

 

พระรูปภาพและเจดีย์พระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร)  ประดิษฐานอยู่ด้านขวาของ “พระประทีปวโรทัย” พระประธานในพระวิหาร

พระรูปภาพและเจดีย์พระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) 
ประดิษฐานอยู่ด้านขวาของ “พระประทีปวโรทัย” พระประธานในพระวิหาร

 

หลังพระประธานเป็น ตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่ ๓ ตู้ 
เป็นพระไตรปิฎกฉบับใบลานบรรจุอยู่ในกล่องไม้สัก ทาน้ำมันบ้าง ทาสีบ้าง 
และมีลวดลายทำด้วยเส้นทองเหลืองฝังลงไปในเนื้อไม้ มีตราของหลวง 
พระไตรปิฎกเหล่านี้กล่าวกันว่า ได้รับพระราชทานมาตั้งแต่ครั้งสร้างวัด 
บางท่านกล่าวว่าอาจเป็นพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่ยังเหลืออยู่ 
ส่วนตู้พระไตรปิฎกนั้นเป็นของสร้างขึ้นในสมัย 
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงครองวัด 

วัดแห่งนี้ไม่มีหอไตรเหมือนกับพระอารามหลวง (วัดหลวง) โดยทั่วๆ ไป 
ดังนั้น พระวิหารของวัดจึงเท่ากับเป็นหอไตรไปด้วย

 

สถาปัตยกรรมภายในพระวิหาร ซึ่งมีผนังเป็นสีชมพู

สถาปัตยกรรมภายในพระวิหาร ซึ่งมีผนังเป็นสีชมพู

 

บานหน้าต่างพระวิหารสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์  ผนังเป็นสีชมพู ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทำเป็นรูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ”

บานหน้าต่างพระวิหารสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 
ผนังเป็นสีชมพู ผนังระหว่างช่องหน้าต่างทำเป็นรูปอุณาโลมสลับด้วยรูปอักษร “จ”

 

“ซุ้มบานประตูพระวิหาร”

“ซุ้มบานประตูพระวิหาร”

 

“บานประตูพระวิหาร”  สลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

“บานประตูพระวิหาร” 
สลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

 

“บานหน้าต่างพระวิหาร”  สลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

“บานหน้าต่างพระวิหาร” 
สลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

 

‘หน้าต่างพระวิหาร’ มีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง  ด้านข้างของซุ้มหน้าต่างแต่ละด้านเป็นเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกระหนก  ส่วนบานหน้าต่างสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

‘หน้าต่างพระวิหาร’ มีซุ้มยอดมณฑปครึ่งซีกติดลวดลายปูนปั้นปิดทอง 
ด้านข้างของซุ้มหน้าต่างแต่ละด้านเป็นเทวดาถือพระขรรค์ยืนอยู่กลางลายกระหนก 
ส่วนบานหน้าต่างสลักด้วยไม้เป็นลวดลายไทยจำลองรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์

 

สถาปัตยกรรมอันงดงามของ “ซุ้มบานหน้าต่างพระวิหาร”

สถาปัตยกรรมอันงดงามของ “ซุ้มบานหน้าต่างพระวิหาร”

 

บันไดทางขึ้นไปสู่ “พระวิหารทิศ” ด้านทิศตะวันออก ฝั่งถนนเฟื่องนคร ที่หัวเสามีเครื่องตกแต่งเรียกว่า “หัวเม็ดยอดปลี” หมายถึงเขาพระสุเมรุ  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เครื่องตกแต่งอาคารเฉพาะวังและวัดเท่านั้น

บันไดทางขึ้นไปสู่ “พระวิหารทิศ” ด้านทิศตะวันออก ฝั่งถนนเฟื่องนคร
ที่หัวเสามีเครื่องตกแต่งเรียกว่า “หัวเม็ดยอดปลี” หมายถึงเขาพระสุเมรุ 
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เครื่องตกแต่งอาคารเฉพาะวังและวัดเท่านั้น

 

พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข 

มี ๒ หลัง อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตรงกับพระมหาเจดีย์ 
เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในพระระเบียงคดรอบองค์พระมหาเจดีย์ 
ลักษณะรูปทรงคล้ายกับพระวิหาร แต่ขนาดย่อมกว่า
มีมุขด้านหน้าทั้ง ๒ หลัง ที่หน้าบันมุขชั้นบนเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ 
ส่วนหน้าบันมุขชั้นล่างเป็นรูปช้างสามเศียรเทิดบุษบก 
และซุ้มประตูทางเข้าเป็นทรงยอดมณฑปครึ่งซีก 
แต่บานประตูเป็นภาพเขียนสีรูปเซี่ยวกางตามคตินิยมของจีน

 

พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข (อีกมุมหนึ่ง) “พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข”  เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในพระระเบียงคดรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่ ด้านหลังของ “พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข”

พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข (อีกมุมหนึ่ง)                              “พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข”                             ด้านหลังของ “พระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข” 
เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในพระระเบียงคดรอบพระมหาเจดีย์ใหญ่

 

พระระเบียงคดหรือพระวิหารคด 

เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกัน มีทั้งหมด ๔ ด้าน 
เชื่อมระหว่างพระอุโบสถ พระวิหารทิศทั้ง ๒ หลัง
และพระวิหาร โดยล้อมองค์พระมหาเจดีย์ 
ผนังประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี 

ด้านนอกมีทางเดินปูด้วยหินอ่อน และมีเสาหินกลมรับเชิงชาย 
ส่วนด้านในเป็นพื้นสองชั้น มีเสาหินกลม ปูด้วยหินอ่อน 
บัวหัวเสาก่ออิฐถือปูนย่อเหลี่ยม ลงรักปิดทอง 
ประดับกระจก รองรับเครื่องบนและเชิงชาย

 

‘พระระเบียงคดหรือพระวิหารคด’

‘พระระเบียงคดหรือพระวิหารคด’ 

 

‘ศาลาราย’ ศาลาหลังเล็กๆ หน้าพระอุโบสถ ๒ หลัง

‘ศาลาราย’ ศาลาหลังเล็กๆ หน้าพระอุโบสถ ๒ หลัง

 

ศาลาราย 

เป็นศาลาโถงหลังเล็กๆ ขนาด ๒ ห้องรอบไพที มีทั้งหมด ๘ หลัง 
ตั้งอยู่ทางด้านหน้าพระอุโบสถ ๒ หลัง พระวิหาร ๒ หลัง 
และพระวิหารทิศทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตกด้านละ ๒ หลัง 
ลักษณะเป็นศาลาทรงไทย หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี 
มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์
ที่หน้าบันของศาลารายเป็นรูปเทพพนมอยู่ท่ามกลางลายกระหนก 

เกยและพลับพลาเปลื้องเครื่อง 

อยู่ทางมุมกำแพงวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือ 
ตัวพลับพลาก่ออิฐถือปูน หลังคาลด ๒ ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี
ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นตราราชวัลลภ

ด้านหน้าพลับพลาเป็น เกยชาลา ก่ออิฐถือปูน
เกยและพลับพลานี้สร้างขึ้นตามคติพระราชประเพณีโบราณ 
คือ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินโดยทางสถลมารค 
จะเสด็จมาประทับที่เกย จากนั้นจะเสด็จขึ้นพลับพลา 
ทรงเปลื้องเครื่องขัตติยราชภูษิตาภรณ์ และพระชฎามหากฐิน
แล้วแต่งพระองค์ใหม่ ก่อนจะทรงพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถ 
ในการพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน 
ดังนั้น จึงเรียกนามพลับพลาว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง 

ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดสำคัญยิ่ง 
เพราะพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จมาถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง 
แต่ต่อมาเมื่อมีการนำรถม้าและรถยนต์เข้ามาใช้ตามลำดับ 
เกยและพลับพลาเปลื้องเครื่องนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้

นอกจากนี้ ชั้นล่างหรือบนพื้นธรรมดาของวัด 
ยังมีศาสนวัตถุ-ศาสนสถานที่มีคุณค่าน่าชม ดังต่อไปนี้

 

หอระฆัง

หอระฆัง

 

หอระฆัง 

อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ในเขตคณะนอกใกล้กับศาลา ๑๐๐ ปี 
เป็นหอระฆัง ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน 
ชั้นบนทำเป็นซุ้มโปร่งทั้ง ๔ ด้าน ตรงมุมย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง 
ยอดเป็นรูปพระเกี้ยว ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์
อยู่ในบริเวณที่จัดเป็นรูปเทพพนมอยู่ท่ามกลางลายกระหนก

 

หอกลอง

หอกลอง

 

หอกลอง 

มีลักษณะเป็นอาคาร ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน 
ชั้นบนทำเป็นซุ้มโปร่งทั้ง ๔ ด้าน ตรงมุมย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง 
ยอดเป็นรูปพระเกี้ยว ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์ 
แบบเดียวกันกับหอระฆัง แต่กรุด้วยกระจกสี ๓ ด้านที่ซุ้มประตู
หอระฆังกับหอกลองอยู่คนละด้าน หอระฆังอยู่ด้านถนนเฟื่องนคร 
ส่วนหอกลองจะอยู่ใกล้ๆ กับสุสานหลวงและศาลาการเปรียญคณะใน

 

อนุสาวรีย์หินอ่อนยอดปรางค์ บรรจุพระสรีรังคารของ  สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ พระองค์ที่ ๒

อนุสาวรีย์หินอ่อนยอดปรางค์ บรรจุพระสรีรังคารของ 
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ พระองค์ที่ ๒

 

 

๒ อนุสาวรีย์ยอดปรางค์ 

คือใกล้ๆ กับหอระฆังแต่อยู่ในเขตพุทธาวาสเป็นอนุสาวรีย์หินอ่อนยอดปรางค์
บรรจุพระสรีรังคารและจารึกพระประวัติของ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร 
(หม่อมเจ้ากระจ่าง ลดาวัลย์ อรุโณ) 

เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนี้ (ครองวัด พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๔๔)

ส่วนที่ใกล้กับหอกลองเป็นอนุสาวรีย์หินอ่อนยอดปรางค์เช่นเดียวกัน 
บรรจุพระสรีรังคารของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ 
เจ้าอาวาสพระองค์ที่ ๒ ของวัดนี้ โดยมีแผ่นหินอ่อนจารึกพระประวัติ ๓ ด้าน 
และมีจารึกพระโอวาทอันน่าจับใจอยู่ทางด้านตะวันตก

 

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร

 

‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารฝรั่งถือปืน  ที่ประตูด้านหน้าวัดด้านทิศตะวันออก ฝั่งถนนเฟื่องนคร

‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารฝรั่งถือปืน 
ที่ประตูด้านหน้าวัดด้านทิศตะวันออก ฝั่งถนนเฟื่องนคร

 

ทวารบาล 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดหนึ่งที่มีทวารบาลที่แปลกและโดดเด่น 
เช่น บานประตูของวัดจะเป็นรูปทหารต่างๆ แต่งกายไม่เหมือนกันสลักติดไว้ 
เข้าใจว่าเป็นทหารมหาดเล็ก ซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ 
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งตัวหลายครั้ง จึงนำมาสลักไว้ในหลายรูปแบบ

 

‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารต่างๆ ที่ประตูวัด  โดยแต่ละซุ้มประตูทหารจะแต่งกายไม่เหมือนกัน ‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารต่างๆ ที่ประตูวัด  โดยแต่ละซุ้มประตูทหารจะแต่งกายไม่เหมือนกัน ‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารต่างๆ ที่ประตูวัด  โดยแต่ละซุ้มประตูทหารจะแต่งกายไม่เหมือนกัน

‘นายทวารบาล’ เป็นรูปสลักทหารต่างๆ ที่ประตูวัด 
โดยแต่ละซุ้มประตูทหารจะแต่งกายไม่เหมือนกัน

 

บานประตูพระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข  เป็นภาพเขียนสีรูป ‘เซี่ยวกาง’ ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์ ตามคตินิยมของจีน     บานประตูพระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข  เป็นภาพเขียนสีรูป ‘เซี่ยวกาง’ ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์ ตามคตินิยมของจีน

บานประตูพระวิหารทิศหรือพระวิหารมุข 
เป็นภาพเขียนสีรูป ‘เซี่ยวกาง’ ถือง้าวยืนอยู่บนหลังสิงห์ ตามคตินิยมของจีน

 

กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์

 

กระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ ลายเทพพนม ที่ผนังพระระเบียงคด (พระวิหารคด)

กระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ ลายเทพพนม ที่ผนังพระระเบียงคด (พระวิหารคด)

 

กระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ ลายเทพพนม

กระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ ลายเทพพนม

 

กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี

กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี

 

กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี      กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี

กระเบื้องเคลือบลายเบญจรงค์หลากสี

 

ประมวลภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส

 

ภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส ภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส

 

ภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส ภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส

 

ภาพปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตพุทธาวาส

 

อาคาร “ชินวรศรีธรรมวิทยาคาร” ๒๔๘๔     อาคาร “ชินวรศรีธรรมวิทยาคาร” ๒๔๘๔ (อีกมุมหนึ่ง)

     อาคาร “ชินวรศรีธรรมวิทยาคาร” ๒๔๘๔                           อาคาร “ชินวรศรีธรรมวิทยาคาร” ๒๔๘๔ (อีกมุมหนึ่ง)

 

ปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานในเขตสังฆาวาส 

(๑) คณะนอก มีศาลาการเปรียญคณะนอก (ศาลาร้อยปีในปัจจุบัน) 
พระที่นั่งสีตลาภิรมย์ (พระตำหนักเก๋ง) กุฏิสงฆ์คณะนอก หอฉัน 
หน้าคณะนอกมีศาลาทำบุญ สระน้ำ หอระฆัง 

พระที่นั่งสีตลาภิรมย์ (พระตำหนักเก๋ง) แห่งนี้
เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเป็นพระที่นั่งเย็นในพระราชฐานชั้นใน ในพระบรมมหาราชวัง 
อยู่ในบริเวณพระตำหนักสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี 
ใกล้ประตูสนามราชกิจ เป็นอาคารแบบจีน ขนาด ๓ ห้อง สูง ๓ ชั้น 

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้รื้อมาปลูกสร้างเป็นเสนาสนะสำหรับเจ้าอาวาสวัดในคณะนี้ 
นับแต่สถาปนาพระอารามหลวงแห่งนี้เป็นต้นมา 
ได้มีการบูรณะส่วนที่มีการชำรุดเป็นบางโอกาส
ต่อมาพระที่นั่งนี้มีสภาพทรุดโทรมมากขึ้น โดยเฉพาะตัวไม้เครื่องบน
และกระเบื้องมุงหลังคา จนใช้อยู่อาศัยไม่ได้ จึงได้มีการบูรณะ
โดยรื้อหลังคาออกทำใหม่ ทำห้องเพิ่มที่เฉลียงด้านข้างชั้นบน ข้างละ ๑ ห้อง
ขูดสีที่ทาทับลวดลายแกะสลักแบบจีนที่บานหน้าต่าง เปลี่ยนเป็นลงรักปิดทอง 
และทาสีภายในชั้นบน ชั้นกลาง และภายนอกตัวอาคารทั้งหมด

(๒) คณะใน มีศาลาการเปรียญคณะใน กุฏิสงฆ์คณะในแถวใน 
พระตำหนักอรุณ คือมีถาวรวัตถุเหมือนกับคณะนอก 
แต่ต่างกันตรงที่คณะในนี้มีหอกลอง ไม่มีหอระฆัง

พระตำหนักอรุณ รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับ
ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เจ้าอาวาสพระองค์แรก
เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๓ 
ส่วนนามพระตำหนักอรุณนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ 
ทรงประทานชื่อในภายหลัง เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระองค์เจ้าพระองค์นั้น

เป็นอาคารแบบตะวันตก ขนาด ๕ ห้อง ๓ ชั้น โดยมีระเบียงรอบ
หันหลังให้กับหน้าพระวิหาร หันหน้าชนกับพระที่นั่งสีตลาภิรมย์ (พระตำหนักเก๋ง)
มีบันไดขึ้นข้างนอก ๒ ข้าง ด้านหน้าพระตำหนักทั้งสองนั้น
เมื่อขึ้นบันไดข้างใดข้างหนึ่งแล้ว สามารถเข้าพระตำหนักอรุณชั้นกลาง ชั้นบน
และพระที่นั่งสีตลาภิรมย์ (พระตำหนักเก๋ง) ชั้นบนได้ เพราะมีชานแล่นถึงกัน

ต่อมา พระยาบริบูรณ์ราชสมบัติ (ม.ร.ว.มูล ดารากร) อธิบดีกรมพระคลังข้างที่ 
ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบูรณะซ่อมแซมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
โดยการบูรณะได้รื้อลงจนถึงฐานราก สร้างฐานรากและคานคอนกรีตใหม่ 
แล้วสร้างใหม่ให้พระตำหนักหันหน้าตรงกับหน้าพระวิหาร 

ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปวัตถุอันเป็นสมบัติส่วนพระองค์
ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ และสมบัติของวัด

(๓) คณะกลาง มีกุฏิหลังใหญ่ ๓ ชั้น, กุฏิ ๒ ชั้น 

กุฏิในเขตสังฆาวาสส่วนใหญ่ก่อสร้างตามแบบศิลปะตะวันตก

 

ป้ายชื่อสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

ป้ายชื่อสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

 

อนุสาวรีย์ในเขตสุสานหลวง 

เขต “สุสานหลวง” ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด 
นอกเขตกำแพงมหาสีมาธรรมจักร เป็นสุสานหลวงแห่งบรมราชจักรีวงศ์ 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ 
ให้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่ออุทิศพระราชกุศลแก่พระบรมราชเทวี 
พระราชเทวี เจ้าจอมมารดา ตลอดจน พระราชโอรส พระราชธิดา 

และมีบางส่วนที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงสร้างขึ้นในสมัยหลัง 
อนุสาวรีย์ต่างๆ ภายในสุสานหลวงนี้ทำเป็นรูปเจดีย์ พระปรางค์ วิหาร 
และอาคารทั้งที่เป็นศิลปะแบบยุโรป ศิลปะแบบขอม และศิลปะแบบไทย

 

บริเวณสุสานหลวง ร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกไม้ใบนานาพันธุ์

บริเวณสุสานหลวง ร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกไม้ใบนานาพันธุ์

 

บริเวณสุสานหลวงได้รับการตกแต่งดูแลอย่างดีจากสำนักพระราชวัง 
จึงเป็นสวนที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกไม้ใบนานาพันธุ์ หลายต้นเป็นไม้โบราณ 
เช่น กล้วยทอง กรรณิการ์ สารภี เข็ม ตะแบก ลั่นทม เป็นต้น 

ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้มีลักษณะกึ่งสวนหย่อม กึ่งอนุสรณ์สถาน 
และในวันที่ ๒๐ กันยายนของทุกปี 
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 
(ครั้งยังมีพระชนม์ชีพอยู่) จะเสด็จเป็นประธานในนามของ 
คณะพระราชนัดดาปนัดดาสายสัมพันธ์ในราชกุลรัชกาลที่ ๕ 
ในการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๘ 
ซึ่งทั้งสองพระองค์มีวันประสูติร่วมกัน

 

อนุสาวรีย์พระเจดีย์สีทอง ๔ องค์ มีลักษณะคล้ายกัน เรียงลำดับจากเหนือไปใต้  ได้แก่ สุนันทานุสาวรีย์, รังษีวัฒนา, เสาวภาประดิษฐาน และสุขุมาลย์นฤมิตร  ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างอุทิศพระราชทานแก่พระมเหสีเทวี ๔ พระองค์

อนุสาวรีย์พระเจดีย์สีทอง ๔ องค์ มีลักษณะคล้ายกัน เรียงลำดับจากเหนือไปใต้ 
ได้แก่ สุนันทานุสาวรีย์, รังษีวัฒนา, เสาวภาประดิษฐาน และสุขุมาลย์นฤมิตร 
ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างอุทิศพระราชทานแก่พระมเหสีเทวี ๔ พระองค์

 

อนุสาวรีย์ในเขตสุสานหลวงที่โดดเด่นคือ พระเจดีย์สีทอง ๔ องค์ 
(๑ องค์เล็ก กับ ๓ องค์ใหญ่) มีลักษณะคล้ายกัน เรียงลำดับจากเหนือไปใต้ 
ได้แก่ สุนันทานุสาวรีย์, รังษีวัฒนา, เสาวภาประดิษฐาน และสุขุมาลย์นฤมิตร
โดยสุนันทานุสาวรีย์ เป็นพระเจดีย์สีทองที่มีขนาดองค์เล็กที่สุด 
ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างอุทิศพระราชทานแก่พระมเหสีเทวี ๔ พระองค์ 
นอกจากนี้ ยังมีอนุสาวรีย์ต่างๆ ในสุสานหลวงองค์อื่นๆ ที่สำคัญ อาทิ

 

พระเจดีย์สีทอง “สุนันทานุสาวรีย์”

พระเจดีย์สีทอง “สุนันทานุสาวรีย์”

 

สุนันทานุสาวรีย์ 

พระเจดีย์สีทอง เป็นที่บรรจุพระสรีรางคาร 
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บรมราชเทวี 
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ 
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

พระเจดีย์สีทอง “รังษีวัฒนา”

พระเจดีย์สีทอง “รังษีวัฒนา”

 

รังษีวัฒนา 

พระเจดีย์สีทอง อาคารจตุรมุขยอดสถูป มีมุขกระสันเชื่อมระหว่างกัน 
ตรงกลางเป็นสถูปขนาดใหญ่ บุโมเสคทอง เป็นที่บรรจุพระสรีรางคาร 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร 
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก 
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร 
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า 
“สมเด็จย่า” สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (ประดิษฐานไว้เคียงข้าง
พระสรีรางคารสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม สมเด็จพระบรมราชชนก)
พร้อมทั้งพระประยูรญาติราชสกุลมหิดล 

และครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระสรีรางคารของ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 
ก็ได้นำมาบรรจุไว้ ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อประทับเคียงข้าง
พระสรีรางคารสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี

 

พระเจดีย์สีทอง “เสาวภาประดิษฐาน”     พระเจดีย์สีทอง “เสาวภาประดิษฐาน” (อีกมุมหนึ่ง)

          พระเจดีย์สีทอง “เสาวภาประดิษฐาน”                                                        พระเจดีย์สีทอง “เสาวภาประดิษฐาน” (อีกมุมหนึ่ง)

 

เสาวภาประดิษฐาน 

พระเจดีย์สีทอง เป็นที่บรรจุพระสรีรางคาร 
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 
และพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
อาทิ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ฯลฯ

 

พระเจดีย์สีทอง “สุขุมาลย์นฤมิตร”

พระเจดีย์สีทอง “สุขุมาลย์นฤมิตร”

 

สุขุมาลย์นฤมิตร 

พระเจดีย์สีทอง เป็นที่บรรจุพระสรีรางคาร 
สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี 
และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

 

อนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด

อนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด

 

อนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด 

ศิลปะแบบขอม บรรจุพระสรีรางคาร
พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ 
กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์ 
และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเกียรติมงคล 
พร้อมทั้งพระประยูรญาติราชสกุลยุคล

 

อนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด

อนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด

 

อนุสาวรีย์พระราชชายาเจ้าดารารัศมี 

บรรจุพระสรีรังคารพระราชชายาเจ้าดารารัศมี 

วิหารน้อย 

บรรจุพระสรีรังคารสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 
พร้อมทั้งพระประยูรญาติราชสกุลอาภากร 

ทั้งนี้ ครั้งล่าสุด อังคารของ ม.ร.ว.อดุลยกิติ์ กิติยากร 
พระบิดาของพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ 
ก็ได้นำมาบรรจุไว้ใน อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ 
พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ 

พร้อมทั้งพระประยูรญาติราชสกุลกิติยากร 
และอัฐิของคุณพุ่ม เจนเซ่น ก็ได้นำมาบรรจุไว้ ณ อนุสาวรีย์นี้ด้วยเช่นกัน 

นอกจากนั้นก็เป็นอนุสาวรีย์ของราชสกุลอื่นๆ รวมทั้งหมด ๓๖ องค์ 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นับเป็นพระอารามหลวงแห่งสุดท้าย 
ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามพระราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล

 

อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ

อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ

 

 

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวนสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท)
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
http://www.dharma-gateway.com/
http://mahamakuta.inet.co.th/
http://www.mbu.ac.th/
viewtopic.php?f=24&t=19364

นำมาจากเว็บธรรมจักร www.dhammajak.net

Top