มารู้จักกระแสเนื้อพระหล่อโบราณ ส่วนผสมและที่มาของชื่อเนื้อพระกัน - webpra

มารู้จักกระแสเนื้อพระหล่อโบราณ ส่วนผสมและที่มาของชื่อเนื้อพระกัน

บทความพระเครื่อง เขียนโดย หนุ่ยพุทธบูชา

หนุ่ยพุทธบูชา
ผู้เขียน
บทความ : มารู้จักกระแสเนื้อพระหล่อโบราณ ส่วนผสมและที่มาของชื่อเนื้อพระกัน
จำนวนชม : 49742
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 13 เม.ย. 2555 - 22:44.09
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

 

- พระโลหะหล่อโบราณที่เราคุ้นเคยและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในวงการพระฯเรานี้เช่น หลวงพ่อเงิน บางคลานพิมพ์ลอยองค์, พิมพ์จอบใหญ่,จอบเล็ก,หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง พิมพ์จอบใหญ่,พิมพ์รูปใข่, หลวงพ่อเดิมวัดหนองหลวง, พระปิดตา มหาอุดต์, พระกริ่ง,พระชัยต่างๆ ฯลฯ

- พระโลหะหล่อโบราณนี้ ในวงการพระถือว่าเป็นพระที่เล่นยากที่สุด เพราะนอกจากการพิจารณาความเก่าจะยุ่งยากซับซ้อนแล้ว การถอดพิมพ์เพื่อทำเทียมเลียนแบบ และการทำผิวความเก่าเลียนแบบก็ทำได้ใกล้เคียงมาก

- การพิจารณาพระหล่อโบราณนี้จะต้องพิถีพิถัน รัดกุม และจิตใจหนักแน่น หาไม่แล้วท่านจะหัวปั่นเหมือนจิ้งหรีดโดนปั่นหัว เนื่องจากหาคนรู้จริงในเรื่องนี้ยาก และมีน้อย ส่วนคนชอบสวดให้เสียมีมาก ฉะนั้นการเล่นพระกลุ่มนี้จึงควรเลือกเอาแต่องค์ที่ดูง่าย จะได้สบายใจ ซื้อ-ขายง่าย แต่บางองค์แม้จะดูยากสักหน่อย แต่เข้าตามหลักเกณฑ์ก็น่าจะรับเอาไว้ศึกษาบ้าง ถ้ามูลค่าไม่แพงนัก.

ทีนี้เรามาทำความรู้จัก เนื้อโลหะกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

  1. โลหะเดี่ยว เช่น เงิน ทอง ทองแดง ตะกั่ว เป็นต้น

  2. โลหะผสม แบ่งเป็น

     2.1 นวโลหะ  ก็คือโลหะผสมชั้นดี หรือจะเรียกว่าสัมฤทธิ์ชั้นดีก็ได้ โลหะกลุ่มนี้จะมี ทองคำและเงินผสมอยู่มากกว่าปกติทั่วไป ทำให้เนื้อโลหะแลดูนุ่มและเนียนมัน ผิวเมื่อกลับออกสีดำหรือน้ำตาลไหม้เข้ม เมื่อถูกขัดถูจะเห็นเนื้อในเป็นสีนาก และเมื่อปล่อยทิ้งไว้ไม่นานผิวโลหะจะกลับดำมันเช่นเดิม เช่น พระกริ่งของสมเด็จฯพระสังฆราชฯ (แพ), พระฯเจ้ามา พิมพ์ล้มลุก,พระปิดตาวัดทอง เป็นต้น

     2.2 สัมฤทธิ์  ก็คือโลหะผสมชั้นดี แต่มีส่วนผสมของทองคำ และเงิน น้อยกว่านวโลหะ เนื้อดูนุ่มเนียนคล้ายนวโลหะแต่อ่อนกว่า ผิวพระเมื่อกลับเป็นสีน้ำตาลเข้ม (เนื้อในสีชมพู) หรือกลับเป็นสีเทา (เนื้อในสีเหลืองอ่อน) ผิวกลับช้ากว่านวโลหะ เช่น พระกริ่งเจ้าคุณศรีฯ(สนธิ์),พระกริ่งชินบัญชร เป็นต้น พระเนื้อสัมฤทธิ์นี้เมื่อนานๆไปผิวพระจะหนาพอกพูนไปเรื่อยๆ ปรากฏอาการผุกร่อนเห็นได้ชัดเจนกว่าเนื้อนวโลหะ

    2.3 ประแจจีน คือโลหะเนื้อสัมฤทธิ์อย่างอ่อน เนื้อในเป็นสีชมพู เพราะมีส่วนผสมของทองแดงมาก ผิวพระกลับจะหม่นเข้มน้อยๆ ตามผิวจะปรากฏพรายของโลหะต่างชนิดเป็นเหลือบประปราย เพราะเป็นโลหะผสมอย่างหนึ่งและเนื้อโลหะนี้เข้ากันไม่ค่อยสนิทดี เช่น พระกริ่งวัดประสาท,พระกริ่งปี 83 เป็นต้น

   2.4 ขันลงหิน  คือโลหสัมฤทธิ์ อย่างอ่อน คล้ายประแจจีน แต่เนื้อในเป็นสีเหลืองอมเขียว เข้าใจว่าคงจะมีส่วนผสมของสังกะสี หรือดีบุกมาก ผิวจะหม่นคล้ำเขียว และผิวกลับช้า ผิวผุกร่อนง่าย เช่น ชินราชอินโดจีน ปี 85

    2.5 เนื้อทองผสม  หมายถึง เนื้อโลหะหลายอย่างมาผสมกันอย่างไม่มีสูตร ไม่มีหลักเกณฑ์ เอาแน่นอนไม่ได้ แล้วแต่ศัทธาของชาวบ้าน เรียกว่า "เนื้อทองศัทธา" บางครั้งเนื้อโลหะก็เข้ากันดี แต่ส่วนมากเนื้อโลหะก็จะเข้ากันไม่ค่อยดีนัก องค์พระจึงแลดูลายๆหลากตา สวยซึ้งแบบโบราณ บางหย่อมสีน้ำตาล บางหย่อมสีขาวหม่น บางหย่อมสีเหลืองอมเขียว และในบางองค์จะเห็นเนื้อทองคำ ปรากฏอยู่บนผิวพระเป็นริ้วเล็กๆ เรียกว่า "น้ำทอง" ตัวอย่างเช่น. หลวงพ่อเงินบางคลาน พิมพ์ต่างๆ หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง และพระหล่อโบราณต่างๆเป็นต้น

เนื้อโลหะที่ต่างชนิดกัน ย่อมก่อให้เกิด สนิม และคราบความเก่าที่ต่างกัน แม้จะอยู่ในองค์เดียวกันก็ตาม การเรียนรู้เรื่อง สนิมและลักษณะความเก่า ถือเป็นหัวใจที่สำคัญยิ่งในการพิจารณาพระประเภทโลหะหล่อโบราณนี้ครับ (เรื่องสนิมและคราบความเก่า อาจจะคัดลอกมาให้อ่านอีก ถ้ามีเวลา)

    - ผมไม่ใช่ผู้รู้ ไม่ใช่เซียน แค่นักสะสม ชอบอ่านและค้นคว้า อยากถ่ายทอดให้กับทุกๆท่านที่ต้องการรู้ เพื่อไม่ให้ความรู้นี้มันสูญหายไปก็เท่านั้นเองครับ.ต้องขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับ ที่เสียสละเวลามาอ่านนะครับ.-

 

Top