ประวัติ หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ - webpra

ประวัติ หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ

บทความพระเครื่อง เขียนโดย punch18

punch18
ผู้เขียน
บทความ : ประวัติ หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ
จำนวนชม : 9456
เขียนเมื่อวันที่ : อ. - 28 ม.ค. 2557 - 20:40.50
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พฤ. - 13 ก.พ. 2557 - 12:15.04
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

        ก่อนอื่นผมต้องกราบขอขมาต่อองค์หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ผู้เป็นที่เคารพยิ่งของศิษย์ ที่ได้นำเอาประวัติของหลวงปู่มาเผยแพร่โดยมิได้ขออนุญาติจากหลวงปู่ฯโดยตรง เพราะในขณะที่หลวงปู่ยังทรงขันธ์อยู่นั้น หลวงปู่ฯไม่ได้อนุญาติให้นำประวัติท่านเผยแพร่เป็นสาธารณะ แม้จะมี ผู้จัดทำหนังสือพระเครื่องมาขออนุญาติก็ตาม
 

แต่บัดนี้หลวงปู่ฯได้ละสังขารไปแล้ว ศิษย์คนนี้ขอกราบอนุญาติบันทึกประวัติหลวงปู่ไว้เพื่อเป็นการรวบรวมเรื่องราวของหลวงปู่ไว้เป็นเครื่องชูใจและเสริมศรัทธาในยามที่นึกถึงหลวงปู่ไว้ด้วยเถิด


หลวงปู่พระมหาเจียน เป็นพระที่พูดน้อย น้อยมาก เรื่องราวของหลวงปู่จึงเหมือนความลับดำมืดที่กระจัดกระจายอยู่ในความทรงจำของศิษย์แต่ละคน แล้วแต่ใครจะได้รู้ได้สัมผัสมาแบบไหน สำหรับกระผมเองเป็นผู้ที่เข้าไปนับถือศรัทธาหลวงปู่ฯในชั้นหลัง คือได้มีโอกาสไปกราบในช่วง2ปีสุดท้าย และได้พูดคุยกับศิษย์ในยุคก่อนหน้าบางท่านแล้วนำมาบันทึกไว้

 

สำหรับถ้ำสว่างอารมณ์ ที่ีหลวงปู่ฯได้ไปพำนักนั้น เป็นถ้ำๆหนึ่งที่อยู่บนเขาบันไดอิฐ จะอยู่เยื้องออกไปทางด้านหลังวัดเขาบันไดอิฐ อยู่สูงขึ้นไป เป็นถ้ำที่มีพระสงฆ์อยู่มาก่อนแล้ว ดังหลักฐานที่ปรากฏเจดีย์บรรจุศพของหลวงพ่อทุ้ย (ผู้สร้างถ้ำ) แป๊ะงัน ,ซินแซเซี่ยงคุณ (ผู้ดูแลถ้ำ) เป็นต้น ภายหลังหลวงปู่ฯจึงได้มาอยู่ที่ถ้ำนี้ดังจะได้กล่าวต่อไป


ประวัติหลวงปู่มหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี
(คัดลอกมาจากเอกสารประวัติหลวงปู่พระมหาเจียน ที่อ่านในงานสวดพระอภิธรรมของหลวงปู่ฯ) 

 พระมหาเจียน กนฺตสาโร นามเดิมว่านายเจียน ศรีสม

โยมบิดาชื่อนายจันทร์ ศรีสม โยมมารดาชื่อนางอยู่ ศรีสม

เกิดเมื่อ2ฯ2 ปีมะโรง ตรงกับวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471  ที่ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี

มีพี่น้องทั้งหมด5คน ดังนี้

1.นายอินทร์ ศรีสม (ถึงแก่กรรมแล้ว)

2.พระอาจารย์เปลื้อง ถาวโร (มรณภาพ)

3.พระมหาเจียน กนฺตสาโร (มรณภาพ)

4.นางลำจวน ศรีสม (มั่งคั่ง)

5.นางสาวจอน ศรีสม

 

อุปสมบท

พระมหาเจียน ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ21ปี (20ปี5เดือน) ตรงกับวันที่ 17 ก.ค. พ.ศ.2491 เวลา15.05น.

ณ.วัดเขาบันไดอิฐ ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี 

โดยมีพระอุปัชฌาย์คือ พระอาจาย์แดง (พระครูญาณวิลาส แดง) วัดเขาบันไดอิฐ

พระกรรมวาจาจารย์ พระอาจาย์ผ่าน วัดยาง

พระอนุสาวนาจารย์ พระมหาผล(พระครูพิทักษ์พุทธไสยาสน์) วัดพระนอน

ได้รับฉายาว่า กนฺตสาโร 

หลังจากอุปสมบทแล้วได้ไปจำพรรษา ณ.วัดยาง  ต.คลองระนง อ.เมือง จ.เพชรบุรี 

ได้มุ่งมั่น ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยทางบาลีจนสามารถสอบธรรมสนามหลวงได้ เปรียญธรรม4ประโยค

ต่อมาย้ายมาอยู่วัดเขาบันไดอิฐ ราวปี2502 เพื่อต้องการศึกษาทาง สมถวิปัสสนากรรมฐาน

*หมายเหตุ ลูกศิษย์เคยถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่อยู่ที่วัดยางกี่ปีครับ ท่านตอบว่า11ปี ฉนั้นก็น่าจะประมาณปี พ.ศ.2502หรือใกล้เคียง

ที่ท่านย้ายมาวัดเขาบันไดอิฐ 

เตี่ยเต็งเล้ง แซ่เจี่ย มาหาท่านปี พ.ศ.2502

เฮียเก็งไล้มาหาท่าน ปีพ.ศ.2506 

ทั้ง2ท่านเป็นศิษย์ยุคแรก ที่มาหาท่านและท่านอยู่ที่ถ้ำสว่างอารมณ์แล้ว ดังนั้นจึงประมาณได้ว่าหลวงปู่น่าจะขึ้นมาอยู่ที่ถ้ำ

อย่างน้อยที่สุดคือปี2502 จนถึงแก่มรณภาพ รวมแล้วหลวงปู่อยู่ที่ถ้ำสว่างอารมณ์ประมาณ 55ปี และอยู่องค์เดียวมาตลอด

 

หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร

ชาตะ 4 ก.พ.2471

อุปสมบท 17ก.ค.2491

มรณภาพ 17ม.ค.2557

อายุรวม86ปี แต่หลวงปู่เคยพูดเอาไว้ว่าต้องผ่านวันที่4ก.พ.(วันเกิด)ไปก่อน จึงจะครบ ฉะนั้นอายุตามที่บอกก็

น่าจะประมาณ 85ปี 11เดือน 17 วัน

 

...ในความทรงจำของศิษย์ที่มีต่อหลวงปู่ฯ...

*เรื่องต่อไปนี้เป็นบันทึกเรื่องราวที่ผมได้พุดคุยกับศิษย์ยุคก่อนเกี่ยวกับหลวงปู่ ซึ่งบางเรื่องก็จดไว้บางเรื่องก็จำเอา

ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดหรือถ่ายทอดไว้ไม่ครบกระผมต้องขออภัยทุกท่านด้วย 

1.ศีล สมาธิ ปัญญา

หลวงปู่เป็นพระที่พูดน้อย ธรรมะหรือคำสอนที่ท่านให้กับศิษย์ จึงมักจะเป็นคำสอนสั้นๆ และหลวงปู่ก็ไม่ได้เลือกว่าจะต้องเทศน์ตอนนั้น

ตอนนี้ ขึ้นอยู่กับโอกาสเวลาที่เหมาะสม หรือต้องการจะสอนให้ตรงกับใจตรงกับส่วนที่บกพร่องศิษย์คนนั้นๆ ให้ได้จดจำไป

หลวงปู่เคยพูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ว่า

ศีล       คือความสำรวมในกาย วาจา

สมาธิ    คือตั้งใจมั่น

ปัญญา  คือความรอบรู้ในกองสังขาร


2.เทศน์ของหลวงปู่ฯ

เรื่องนี้เป็นบันทึกของศิษย์ท่านหนึ่งที่ได้ไปกราบท่านครั้งแรกแล้วหลวงปู่ได้สอนธรรมะให้ฟังแล้วบันทึกไว้

ผมได้ขออนุญาตินำมารวบรวมไว้ครับ

..."หลังจากผมเดินทางไปถึงวัดเขาบันไดอิฐ แล้ว ผจญกับฝูง ลิง ฝูงบริวาร(สุนัข)เดินหลงทาง เหงื่อแตกเหมือนอาบน้ำ พร้อมหอบหิ้วสังฆทานยาของผมเพื่อจะไปถวายหลวงปู่ โทรศัพท์สอบถามทางกับพี่เปิดโลก อยู่ 2 รอบ จนในที่สุดไปถึงที่พำนักของหลวงปู่ประมาณ 9 โมงเช้า จึงได้ทราบว่าตอนนี้หลวงปู่ ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่

ระหว่างนั่งรอหลวงปู่ออกจากห้องก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับโยมอุปัฏฐากของหลวงปู่ ถึงเรื่องสารทุกข์สุขดิบเรื่องต่างๆ จนกระทั่ง ผู้ดูแลหลวงปู่บอกว่า ถึงตอนนี้หลวงปู่ จะชราภาพมากแล้วและมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน(เดินไม่สะดวกแล้ว) แต่ทุกกึ่งเดือน ลูกศิษย์ของท่าน จะต้องนำท่าน(โดยให้ท่านนั่งเสลี่ยงแล้ว 4 คนช่วยกันแบกไป) ลงพระอุโบสถวัดเขาบันไดอิฐเพื่อฟังสวดพระปาฏิโมกข์  อีกทั้งผู้ดูแลฯ ยังเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆของหลวงปู่ให้ผมฟังไปเรื่อยๆ

จนกระทั่ง 9.50 หลวงปู่ ออกมาจากห้อง ผู้ดูแลฯ ได้จัดเตรียมของให้ผมเพื่อถวายสังฆทาน โดยก่อนหน้านั้นผู้ดูแลฯ ได้บอกกับผมว่า ให้พยายามชวนท่านคุยนะ ท่านจะไม่ค่อยพูด ที่จะพูดต้องเป็นสาระหรือเรื่องจริงเท่านั้นท่านถึงจะพูด

เมื่อท่านออกมาจากห้องแล้ว ผมก็ถวายสังฆทาน ท่านก็ให้พรตามธรรมดาทั่วไป แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม ไม่ได้ถามผมด้วยซ้ำว่ามาจากไหน มายังไง(คือตั้งแต่ผมเห็นท่านและเข้าไปกราบท่าน ท่านไม่พูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ) พอท่านให้พรเสร็จท่านก็มองหน้าผมแล้วยิ้ม เป็นอย่างนี้ซักประมาณ 2-3 นาที แต่สำหรับผมเหมือนกับนานเป็นชั่วโมงเลยครับ จนกระทั่งผมทนไม่ไหวกับความเงียบสงบ เลยถามเรื่องสุขภาพของท่าน ท่านก็ไม่ตอบมองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม เป็นอย่างนี้อีกประมาณ 5 นาที

จนกระทั่งผู้ดูแลฯ เห็นทั้งท่านและผมไม่มีการสนทนาอะไร จึงบอกว่าชวน เอ้า!ชวนท่านคุยซิ ผมเลยพูดตรงๆว่า ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าจะคุยอะไรกับท่าน เพราะในใจผมคิดแค่จะมากราบท่าน,ขอพระ และพาแฟนมาทำบุญวันเกิด เท่านั้น ส่วนเรื่องการปฎิบัติธรรม ผมมีวิธีปฎิบัติของผมอยู่แล้ว ไม่รู้จะถามไปทำไมศึกษาจากครูบาอาจารย์มาก็เยอะ อ่านหนังสือมาก็มาก ( อันนี้คิดในใจนะครับไม่ได้พูดออกไป)

อีกซักประมาณ 2-3 นาที ท่านก็หยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ แล้วชะโงกหน้ามาเหมือนจะมองหน้าผมให้เห็นชัดๆ แล้วท่านก็นั่งนิ่งไปอีกซักพัก ผมยิ่งรู้สึกอึดอัดมาก ผมเลยจะกราบลาท่าน ขณะที่ผมกราบท่านแล้วกำลังจะเอามือดันตัวจะลุกขึ้น

ทันใดนั้น อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาว่า “อันเสียงที่เราได้สัมผัสฟังแล้วไพเราะเสนาะหู เป็นที่ชอบใจ” นั่นเป็นประโยคแรกที่ท่านพูดกับผม มันเหมือนฟ้าผ่ามากเลยครับ คืออยู่ดีๆก็ผ่าเปรี้ยงลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเลยต้องรีบนั่งลงแล้วพนมมือ ใจก็คิดว่าจะให้แฟน(ตอนนั้นนั่งพนมมืออยู่หลังผมและกล้องอยู่ที่แฟน) ถ่ายเป็นคลิปเอาไว้เพื่อเอามาเรียบเรียงและเผยแพร่ แต่กลัวว่าถ้าหันหน้าไปแล้วท่านจะหยุดสอนและอีกอย่างไม่อยากจะพลาดสาระสำคัญที่ท่านสอนอารมณ์กรรมฐาน เลยไม่ทันได้ทำอะไรซักอย่างนอกจากนั่งฟังแล้วมาสรุปให้พี่ๆน้องๆฟัง แต่อาจจะไม่ครบทุกคำพูดนะครับ

ท่านพูดต่อว่า อันรสที่เราสัมผัสแล้วเป็นที่พึงพอใจ แล้วท่านก็อธิบายเรื่องผัสสะและอายตนะซึ่งเป็นเครื่องปรุงแต่งที่ทำให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมาจนครบทั้ง 6 แล้ว ท่านก็สอนกรรมฐานต่อว่าด้วยปัญจกรรมฐานว่าด้วยขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้เพิกถอนตัวให้พ้นจากการลุ่มหลงมัวในเมาในผัสสะและอายตนะ โดยท่านยกตัวอย่างขึ้นมา 1 ข้อ

เช่น “ผม” ท่านอธิบายว่ากรรมฐาน 5 นั้น จะเป็นปฎิบัติให้เป็นสมาธิก็ได้เป็นวิปัสสนาก็ได้ให้เลือกเอา ยกตัวอย่างเช่น (ประโยคในย่อหน้านี้เป็นคำพูดของท่านนะครับผมจำได้ขึ้นใจ) ผม ถ้าภาวนาว่า ผม ผม ผม หรือ เกศา เกศา เกศา จนกระทั่งจิตสงบ อันนี้คือสมาธิ ส่วนวิปัสสนานั้น เป็นสิ่งที่พิจารณาให้รู้แจ้ง ท่านสอนแค่นั้นแล้วท่านก็หยุดแบบผมไม่ทันตั้งตัว

ผมนั่งพนมมือมองท่านอีกประมาณ 5 นาที ท่านก็มองหน้าผมแล้วยิ้มโดยไม่มีคำสอนใดออกมาอีก ผมเลยถามท่านถึงการปฎิบัติที่ผมติดขัด โดยหวังว่าท่านจะตอบให้ผมหายข้องใจซะที หลังจากที่ผมถามไปประมาณ10 นาที ท่านก็นั่งนิ่งโดยไม่ได้ตอบปัญหาของผม ระหว่างนั้น ได้มีหมอจากโรงพยาบาลศิริราช และบรรดาญาติๆ รวมถึงผู้ศรัทธาท่านอื่น ทยอยกันมากราบท่านเป็นระยะ ผมเลยกราบท่านแล้วหลีกไปนั่งรอรับพรอีกครั้งหลังท่านฉันเพล

ถ้าพี่ๆน้องๆอ่านถึงตอนนี้ อาจจะคิดว่าเรื่องกรรมฐาน 5 ใครๆที่ศึกษาเกี่ยวกับสมาธิก็รู้ การยกจิตขึ้นวิปัสสนา ในตำราก็มีให้อ่านเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกและอารมณ์เดียวกันกับผมที่สัมผัสได้ครับ คำพูดของท่านแทงเข้าไปที่จิตใจผม มีความชัดเจนและสว่างไสว เปรียบเสมือนเวลาเราได้ยินข่าวว่าญาติคนโน้นเสีย ญาติอื่นตาย เราคงจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าเป็นญาติของเรา เป็นเรื่องที่เกิดเกี่ยวข้องกับเรา เราจะมีอารมณ์และความรู้สึกร่วมอย่างชัดเจน ฉะนั้นผมถึงบอกว่า อารมณ์ที่ผมได้สัมผัสจากคำสอนของท่าน มันแทงเข้าไปในจิตใจ 

จนกระทั่งผมกลับ ผมทบทวนเรื่องที่ท่านไม่ตอบคำถามผมอยู่ตลอดว่าทำไม ผมถึงเข้าใจว่า “สิ่งที่ผมถามเป็นสิ่งที่ผมเคยปฏิบัติ” ผมตั้งวัตถุประสงค์ไว้ผิดเพราะมิได้เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ท่านจึงไม่ตอบ ท่านจึงได้เมตตาสอนวิธีปฏิบัติสมาธิที่เป็นไปเพื่อความขจัดความยึดมั่นให้กับผมไปปฏิบัติ นั่นคือจบไม่มีสิ่งที่ต้องพูดอีก เหลือแต่เราจะนำไปปฏิบัติหรือไม่ ผมเคยอ่านเจอว่า “อุปัชฌาย์ ผู้มากด้วยสติปัญญานั้น พึงสอนปัญจกรรมฐานให้แก่กุลบุตร” ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งก็วันนี้เอง

จนกระทั่งช่วงบ่ายพี่ผม  โทรศัพท์มาสอบถามเรื่องการเดินทางด้วยความเป็นห่วง ก็คุยกันหลายเรื่อง ผมเลย เอะใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ก็เลยถามกับแฟนว่าตั้งแต่เราไปกราบท่าน นอกจากเราแล้วเห็นหลวงปู่ พูดคุยกับใครบ้างหรือเปล่า

แฟนผมตอบว่า “ไม่เห็นท่านพูดกับใครเลยนะ ไม่ว่าใครจะเข้าไปพูดอะไรท่านก็พยักหน้าแล้วก็ยิ้มเฉยๆ” นั่นยิ่งทำให้ผมเกิดปีติยิ่งขึ้นไปอีก

สุดท้ายต้องขอบพระคุณพี่เปิดโลก/พี่ดอกรัก อีกครั้งนะครับ ในความเป็นกัลยาณมิตร ให้ผมได้พบกับมงคลของชีวิต “บูชาบุคคลผู้ควรแก่การบูชา เป็นมงคลของชีวิตอย่างยิ่ง” สมตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มองเห็นธงชัยของพระอรหันต์ชัดเจน ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่ผมกับแฟนได้กระทำให้กับพวกพี่โดยเท่าเทียมกัน

ปล.เรื่องเล่านี้อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ ผมอยากให้ทุกคนพบกับสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตเหมือนอย่างผม และขอแบ่งปันบุญกุศลที่ผมได้กระทำมาต่อพี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ที่ได้อ่านในสิ่งที่ผมเขียนทุกท่านครับ สาธุ

 

3.ธุดงค์หรือเปล่า

ครั้งหนึ่งมีศิษย์ขึ้นไปกราบหลวงปู่ฯที่ถ้ำ สนทนาในเรื่องทั่วๆไป แล้วก็เลยถามหลวงปู่ว่า

"หลวงปู่ครับ ตั้งแต่บวชมานี่หลวงปู่เคยไปธุดงค์บ้างไหมครับ" 

ที่ศิษย์ถามเรื่องนี้ก็เป็นเพราะต้องการอยากทราบประวัติชีวิตของท่านบ้าง หรือถ้าโชคดีก็อาจจะได้ฟังเรื่องราวธุดงค์ในสมัยหนุ่มๆของหลวงปู่

บางทีอาจจะมีเรื่อง ประสบการณ์ธุดงค์แปลกๆบ้างก็ได้

แต่สิ่งที่หลวงปู่ตอบมาสั้นๆ ตามอุปนิสัยของท่านก็มีแค่ว่า

"แล้วที่อยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ธุดงค์หรือ"

ทำให้ศิษย์ท่านนั้นถึงกับอึ้ง และประจักษ์แก่ใจว่า แท้จริงแล้ว ที่หลวงปู่ปลีกวิเวกมาอยู่ในป่าในถ้ำ กว่าค่อนชีวิตของท่าน การปฏิบัติของท่าน

ก็เป็นหนึ่งในธุดงค์วัตรทั้ง13 นั้นเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าหลวงปู่จะไม่ได้เดินทางธุดงค์ไปไกลๆเหนือจรดใต้ แต่สิ่งที่ท่านทำมาตลอดก็คือการธุดงค์นั้นเอง


4.ดูด้วยตา อยู่ที่ใจ...

ในยุคแรกๆนั้น ยังมีคนมาหามานับถือหลวงปู่ไม่มากนัก แต่ก็มีศิษย์ท่านหนึ่ง ที่นับถือหลวงพ่ออย่างมาก

เพราะในช่วงวัยกลางๆของหลวงปู่นั้น เขาได้เห็นอภินิหารหลายครั้งของหลวงปู่ และก็ได้นำไปบอกเล่า

ให้ผู้อื่นฟัง (ไม่ได้เล่าต่อหน้าหลวงปู่) หวังที่จะบอกถึงความเก่งของครูบาอาจารย์ของตน จนวันหนึ่งที่เขาไปกราบหลวงปู่

หลวงปู่กลับจ้องมองหน้าเขาอย่างไม่วางตา แล้วพูดกับเขาสั้นๆช้าๆว่า

" ดูด้วยตา เห็นด้วยใจ อย่าอวด! "

ท่านบอกเขาเพียงเท่านี้ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่คุยเรื่องอภินิหารให้ใครฟังเป็นสาธารณะอีก 

พี่ท่านนี้ได้บอกกับผมว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นท่านทำให้เราเห็นคนเดียว เพื่อต้องการให้เราได้รู้ได้เห็น

แต่เรากลับเอาไปพูดจนมากเข้าท่านจึงตำหนิ

เพราะท่านเองไม่ได้ต้องการความมีชื่อเสียงแต่อย่างใด คนทำหนังสือพระมาขอประวัติจะเอาไปลงท่านยังไม่ให้เลย


5.มหาก็เป็นแล้ว

ในงานสวดพระอภิธรรมของหลวงปู่ มีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้มาในงาน แล้วได้เล่าให้ศิษย์ของหลวงปู่ฟังว่า ท่านบวช

เป็นเณรอยู่ที่วัดยาง พร้อมกับในขณะนั้นที่หลวงปู่เจียน ก็บวชเป็นพระอยู่ที่วัดยางเช่นกัน และท่านเองก็ได้เรียนนักธรรม

เรียนเปรียญ อยู่ในรุ่นๆเดียวกับหลวงปู่ ท่านเองได้เปรียญ4ตั้งแต่เป็นเณร และได้เปรียญ5ตอนเป็นพระภิกษุ

(ปัจจุบันท่านอายุ70กว่า และเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาลูกช้าง จ.เพชรบุรี)

ท่านเล่าว่า หลังจากที่หลวงปู่เจียนได้เปรียญ4(มหา) แล้ว ท่านก็ได้ปรารภถึงการแสวงหาโมกขธรรม เพื่่อถึงซึ่งความ

หลุดพ้น โดยท่านได้ปรารภก่อนที่จะเดินทางมาอยู่ที่ถ้ำสว่างอารมณ์ ว่า

"นักธรรมก็ได้เเล้ว มหาก็ได้แล้ว ลองดูซิ โสดาบันเป็นอย่างไร"

และนี่คือมูลเหตุแห่งการที่หลวงปู่ได้ย้ายมาที่วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อต้องการศึกษาและปฏิบัติ 

ทั้งๆที่ในยุคสมัยที่หลวงปู่ได้เปรียญ4นั้น พระที่เป็นเปรียญเป็นมหา มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไปในทางการปกครองสงฆ์อยู่มาก

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งมากทีเดียว


6.ภาวนายังไงครับ

ครั้งหนึ่งมีศิษย์ของหลวงปู่ถามท่านว่า "หลวงพ่อ...ถ้าจะภาวนานี่ทำยังไงครับ"

หลวงปู่ได้สอนวิธีภาวนาให้กับศิษย์ท่านนี้ว่า

"ให้พิจารณาลมหายใจ

เข้ายาว  ก็รู้ว่า  เข้ายาว

เข้าสั้น  ก็รู้ว่า  เข้าสั้น"

แล้วต้องท่องพุทโธไหมครับ ศิษย์ถาม หลวงปู่ได้สอนต่อว่า

"ไม่ต้อง ให้พิจารณา ลมหายใจ

ออกยาว  ก็รู้ว่า  ออกยาว

ออกสั้น  ก็รู้ว่า  ออกสั้น

ต้นลมอยู่ที่ปลายจมูก         กลางลมอยู่ที่หน้าอก            ปลายลมอยู่ที่สะดือ

พอหายใจออก

ต้นลมอยู่ที่สะดือ               กลางลมอยู่ที่หน้าอก            ปลายลมอยู่ที่ปลายจมูก

นี่เป็นการภาวนาที่หลวงปู่ได้เคยสอนไว้ครับ ผมได้บันทึกมาจากคำบอกของศิษย์ท่านนั้น


7.คาถา

หลวงปู่นั้นท่านเป็นพระที่พูดน้อย น้อยมาก ดังนั้นในหลายๆครั้งจะพบว่า เราได้คุยได้ถามหลวงปู่ถึงเรื่องต่างๆ

แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้ตอบอะไร นั่งยิ้มมองดูเราซะเฉยๆอย่างนั้น แต่บางครั้งเมื่อโอกาสเวลาเหมาะอยู่ดีๆหลวงปู่ก็จะพูด

จะถาม หรือสอน โดยที่เราไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน และเท่าที่พบถ้าเป็นเรื่องทางโลกๆ แล้วหลวงปู่มักจะนิ่งเฉย

ผมเองเคยเห็นศิษย์ท่านหนึ่ง ไปกราบหลวงปู่ แล้วนั่งไปนั่งมา ก็ถามหลวงปู่ว่า เขากำลังจะขายรถ จะขายได้ไหมครับหลวงปู่

ซึ่งหลวงปู่ก็มองและยิ้มเฉยๆอย่างนั้น เขาพนมมือรอคำตอบจนนานแต่หลวงปู่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

หรือแม้กับตัวผมเองในช่วงแรกๆ ก็ถามเรื่องโลกๆกับหลวงปู่ เช่นครั้งหนึ่งผมเอารูปของเพื่อนที่ลงสมัครเลือกตั้งในสนามการเมืองท้องถิ่น

ผมเอาไปให้หลวงปู่ให้พร หลวงปู่ก็ให้พร แต่พอผมถามว่าจะได้รับเลือกไหม หลวงปู่ยิ้มและก็นิ่งไม่ตอบ

หรือแม้แต่บางครั้งผมถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ ผีมีจริงไหมครับ"

คราวนี้หลวงปู่ยิ้มแบบขันๆ แต่ก็ไม่ตอบเหมือนเคย สำหรับหลวงปู่แล้วเรื่องทางโลกๆ ที่เรานำไปหาท่าน กลับเป็นเพียงสายลมเท่านั้นเอง

แต่ในบางครั้งที่ไม่ได้ถามอะไรแต่หลวงปู่กลับบอกออกมาเองก็มี

ดังครั้งหนึ่งที่ลูกศิษย์ไปกราบท่าน แล้วก็เล่าให้ท่านฟังว่า แถวบ้านมีการลักขโมย เวลาเขาออกจากบ้าน ปิดประตูต้องท่องคาถา

คำนี้ๆ(ผมจำมาไม่ได้) เพื่องป้องกันอันตรายต่างๆ หลวงปู่ก้ฟังๆ แล้วอยู่ดีๆท่านก็ท่องออกมาว่า

"กันนัก กันหนา 

กันนอก กันใน

กันสารพัดภัย

อุทธัง อัทโธ

อิติปิโิส ภควา"

ลูกศิษย์ที่นั่งฟังในวันนั้นจึงจดจำไว้ แล้วถ่ายทอดกันมา จะถือว่าเป็นคาถาที่หลวงปู่ให้ไว้ก็คงพอได้นะครับ


8.การมรณภาพพิสูจน์ธรรมที่สอนไว้

ในช่วงชีวิตของหลวงปู่การเทศน์เป็นคำพูดนั้นดูจะน้อยเหลือเกิน แต่การปฏิบัติให้ดู นั้นมากและเป็นที่ประทับอยู่ในใจ

ของศิษย์ทั้งหลาย หลายๆท่านที่มากราบหลวงปู่ ในครั้งแรก อาจจะมีความรู้สึกเหมือนผมคือรู้สึกประทับใจในรอยยิ้ม

ในความเป็นหลวงปู่ที่สงบนิ่ง และแม้ครั้งแรกที่ไปกราบท่านจะไม่ได้คุยอะไรเลย แต่กลับมีแรงดึงดูดให้ผมประทับใจและ

อยากจะมาอีก เพราะผมรู้สึกว่าหลวงปู่องค์นี้แปลกเพราะ ไม่ว่าใครจะเอาเรื่องทางโลกมาถมทับมาทิ้งไว้กับท่าน

แต่ท่านก็มิได้แสดงอารมณ์ หรืออาการขึ้นลง หรือใครเอาอะไรมาถวายท่านก็รับไว้โดยมิได้แสดงอาการใดๆนอกจากรอยยิ้มเมตตา

ท่านอยู่ท่านทำราวกับว่า โลกเบื้องหน้านั้นเป็นเพียงอากาศธาตุที่ว่างเปล่า และท่านเพียงพิจารณาความเป็นไปของอากาศเหล่านั้น

โดยมิได้ขึ้นลงหวั่นไหวไปตามโลกเลย

และถ้าสังเกตในหลายๆครั้งที่หลวงปู่ได้เทศน์ท่านมักจะกล่าวถึงสติ การมีสติ การพิจารณาด้วยสติ

เหมือนที่หลวงปู่เคยพูดไว้ว่า

"ทำอะไรให้รู้อยู่"

เมื่อพิจารณาจากคำที่ท่านสอน การประพฤติที่ท่านทำ จะเห็นได้ว่าหลวงปู่มีสติไม่หวั่นไหวไปตามโลก

แม้กระทั่งในการมรณภาพของท่าน ...

ในวันที่17ม.ค.2557 เป็นเวลาเย็นราว5โมงกว่า หลวงปู่ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. หลวงปู่มีอาการสำลัก มีอาการไอ

และมีอาการทรุดหนักลง ......

หลวงปู่ได้สั่งให้ลูกศิษย์ที่ดูแล ถอดสายยาง สายต่างๆที่ต่ออยู่กับตัวท่านออกให้หมด

หลังจากนั้นหลวงปู่ได้เปลี่ยนไปนอนตะแคง และก็ค่อยๆหายใจช้าลงๆ และมรณภาพไปด้วยอาการสงบ

โดยที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากท่ามกลางความตกตะลึงของศิษย์ที่เฝ้าพยาบาลอยู่ 

หลวงปู่จากไป ด้วยความมีสติเหมือนกับที่ท่านได้เคยสอนเหล่าศิษย์ไว้นั่นเอง

ท่านได้พิสูจน์คำสอนให้เราเห็นตราบจนวาระสุดท้าย


9.พระมหาเจียน 

ในพรรษาสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพไม่นาน ได้มีศิษย์คณะหนึ่งได้สร้างพระพุทธรูปปางสมาธิ(องค์ใหญ่) 

โดยหลังจากหล่อเป็นองค์พระแล้ว ก็ได้นำขึ้นมาไว้ที่ถ้ำฯ ตั้งไว้บนฐานปูนยกพิ้นตรงข้ามกับที่หลวงพ่อนั่งรับแขก

และได้ว่าจ้างช่างมาทำการลงรักปิดทองให้งดงาม ซึ่งในระหว่างนั้นหลวงพ่อท่านก็เสกของท่านไปเรื่อยๆ

เมื่อทำการตกแต่งเสร็จคณะผู้สร้างจึงได้ขึ้นไปถามหลวงพ่อว่า

"หลวงพ่อครับพระพุทธรูปองค์นี้จะให้ชื่อว่าอะไรดีครับ"

"จะเอาชื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนครับ"

ที่ถามแบบนี้เพราะว่าที่ผ่านๆมาเมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปถวาย หลวงพ่อก็จะตั้งพระนามของพระพุทธรูปเป็นพระนาม

ของพระพุทฑเจ้าองค์ก่อนๆ เช่นพระพุทธรูปยืนที่หน้าถ้ำฯ หลวงพ่อท่านก็ตั้งพระนามตามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้าในภัทรกัปนี้

คือพระโกนาคม และพระกัสสป เป็นต้น หรือหากว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีปางเฉพาะก็จะตั้งชื่อตามปางนั้นเช่น พระปางป่าเลไลยก์ เป็นต้น

แต่สำหรับพระพุทธรูปปางสมาธิองค์นี้ เมื่อคณะผู้สร้างถามท่านว่าหลวงพ่อจะให้นามว่าอะไร

หลวงพ่อตอบสั้นๆว่า

"พระมหาเจียน"

คณะผู้สร้างจึงได้สลักนามไว้ที่ฐานผ้าทิพย์ ตามที่หลวงพ่อสั่ง นับเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายในชีวิตของหลวงปู่

**หมายเหตุ:สำหรับเรื่องนี้ผมลังเลอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือเปล่า เพราะมีหลายๆประเด็นให้คิด แต่เมื่อหวนคิดถึง

เมื่อครั้งที่ตนเองไปที่ถ้ำแล้วเห็นนามของพระที่สลักไว้ที่ฐานแล้ว ก็ยังนึกตำหนิในใจว่าไม่น่าเขียนโดยพลการแบบนี้

โดยที่ไม่ทราบความเป็นมาที่แท้จริง กลับนึกตำหนิผู้สร้างผมต้องขอขมาไว้ ณ.ที่นี้ด้วย จึงคิดว่าสมควรที่จะบันทึกเรื่องนี้ไว้

น่าจะเป็นการดีกว่า 

ส่วนสำหรับปริศนาธรรมที่หลวงพ่อทิ้งไว้ นั้นผมว่าลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง


10.กนฺตสาโร 

กนฺตสาโร คือฉายาของหลวงพ่อ แปลได้ความว่า

"ผู้มีแก่นแท้อันเป็นที่รัก" 

ซึ่งตรงกับอุปนิสัยของท่านเป็นอย่างยิ่ง การที่หลวงพ่อเป็นที่รัก ที่ศรัทธา ต่อเหล่าศิษย์นั้นเกิดขึ้นเพราะธรรมภายในของท่านล้วนๆ

สำหรับผมแล้วผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมผมถึงรัก ศรัทธา ในหลวงพ่อ ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่เทียวไปหาหลวงพ่อที่เพชรบุรีนั้น

ท่านไม่เคยพูดกับผมเลย

อย่างดีก็พยักหน้า เท่านั้นเอง แม้ในภายหลังผมได้ชักชวนเพื่อนไปกราบหลวงพ่ออีก2ท่าน หลวงพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรกับเพื่อนผมเหมือนกัน

คงมีแต่ยิ้มน้อยๆแบบเมตตาเท่านั้นที่มอบให้ทุกคน 

แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า เพื่อนผมอีก2คน กลับมีความต้องการที่จะกลับมากราบหลวงพ่ออีกครั้ง และอีกครั้ง และก็ได้มาประจำเมื่อ

มีเวลาว่าง จนดูเหมือนว่าจะศรัทธามากกว่าผมซะด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่หลวงพ่อก็ไม่เคยพูดอะไรกับทั้ง2คนเหมือนกัน

แม้เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ เมื่อเขาทราบในบ่ายของงานสวดวันที่2 ตกเย็นก็มางานทันที และ ตกกลางคืนก็นอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่ในถ้ำ

เช้ากลับไปทำงานเย็นมาใหม่ให้ครบที่ตั้งใจไว้ว่ามาจนครบสวด9คืน เป็นการแสดงคารวะและอาลัยให้กับหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย

ทั้งที่ปกติแล้วเพื่อนผมนั้นเป็นผู้ที่มีภาระในธุรกิจค่อนข้างรัดตัว แต่ด้วยความรักในหลวงพ่อ ในแก่นแห่งธรรมของหลวงพ่อ

จึงมาจนครบตามที่ตั้งใจ

การที่ผมเขียนล้ำเข้าไปในเรื่องของเพื่อนตัวเองนั้นก็เพื่อยกตัวอย่างที่ชัดเจนและเขียนได้ง่ายที่สุด ซึ่งศิษย์ท่านอื่นๆที่มีความรักและศรัทธา

ในแก่นแห่งธรรมของหลวงพ่อก็ยังมีอีกมากมาย แต่ผมยังมิได้ขออนุญาติท่านเจ้าตัวจึงมิกล้าจะเขียนถึงนะครับ



ปัจจุบันร่างของหลวงปู่ยังเก็บไว้ที่ถ้ำสว่างอารมณ์ หากท่านใดมีโอกาสไปไหว้พระที่เขาบันไดอิฐท่านสามารถขึ้น

ไปกราบหลวงปู่ได้นะครับ 

สำหรับบันทึกประวัติและเรื่องราวของหลวงพ่อมหาเจียน กนฺตสาโร ที่ผมเขียนนี้นับเป็นส่วนน้อยในเรื่องทั้งหมด

ทั้งนี้เพราะผมเป็นผู้ที่เข้าไปในชั้นหลัง ได้รับรู้เรื่องราวมาน้อยประกอบกับมีภูมิลำเนาที่ห่างออกไป จึงมิได้ไปหาหลวงพ่อฯบ่อยๆ

และไม่มีโอกาสได้สนทนากับศิษย์ที่ได้สัมผัสหลวงพ่อฯในยุคแรกๆ ทำให้ไม่อาจบันทึกเรื่องราวไว้ได้มาก

ผมได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งจะมีผู้ที่รวบรวมประวัติของหลวงพ่อ... หลวงพ่อของเรา ไว้ได้มากกว่านี้ 

การเกิดขึ้น การคงอยู่ การจากไป ของหลวงพ่อ ล้วนแต่เต็มไปด้วยธรรม และเป็นประโยน์ให้ผู้ที่ยังอยู่


    "ประวัติวีรบุรุษไซร้         เตือนใจ เรานา

   ว่าอาจจะยังชนม์            เลิศได้

   แลยามจะบรรลัย            ทิ้งซึ่ง

   รอยบาทเหยียบแน่นไว้   แทบพิ้น ทรายสมัย"

                                                               พระราชนิพนธ์ของล้นเกล้า ร.6



ขอได้รับความขอบคุณจากผม หนึ่ง สมุทรสาคร





 


บทความนี้ยังเขียนไม่เสร็จนะครับ เนื่องจากผมติดงาน แต่จะพยายามเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ ขออภัยท่านที่เข้ามาอ่านด้วย หากท่านมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำชี้แนะในเรื่องราวประวัติของหลวงพ่อสามารถติดต่อผมได้ทางกล่องข้อความหรือ ที่อยู่เบอร์โทรจากข้อมูลหน้าร้านได้ครับ

ประวัติ หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ
ประวัติ หลวงปู่พระมหาเจียน กนฺตสาโร ถ้ำสว่างอารมณ์ วัดเขาบันไดอิฐ
Top