การเข้าถึงคุณพระ - webpra

การเข้าถึงคุณพระ

บทความพระเครื่อง เขียนโดย หาญเวียงจันทน์

หาญเวียงจันทน์
ผู้เขียน
บทความ : การเข้าถึงคุณพระ
จำนวนชม : 1793
เขียนเมื่อวันที่ : พฤ. - 26 ม.ค. 2555 - 10:49.29
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พฤ. - 26 ม.ค. 2555 - 10:59.56
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

                    ชาวเรานิยมพระเครื่อง เสียเงินมากมาย บางคนสะสมเพราะเหตุผลทางพุทธพาณิชย์ แต่ที่ควรจะได้ด้วยคือการได้พุทธคุณของพระเครื่องมาปกป้องคุ้มครอง ผมจึงเรียบเรียงบทความขึ้น ตามแนวทางการเข้าถึงคุณพระของอ.ชุมไชยครีรีผู้เป็นบูรพาจารย์ของผมเองครับ

   คนส่วนใหญ่มักคิดว่ารูปพระที่ตนมีอยู่ไม่ขลัง ทั้งที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กไม่เคยประสพเหตุการณ์ไม่ดีเลย กลับชอบแบบที่ต้องมีอุบัติเหตุ โดนทำร้าย ธุรกิจย่ำแย่ ถ้ารอดมาได้จึงจะขลัง แสวงหามาแทนของเก่าที่มี หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม ท่านเคยให้ข้อคิดว่า “ไม่มีประสพการณ์ นั่นล่ะประสพการณ์”
รูปพระและวัตถุมงคลทั้งปวงที่ผ่านการอธิษฐานแล้วอย่างดี จะเกิดอานุภาพได้เต็มที่ดังประสงค์ ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ

๑.   อำนาจสัจจะ   
๒.   อำนาจคุณพระ  
๓.   อำนาจเคราะห์กรรม

๑.   อำนาจสัจจะ
   การอธิษฐานขอพรของลัทธิพราหมณ์จะเริ่มด้วยมนตร์ หรือพระเวท ที่ใช้ในการสรรเสริญเทพเจ้าองค์นั้นโดยตรง นัยว่าให้เทพเจ้าปรากฏเป็นสักขีพยาน ช่วยคุ้มครองและอำนวยพร แต่หลักการให้พรและความปรารถนาดีของศาสนาพุทธใช้หลักการสองอย่างคือ สัจจะ และเมตตา โดยใช้สัจจะเป็นอาการภายนอก (พูดออกจากปาก) และใช้เมตตาเป็นอาการภายใน (มีใจจริง ปรารถนาดีต่อทุกชีวิต) การให้พรจึงจะประสพผล แม้แต่การให้พรตนเอง ในพระไตรปิฎกได้กล่าวอานุภาพของสัจจะไว้ว่า “ท่านผู้ตั้งอยู่ในสัจจะนั้น ทำแม่น้ำที่มีกระแสไหลเชี่ยวให้ไหลกลับก็ได้ แม้ยาพิษก็แก้หายทำลายเสียได้ ป้องกันและห้ามไฟก็ได้ ฝนไม่ตกทำให้ฝนตกก็ได้” และยังปรากฏเรื่องราวจำนวนมากที่ใช้การอ้างสัจจะเพียงอย่างเดียว ทำให้ปุถุชนแสดงฤทธิ์ได้ เหาะได้ เสดาะโซ่ตรวนได้ การผิดสัจจะ นอกจากผิดศีลข้อ ๔  แล้วยังถ่วงความเจริญของตนด้วย การอำนวยความสำเร็จของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะติดขัด พรใดๆ ไม่เป็นผล ดังนั้นท่านทั้งหลายพึงกระทำให้สัจจะของตนบริบูรณ์ อำนาจสัจจะของท่านผู้ใช้พระจะบริบูรณ์ได้ คือไม่ผิดข้อห้ามที่ผู้สร้างสั่งไว้ ข้อห้ามสำหรับพระชุดนี้คือ  ห้ามด่าพ่อแม่ ห้ามลักทรัพย์ และห้ามคิดคดทรยศชาติ ศาสนา หากรักษาศีลข้ออื่นๆเพิ่มได้ยิ่งดี จะส่งเสริมให้เกิดความเจริญได้ง่ายขึ้น  เพราะการผิดศีลที่รับมาจากพระ ก็ถือเป็นการผิดสัตย์ทางหนึ่ง   สัจจะประการหนึ่งที่เราชาวพุทธมักกระทำผิดอยู่เสมอคือ การปวารณาตนเป็นพุทธศาสนิก การผิดสัตย์ข้อนี้ ชาวพุทธไทยปัจจุบันหลงผิดกันจนเป็นเรื่องธรรมดา จนศาสนาเสื่อมลงทุกวัน โดยที่ไม่รู้ตัว มัวเมาตามคนรอบข้างไป ถ้านึกไม่ออกลองทบทวนว่าตอนไหว้พระสวดมนต์ ทำพิธีการทั้งปวง เราสวดว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ใช่หรือไม่ คำแปลคือ “ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”
อีกบทหนึ่งที่แทรกอยู่ในบทสวดมนต์ พบอยู่เสมอคือ “นัตถิเม สะระณัง อัญญัง พุทโธเม สะระณัง วะรัง”  “เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง” คำแปลคือ “ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า” “ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า” ตอนนี้ท่านคงเข้าใจแล้วว่าตนเองผิดสัตย์บ่อยเพียงใด เคยมุ่งไปบูชาเทพ บูชาสัตว์ ต้นไม้ประหลาด หินพิลึก อยู่บ้างหรือไม่ เพียงเพื่อขอหวย ขอความสำเร็จ โดยคิดว่าพระให้ไม่ได้ ใช้พระมามาก เปลี่ยนเป็นประจำ ไม่เห็นรวยขึ้น สุดท้ายเอารูปเทพ รูปเดรัจฉาน มาห้อยคอ เพราะเขาว่าดี ให้ผลเร็ว ห้อยแล้วก็รู้สึกดี แต่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าใครให้พรท่าน พรนั้นก็จะไร้ผล ที่ชีวิตไม่ดีขึ้น แท้จริงเพราะตัวท่านเอง ทั้งยังถูกหลอกให้เช่าหารูปเทวดาราคาแพงอยู่เสมอ  ซ้ำร้ายผู้สร้างยังเอาผ้าเหลืองออกหน้าเป็นจุดขาย  สร้างได้เงินถวายวัดตามยอดที่ตกลงแล้วเก็บของส่วนหนึ่งไว้ขายเก็งกำไร แต่การจะใช้พระให้ตนเองเจริญขึ้น นอกจากสัจจะยังมีปัจจัยอีก ๒ ประการ

๒. อำนาจคุณพระ
รูปทั้งหลายที่บูชากัน รูปใดเล่าที่เรียกว่ารูปพระ รูปพระนั้นคือรูปของผู้ที่ประเสริฐด้วยศีล สมาธิ ปัญญา สัจจะธรรม และคุณธรรม มีคุณธรรมเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า รูปพระมีหลายระดับ รูปบิดามารดาเป็นพระอันประเสริฐสุดของบุตร ธิดา หากไม่เคารพบิดามารดาก่อน แม้พระสงฆ์ยังไม่รับการเคารพจากบุคคลนั้น รองลงมาคือรูปของพระพุทธเจ้า จากนั้นคือพระอริยสงฆ์  ตามระดับของสัจจะธรรม คุณธรรม  และปัญญา รูปใดที่ปราศจากปัญญา พาคนมัวเมากิเลส ไม่ถือเป็นรูปพระ พึงเข้าใจเรื่องรูปพระเสียก่อนจึงศึกษาเรื่องคุณพระ เพราะเรามักไหว้ตามคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลที่ดี เราอาจไหว้รูปบางรูปที่ถือเป็นอาจารย์ เช่น ฤาษี ฯลฯ ไหว้รูปบูรพกษัตริย์ด้วยถือว่ามีคุณต่อแผ่นดิน เหล่านี้ถือเป็นเหตุผลที่ดี แต่จะเห็นได้ว่าไม่อาจเป็นที่พึ่งของเราได้ในโลกหน้า แล้วคุณพระคืออะไร คุณพระเป็นนามธรรม ผู้จะเข้าถึงได้ต้องมีจิตที่ละเอียด สะอาด สว่าง สงบ ใช้ปัญญาในการเห็น เมื่อเข้าถึงแล้วรู้ได้เฉพาะตน คุณพระในวัตถุมงคลที่บวงสรวงและอธิษฐานบรรจุคุณมาแล้วอย่างดี ด้วยพระปริตต์  ย่อมมีอานุภาพของพระปริตต์ สามารถขจัดและป้องกันทุกข์โศกโรคภัย ความเร่าร้อน วุ่นวายใจ ลางร้าย ฝันร้าย อุปัทวันตราย บาปเคราะห์ เสนียดจัญไร ดาวนักษัตร โจรภัย อัคคีภัย อสรพิษ อมนุษย์และเทวดาที่คิดร้าย อวยพรให้เย็นใจ ฝันดี มีอายุ วรรณะสุขะ พละ คลอดบุตรง่าย สวัสดีมีชัยมงคล มีสุขทุกเมื่อ ทั้งตนเองและครอบครัว แต่ท่านผู้รู้กล่าวว่าพระปริตต์ จะไม่ส่งผลด้วยเหตุ ๓ ประการ* คือ

๑. เพราะกรรมเข้าขัดขวาง 
๒. เพราะกิเลสเข้าขัดขวาง(คิดชั่ว หรือเกียจคร้าน)
๓. เพราะไม่เชื่อ(ไม่ศรัทธา)    (* อ้างอิงจาก มิลินทปัญหา)

      ที่เอารูปเทพมาห้อยคอแล้วเกิดผลดี ก็เพราะมีศรัทธาแรงกล้า ปฎิบัติตามสัจจะที่บอกมาพร้อมองค์เทพนั้นๆ และปฏิบัติตนเสียใหม่มีกำลังใจในการทำมาหากิน ถือเป็นการเข้าถึงคุณในรูปองค์เทพ ซึ่งส่วนใหญ่บรรจุคุณโดยพระสงฆ์ด้วยวิธีการของไทยนั่นเอง พิธีที่เรียกว่าเทวาภิเษกซึ่งกระทำกันอยู่ทั่วไป มีเพียงการบวงสรวง (อาจมีการทรงเจ้าบ้างซึ่งไม่มีแก่นสารวิชา) ไม่เต็มขั้นแบบโบสถ์พราหมณ์ กทม. ซึ่งทำตามพิธีโบราณ เพราะฉะนั้นพึงเข้าใจให้ถูกต้องเถิดว่าคุณในองค์เทพที่บูชากันก็คือคุณพระเป็นส่วนใหญ่  การบวงสรวงที่ทำกันก็คือประเพณีของไทย ถ้ารูปเทพนั้นๆ มีเทพรักษา คอยสงเคราะห์ผู้ศรัทธาได้ ก็ไม่ต้องนิมนต์พระมาทำพิธี เอาปูนมาทำรูปเทพ บวงสรวงกันเองแล้วลองยิง ลองฟันคงพิสูจน์ข้อนี้ได้ (ยกเว้นบางสำนัก เช่น โบสถ์พราหมณ์ ซึ่งมีการบรรจุคุณได้จริง) ดังนั้นจงอย่ามองข้ามคุณพระที่ผู้ทรงศีลเมตตาบรรจุให้เมื่อทราบเหตุดังนี้และมีความเชื่อในคุณพระว่าคุ้มครองและอำนวยความสำเร็จให้เราได้แล้ว พึงทราบวิธีการเข้าถึงคุณพระต่อไป การจะเข้าถึงคุณพระได้เต็มที่ ต้องมีสัจจะดังที่กล่าวมา และกระทำตามวิธีการดังนี้

๑. ทำใจให้สงบ กล่าวคำบูชาพระ พร้อมคำแปล ว่า

“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ” ๓ จบ

“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 ข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 ข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
 ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
 ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
 ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
 ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง พุทโธเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง    ธัมโมเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง สังโฆเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

๒. นั่งสมาธิเอาพระวางบนฝ่ามือ รำลึกคุณของบิดามารดาและพระพุทธเจ้า หายใจเข้าเต็มท้อง ภาวนาว่า “พุท”  หายใจออกภาวนาว่า “โธ” ทำจิตใจให้เข้มแข็ง หรือจะใช้คำภาวนาอื่นๆ ที่ท่านเคยทำแล้วชอบก็ได้ นึกภาพพระในมือให้ชัดเจน ถ้าไม่ชัดลืมตาดูใหม่ น้อมนำภาพพระลอยเข้าทางจมูก ช้าๆ ขึ้นไปอยู่ที่หลังหน้าผาก  กำหนดคำภาวนาและภาพองค์พระไว้ให้ชัดเจน นิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนเห็นด้วยตาจริง จากนั้นอธิษฐานขอให้ภาพองค์พระใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง สลับไปมา ระวังอย่าเพ่งเกินไป
ระหว่างนี้อาจเกิดอาการขนลุก ตัวพอง น้ำตาไหล ตัวโยกเล็กน้อย ไม่ต้องสนใจ เมื่อสงบดีภาพองค์พระอาจสว่างขึ้นและใสขึ้นเรื่อยๆ หรือเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูป ขยายใหญ่เล็ก ให้ถือเป็นเรื่องของพระ เมื่อเข้าถึงคุณพระเช่นนี้เป็นประจำแล้ว อธิษฐานขอในสิ่งที่ถูกต้องจะสำเร็จ เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หากมีศีลดี จะเข้าถึงคุณพระได้เร็ว ส่งผลเร็วมาก ทำมาหากินคล่อง การนำภาพพระไว้ที่หลังหน้าผากแบบนี้เป็นของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา แต่ท่านใช้คำภาวนาว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ ” หรืออาจย้ายพระไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย ตามแบบหลวงพ่อสดวัดปากน้ำก็ได้ เมื่อทำคล่องจิตจะมีอำนาจมาก

๓.   อำนาจเคราะห์กรรม กฎแห่งกรรมไม่มีใครสามารถหลบพ้น เป็นเหตุ เป็นผล  และเป็นความยุติธรรมเพียงอย่างเดียวในโลก อำนาจคุณพระสามารถช่วยบรรเทากรรมได้ในบางกรณีคือ  พยุงจิตใจผู้สวมใส่ไม่ให้เลวลง ที่จิตใจดีให้ดียิ่งขึ้น เมื่อถึงที่ตายหากกรรมไม่หนักมากจะช่วยให้ไม่ตายโหงได้ หากกรรมหนักจะมีเหตุให้ลืมนำรูปพระติดตัวไปด้วย หากยังไม่ถึงที่ตายจริงแต่จะตายเพราะมีเจ้าหนี้กรรมเก่าตามมาทัน จิตที่ดีงามและคุณพระจะช่วยป้องกันได้ เหตุแห่งความทุกข์อื่นๆ  เช่น ค้าขายไม่ดี โดนฟ้องร้องใส่ความ หางานไม่ได้ คนอื่นไม่ชอบหน้า โดนจ้องทำร้าย ฯลฯ เมื่ออาราธนาพระไปด้วย หรืออาราธนาทำน้ำมนต์อาบกิน น้ำมันทาตัว จะช่วยบรรเทาทุกข์ได้ โดยพื้นฐานของคุณพระคือ เมตตา ปรารถนาดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน ดังนี้การ อธิษฐานบนพื้นฐานของเมตตาจะประสพผลสำเร็จได้ดีที่สุด การป้องกันอาวุธ เขี้ยวงา ที่มุ่งเจตนามาทำร้ายก็คือการบรรเทาโทษจากการเบียดเบียนกันของสัตว์โลก  แต่เมื่อวิบากกรรมมาถึงเลี่ยงไม่ได้จะแปรเป็นเหตุการณ์อื่นแทน เป็นที่มาว่าทำไมตอนทดสอบคุณพระ มีดโกนเฉือนไม่เข้า ผมยังตัดไม่ขาด แต่ถูกกระดาษบาดมือได้เลือด เคยถูกยิงไม่เข้าไม่เจ็บ แต่หกล้มแล้วต้องผ่าตัดกระดูกที่แตก ทั้งที่คล้องพระนั้นอยู่ ฉะนั้นการอธิษฐานขอสิ่งที่ปรารถนา จะช้าหรือเร็วมีกรรมเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่คุณพระจะให้ผลช้า แต่ไม่ต้องแก้ไขปัญหาทีหลัง บูรพาจารย์ท่านจึงมีวิธีการหลากหลายในการเร่งให้คุณพระให้ผลเร็ว  วิธีหนึ่งคือใช้ภูตช่วย(ไม่ใช่ผีสางวิญญาณ) เช่นการนำผงพรายกุมารผสมไว้ในผงสร้างพระเพื่อการเร่ง คุณพระจะได้เป็นที่ประจักษ์เร็ว

วิธีการอาราธนา

   การอาราธนาพระติดตัว ให้ใช้บทนี้เป็นประจำ ว่า นะโม ๓ จบ

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง”

“พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม”

“พุทธังมาเรโส ธัมมังมาเรโส สังฆังมาเรโส สารพัดจะเรียกพระมนต์พระคาถา เอหิจงมาบังเกิดเป็นพระเมตตามหานิยมเจริญด้วยลาภผล จังงังกำบังแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหาอุด บำบัดและป้องกันทุกข์เคราะห์โศกโรคภัยไข้เจ็บ ศัตรูหมู่สัตว์ร้าย (คุณไสย ราชภัย โจรภัย) มีเหตุดีร้ายแจ้งล่วงหน้าให้ทราบก่อน ดลจิตใจในทางที่ถูกที่ควร การงานสมปรารถนา มหาอำนาจ ชีวาตุ อายุวัฒนะ กายวาจาใจประสิทธิ”    

“พุทธังกรึง ธัมมังกรึง สังฆังกรึง กรึงด้วยนะโมพุทธายะ  อิมังองคะพันธะนัง อธิษฐามิ”     

“พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา อิติปาระมิตาติงสา”

** บทนี้เป็นของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง หลวงปู่ห้ามไว้ ไม่ควรใส่พระของท่านไปไหว้เจ้าไหว้ผี สวมใส่รูปพระนี้ร่วมกับรูปเทพ รูปสัตว์ เพราะถือว่าขาดจากพระไตรสรณคม์ เป็นการผิดสัจจะ  ให้เลือกว่าจะสวมพระ หรือเทพ เป็นชาวพุทธที่ถูกต้อง

การอาราธนาเมื่อมีเหตุจำเป็นเฉพาะหน้า ว่านะโม ๓ จบ

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม”

“ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อีกทั้งอำนาจบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน จงมาช่วยอภิบาลรักษา ...บำบัดทุกข์อำนวยสุขให้ข้าพเจ้า...(แล้วแต่อธิษฐาน) ณ กาลบัดนี้”

หากต้องการคนช่วยเหลือให้อธิษฐานต่อว่า “ขอให้พบมหามิตรที่เคยร่วมบุญกัน มาช่วยเหลือในการ................นี้ด้วยเถิด”


การอาราธนาทำน้ำมนต์ น้ำมัน

หากว่าบทชุมนุมเทวดาได้ ให้ว่าเสียก่อน แล้วว่านะโม ๓ จบ

“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 ข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 ข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
 ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
 ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
 ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
 ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

“แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง
 แม้กล่าวเป็นครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึง พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง พุทโธเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง    ธัมโมเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“นัตถิเม สะระณัง อัญญัง สังโฆเม สะระณัง วะรัง” 

“เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง”

“ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า”

“ด้วยการกล่าวความจริงนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า”

“อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม”

“ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อีกทั้งอำนาจบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน จงมาช่วยอภิบาลรักษา ...บำบัดทุกข์อำนวยสุขให้ข้าพเจ้า...(แล้วแต่อธิษฐาน) ณ กาลบัดนี้”

“นางพระธรณี นางพระคงคาเจ้าเอ๋ย อยู่แล้วหรือยัง (อยู่แล้ว) เชิญมาช่วยปลดทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขาตัง โลกะวิทู”      (ตอนถามว่าอยู่แล้วหรือยัง ให้ตอบเองว่าอยู่แล้ว)

“ขอให้น้ำพระพุทธมนต์นี้ เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ในการ.. (แล้วแต่อธิษฐาน)...ด้วยอำนาจพระพุทธานุภาพ พระธัมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ”

“อังการะพินธุนาถัง อุปปันนัง  พรหมมาสะหัมปะตินามะ อาธิกัปเป
 สุอาคะโต ปัญจะปทุมังทิสวา นะโมพุทธายะ วันทะนัง”
“สิโรเมพุทธะเทวัญจะ  นลาเฏพรหมมะเทวะตา
 หะทะยังนารายะกัญเจวะ   หัตเถจะปรเมศุรา
 ปาเทวิษณุกัญเจวะ  สัพพะกัมมาประสิทธิเม”
“สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะ ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง
 สิทธิลาโภ นิรัน ตะรัง สัพพะกัมมังประสิทธิเม สัพพะสิทธิ ภะวันตุเม”

ระหว่างนี้ควรสวดมนต์เพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ณ ที่นี้ขอมอบคาถาดับทุกข์ภัยให้
“พะทะมะนะ เตโชธาตุ นะอะอิอุ อะอิอุนะ อิอุนะอะ อุนะอะอิ ปะฏิเสวามิ”
ใส่ฝักส้มป่อยลงในน้ำ ใช้เทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ บาท จุดทำน้ำมนต์นี้เวลาเที่ยงคืน ให้ได้ ๑๐๘ จบ แก้ทุกข์ภัยสารพัด คดีความสูญหาย โทษถึงตายก็มิตาย เจ้านายโกรธก็กลับเมตตา เสกสีผึ้งทาปาก ใช้เสกน้ำมันก็ได้แต่ไม่ต้องใช้เทียน  ขณะจุดเทียนใช้บทพระพุทธคุณ “อิติปิโสภะคะวา..ถึง...พุทโธภะคะวาติ”

หากทำการชุมนุมเทวดา ต้องว่าพระปริตต์ด้วยอย่างน้อย ๑ บท เมื่อครบทุกบทที่ต้องการแล้ว ส่งเทวดากลับ แล้วสวดคาถาต่อไปนี้

“ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเม”
“ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเม”
“ภะวะตุสัพพะมังคะลัง รักขันตุสัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเม”

“นักขัตตะยักขะภูตานัง ปาปัคคะหะนิวาระณา
 ปริตตัสสานุภาเวนะ หันตวา เตสัง อุปัททะเว”  (๓ จบ)
“พระปริตต์เป็นเครื่องห้ามบาปเคราะห์ ของดาวนักษัตร ของยักษ์ และของภูตผีทั้งหลาย ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตต์ ขอจงขจัดอุปัททวะทั้งหลาย ของดาวนักษัตร ของยักษ์ และของภูตผีทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยเถิด” (๓ จบ)

ขณะอาบหรือพรมน้ำมนต์ ภาวนาว่า
“สัพพะทุกขา สัพพะภะยา สัพพะโรคา วินาสสันตุ สัพพะลาภา ภะวันตุเม”

ถ้าแก้คดีความ ขณะอาบหรือพรมน้ำมนต์ ภาวนาว่า
“นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ”

หากจะทำน้ำมัน เปลี่ยนคำอธิษฐานจากน้ำมนต์เป็นน้ำมัน ขณะเสกหรือทาน้ำมันภาวนาว่า “พุทธะสังมิ”  ทำใจให้เบาสบาย ภาวนาเรื่อยไปทั้งวัน เมตตาดีทั้งวัน  

                                                                โชคดีเด้อครับ

การเข้าถึงคุณพระ
การเข้าถึงคุณพระ
Top