หลวงพ่อปาน(พระครูพิพัฒนิโรธกิจ) - webpra

หลวงพ่อปาน(พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : หลวงพ่อปาน(พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)
จำนวนชม : 1087
เขียนเมื่อวันที่ : ส. - 01 ก.ย. 2555 - 18:08.59
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : ส. - 01 ก.ย. 2555 - 18:12.11
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

หลวงพ่อปาน(พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)

ระวัติของหลวงพ่อปาน อันเป็นที่เคารพนับถือเหนือชีวิตจิตใจของชาวคลองด่านทุกวันนี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ชื่อดังที่ใครๆก็รู้จักในปฏิปทาของเป็นเป็นอย่างดี ท่านเกิดที่ ต.บางเหี้ย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อ พ.ศ. 2368 ในรัชการพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่3) มีโยมบิดาชื่อหนูจีน โยมมารดาชื่อตาล หลวงพ่อปานมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน5คนคือ

คนที่1 ชื่อนายเทพย์

คนที่ 2 ชื่อนายทัต

คนที่ 3 ชื่อนายปาน (หลวงพ่อปาน)

คนที่ 4 ชื่อนายจันทร์

คนที่ 5 ชื่อนางแจ่ม

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นใช้ ลูกหลานของหลวงพ่อปาน ได้ใช้ชื่อของบรรพบุรษมาตั้งเป็นนามสกุลว่า “หนูเทพย์”

เหตุที่ชื่อว่าบางเหี้ย

บรรพบุรุษของหลวงพ่อปานอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตกเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 (พ.ศ.2310) มาตั้งรกรากอยู่บริเวณบ้านสนามเรือนหรือที่เรียกกันว่าหมู่บ้านโคกเศรษฐี เพราะพวกที่อพยพมาครั้งนั้นล้วนเป็นพวกเศรษฐีทั้งสิ้น แต่เติมบริเวณนี้ยังเป็นป่ารก มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีนี้ออกมาทะเลที่บางเหี้ย และในทุกครั้งที่น้ำทะเลขึ้น น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านที่อาศัยปลูกบ้านเรือนอยู่ในแถบนั้น ต้องได้รับความลำบากอยู่เป็นเนืองนิตย์ เขตที่น้ำทะเลกับน้ำจืดมาพบกันนี้ มีทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำชุกชุมมาก สัตว์ที่มีมากเป็นพิเศษอาศัย ปู ปลาเป็นอาหารคือ “ตัวเหี้ย” ต่อมาชาวบ้านต้องทำประตูน้ำกันน้ำทะเลไว้ เพื่อมิให้น้ำเค็มขึ้นไปปนกับน้ำจืดและเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุมมิให้แพร่หลายไปตามลำคลองต่างๆอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านบางเหี้ย” และตั้งชื่อแม่น้ำว่า “แม่น้ำบางเหี้ย” เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของสถานที่ดังกล่าว

และยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าในบรรดาเศรษฐีที่อพยพมาในครั้งนั้นมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่งมีบุตรเป็นที่รักสุดสวาทขาดใจ เขารักและตามใจลูกมาก ได้คิดเอาทองคำมาทำเป็นรูปตัวเหี้ยขนาดเด็กขึ้นไปนั่งขี่เล่นขึ้นให้ลูกลากเล่นเป็นที่สนุกสนานสำราญใจ ข่าวนี้ได้ลือไปต่อๆกันไปถึงตัวเหี้ยทองคำที่ลูกเศรษฐีลากเล่น ตำบลนี้จึงเรียกกันติดปากว่า “ตำบลบางเหี้ย”

วัดบางเหี้ยนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 วัดคือ วัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส) กับวัดบางเหี้ยใน (วัดโคธาราม) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางเหี้ยทั้ง 2 แห่ง เพราะชาวบ้านตั้งเรือนอยู่ริมน้ำ ตลอดแนวทั้ง 2 ฝั่งและต้องอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ

การศึกษาขั้นต้นของหลวงพ่อ

โยมบิดามารดา ได้พาไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณศรีศากสุนทร เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) จ.ธนบุรี ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดแจ้งมาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและเมืออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดแจ้งนั่นเอง โดยมีท่านเจ้าคุณ ศรีศากยมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่อหลวงพ่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย กับท่านเจ้าคุณผู้เป็นพระอุปัชฌาย์หลายปี และท่านมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก เพราะกรรมฐานเป็นธรรมพิเศษของพระพุทธศาสนา เป็นเครื่องซักฟอก และถ่ายถอนความคิดเห็นที่ผิดของตน อันเป็นพื้นเพของจิตที่มีเชื้อวัฏฏะ จมอยู่ภายในให้สูญหายไปและให้คงมีแต่พระธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่ในจิตใจเท่านั้น



กลับสู่บ้านเกิด

หลังจากศึกษาในเรื่องกรรมฐานจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงพ่อก็ได้กราบลาสมเด็จพระศรีศากยมุนีผู้เป็นทั้งพระอาจารย์และเจ้าอาวาสวัดแจ้ง เดินทางกลับบ้านมายังวัดบางเหี้ยนอกอันเป็นบ้านเกิด ในการกลับมาครั้งนี้ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อเรือน ได้ติดตามมาอยู่กับท่านด้วยซึ่งหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเรือนนี้ท่านชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

เมื่อมาอยู่ที่วัดบางเหี้ยนอกแล้ว หลวงพ่อปานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลพระภิกษุสงฆ์ในวัดซึ่งเจ้าอาวาสในขณะนั้นคือ หลวงพ่อถัน ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ดูแลพระเณร ด้วยการให้ดูแลในการปฏิบัติและการศึกษา โดยมีพระอาจารย์อิ่ม เป็นผู้ช่วย

หลวงพ่อปาน ได้ปกครอบพระเณรลูกวัดโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปฏิบัติท่านจะอบรมสั่งสอนการปฏิบัติกรรมฐานให้แก่พระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนพุทธบริษัท ให้รู้จักการนั่งสมาธิเจริญภาวนา เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด และตัวท่านเองก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนพระเณรต้องเคารพยำเกรงท่านเป็นอันมาก

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) ทรงโปรดฯ

เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2452 ประตูน้ำที่กันแม่น้ำบางเหี้ยหรือที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า “ประตูน้ำชลหารพิจิต” หรือที่เรียกกันโดยทั่วๆไปว่าประตูน้ำคลองด่าน ปิดน้ำไม่อยู่ แม้นายช่างผู้ชำนาญจะซ่อมสร้างสักเท่าใด ประตูน้ำก็ยังชำรุดอยู่ทุกๆปี จนกระทั่งข้าราชการในท้องถิ่นแห่งนั้นได้ปรึกษากันและได้นำความขึ้นไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงทราบ และขอให้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จเยี่ยมเพื่อขอพึ่งพระบารมีของพระองค์ท่าน

เพราะในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีเดชานุภาพมาก เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไป ณ ที่ใด ณ ที่แห่งนั้นจะเป็นที่มีความเจริญทั้งเป็นสิริมงคลแก่พสกนิกร และสถานที่เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงทราบความที่ข้าราชการใหญ่น้อยกราบบังคมทูลเช่นนั้น พระองค์จึงทรงพระมหากรุณาธิคุณรับที่จะเสด็จไปตามความประสงค์ของพสกนิกร

นับได้ว่าประตูน้ำชลหารพิจิตรในทุกวันนี้ เป็นประตูน้ำที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งในสมัยนั้น เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จทางชลมารค มาประทับอยู่ถึง 3 วัน และสิ่งที่ชาวบางเหี้ยทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นก็คือ พระองค์ทรงเปลี่ยนนาม ตำบลบางเหี้ย เป็นตำบลคลองด่าน และเปลี่ยนชื่อแม่น้ำบางเหี้ยเป็นแม่น้ำคลองด่าน และเปลี่ยนจากอำเภอบางเหี้ยมาเป็น อำเภอบางบ่อ จึงนับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ชาวบางเหี้ยได้เป็นชาวคลองด่านตราบเท่าทุกวันนี้ และนับว่าเป็นโชคอันดีที่พระองค์ทรงพระกรุณาธิคุณ พระราชทานนามด้วยพระองค์เอง โดยพสกนิกรมิได้ทูลขอแต่ประการใด ซึ่งสมควรที่ชนรุ่นหลังควรระลึกนึกถึงและภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในตำบลบางเหี้ย ได้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอดีต อันอนุชนรุ่นหลัง ควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ไว้ตลอดไปชั่วกาลนาน

ประวัติวัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส)

ตามทะเบียนประวัติของกรมการศาสนาได้ระบุไว้ว่า วัดบางเหี้ยนอกนั้นได้สร้างขั้นในปี พ.ศ.2300 สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นราชธานีซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 ได้เสด็จมาดูประตูกั้นน้ำในแม่น้ำบางเหี้ยเมื่อต้นปี พ.ศ. 2452 นั้น พระองค์พระราชชื่อเพื่อเป็นมงคลแก่ชาวบางเหี้ยว่า “คลองด่าน” แล้วพระองค์ยังได้พระราชทานนามวัดบางเหี้ยนอกให้ใหม่ว่า “วัดมงคลโคธาวาส” และในครั้งนั้น พระองค์ยังได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนาม และโปรดประทานสมณศักดิ์ถวายให้หลวงพ่อปานว่า “พระครูพิพัฒนิโรธกิจ” เพราะพระองค์ท่านชื่อในความสามารถของหลวงพ่อปานว่า เป็นพระเกจิอาจารย์ที่หาผู้ใดเปรียบได้ยากในสมัยนั้น ซึ่งจะได้กล่าวถึงเรื่องราวอภินิหารของท่านในตอนหลัง

ลำดับพระอาจารย์ดัง

ในวัดมงคลโคธาวาส (วัดบางเหี้ยนอก) นี้ได้เป็นที่จำพรรษาของเกจิอาจารย์ชื่อดังอยู่หลายรูปด้วยกัน เช่นในสมัยของหลวงพ่อถัน ซึ่งเป็นคนบ้านคลองนางโหง ต.คลองด่าน ได้บวชอยู่วัดบางเหี้ยนอกจนได้เป็นสมภารเจ้าอาวาส ท่านได้บันทึกไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมงคลโคธาวาส (บางเหี้ยนอก) แห่งนี้ มีอาจารย์ที่เป็นพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิอยู่หลายรูปเช่น

1. หลวงพ่อปาน (พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)

2. หลวงพ่อเรือน (เคยเป็นพระอุปัชฌาย์ที่วัดนี้)

3. หลวงพ่อล่า (เป็นหมอผี และหมอทำน้ำมนต์)

4. พระอาจารย์อิ่ม (อาจารย์สอนกรรมฐาน และเป็นอาจารย์สอนธุดงค์แก่พระภิกษุสามเณร ที่ประสงค์จะออกป่า)

5. หลวงพ่อทอง (พระครูสุทธิรัตน์)

6. หลวงพ่อลาว (มรณภาพไม่เน่าเปื่อย)



ล่อเสือขึ้นจากน้ำ

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เสด็จมาประทับอยู่ประตูน้ำบางเหี้ยเป็นเวลา 3 วันนั้น พระองค์ได้รับสั่งให้นิมนต์หลวงพ่อปานเข้าเฝ้า เพื่อไต่ถามในเรื่องต่างๆ ขณะนี้หลวงพ่อปานเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวนั้นท่านได้ให้เด็กชายป๊อด ถือพานใส่เขี้ยวเสือที่แกะเป็นเสือรูปไปด้วย ซึ่งสมัยนั้นเป็นเขี้ยวเสือจริงๆ เมือไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5 หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กชายป๊อดที่ถือติดตามท่านไปแต่เด็กชายป๊อดตอบว่า “เสือไม่มีแล้ว” เพราะมันกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว

หลวงพ่อปานจึงให้เอาหมูที่ทำขึ้นจากดินเหนียว แล้วเสียบกับไม้แกว่งล่อเสือขึ้นมาจากหน้าพระพักตร์ จนพระองค์ถึงกับตรัสว่า “พอแล้วหลวงตา”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสือของหลวงพ่อปานก็เป็นที่เลื่องลือกันในสมัยนั้นมาก และเป็นของอันล้ำค่าหาได้ยากมากในสมัยปัจจุบันนี้ เพราะท่านได้สร้างจากเขี้ยวเสือจริงๆ และสร้างไว้น้อยมาก เมื่อใครได้ก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมี จึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก เขี้ยวเสือกลวง เป็นของวิเศษประเภททนสิทธิ์ เช่นเดียวกับเขี้ยวหมูตัน ท่านโบราณาจารย์นิยมเอาเขี้ยวเสือกลวงมาลงอักขระ เลขยันต์และหัวใจพุทธอาคม ใช้เป็นเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่ง มีอานุภาพคงกระพัน มหาอุด และใช้ทางมหาอำนาจ โดยอานิสงส์ที่ว่า เสือเป็นเจ้าแห่งป่ามีเดชมาก สัตว์น้อยใหญ่พอได้ยินเสียงเสือคำรามจะเกิดอาการครั่นคราม ตัวสั่นงันงกและป่าจะสงบเงียบลง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านนิยมเอาเขี้ยวเสือแกะของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนอก(วัดมงคลโคธาราม) ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

รูปลักษณะของเสือหลวงพ่อปานนั้นดูละม้ายคล้ายๆกันคือเป็นเสือนั่งชันเข่า มีทั้งอ้าปากและหุบปาก ดวงตาทำเป็นวงกลม ที่ใต้ฐานส่วนมากจะลงเป็นตัว “เฑาะ” ขมวดหัวขมวดหาง แต่โดยที่ใต้ฐานจะมีรูเพราะแกะด้วยเขี้ยวเสือกลวง พื้นที่หน้าตัดจึงมีขนาดเล็ก จึงลงขมวดๆซ้อนกัน นิยมกันว่า “นะกอหญ้า” นอกจากนั้นที่ใต้คาง ที่ขา และตามลำตัวจะลงเป็นตัวเลขไทย

การหาเสือหลวงปู่ปานในปัจจุบัน อาศัยการกินพิจารณารูปลักษณะและศิลปะการแกะของช่างและความเก่าของเขี้ยวเสือเป็นส่วนใหญ่

ให้พระท่านไปก่อนแล้วฟ้าจะตามไป

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเลิกทาส และเป็นนักปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่เข้าถึงประชาชน โดยพระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนดูและทุกข์สุขของราษฏรตามหัวเมืองด้วยพระองค์เอง ดังเช่นที่พระองค์เสด็จมาถึงบ้านบางเหี้ยแห่งนี้ พระองค์ก็เป็นห่วงเป็นใยในความทุกข์ของประชาชนจึงเป็นที่รักใคร่ของอาณาราษฏร์ เป็นอย่างยิ่ง

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จกลับมายังเมืองหลวง พระองค์ได้ตรัสรับสั่งกับหลวงพ่อปานประโยคหนึ่งว่า

“ให้พระไปก่อน แล้วฟ้าจะตามไปทีหลัง”

พระราชดำรัสของพระองค์นับเป็นคำรับสั่งที่เข้าใจยาก คือทั้งหลวงพ่อปานเองและสานุศิษย์ที่ได้ฟังพระองค์ท่านตรัสในวันนั้น เพราะไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งนั่นเอง จนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จกลับจากประตูน้ำบางเหี้ยไม่นานนัก หลวงพ่อปานก็ถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) และเมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพลงไม่นานถึงปี พระองค์ท่านก็เสด็จประชวรสวรรคตลงเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ร.ศ. 129 (พ.ศ.2453)

ฉะนั้น คำที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ตรัสไว้ว่า “ให้พระไปก่อนแล้วฟ้าจะตามไปทีหลัง” นั้น พระองค์ท่านคงหมายถึงการละสังขารของหลวงพ่อปานก่อน แล้วพระองค์จะละสังขารตามไปทีหลัง โดยพระองค์คงจะทรงทราบด้วยญาณของพระองค์เองว่า หลวงพ่อปานและพระองค์ท่าน คงถึงเวลาที่จะเสด็จจะละสังขารได้แล้ว พระองค์ท่านจึงตรัสไว้ก่อน

การสูญเสียองค์ประมุขในครั้งนั้น พสกนิกรทั่วทั้งประเทศมีความโศกเศร้าอาลัยเป็นอย่างมาก เพระพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตไปแล้วก็ตาม แต่ประชาชนก็ยังรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณมิรู้ลืมเลย



ย้ายศพพบคาถาดี

เมื่อหลวงพ่อปานได้มรณภาพลงโดยโรคชรา เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ศ.ก.129 (พ.ศ.2453) ตรงกับวันอังคารที่ แรม 9 ค่ำ เดือน 9 ปีจอ เวลา 5 ทุ่ม 45 นาที สิริอายุรวม 86 ปี พรรษา 65 ที่วัดมงคลโคธาราม (วัดบางเหี้ยนอก) ต.คลองด่านนั่นเอง ซึ่งยังความเศร้าโศกและเสียใจ แก่สานุศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ศพของหลวงพ่อปานนั้นได้รับพระราชทานเพลิงศพที่วัดมงคลโคธาวาส ตั้งศพวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ศก 130 ตรงกับวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2453 และพระราชทานเพลิงศพวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2453

เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพใหม่ๆ คือเพิ่งจะตั้งศพได้คืนเดียวพอคืนที่ 2 นายนาค หรือปู่นาค เผือกวัฒนะ ที่ชาวบ้านเรียกกันเพราะเป็นหลานที่สนิทของหลวงปู่ปาน อดีตเคยเป็นกำนันตำบลบางเหี้ย (ตำบลคลองด่านในปัจจุบัน) ซึ่งมีอายุ 88 ปี ในขณะเปิดเผยเรื่องราวของหลวงพ่อปาน ให้พระผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดมงคลโคธาวาสในสมัยหนึ่งฟัง

โดยปู่นาคได้เปิดเผยเรื่องราวให้ฟังว่า ปู่นาคเป็นหลานแท้ๆของหลวงพ่อปาน และได้เจ้าภาพในงานศพด้วย แต่ที่ไม่ได้มาถึงวันที่ 2 ของการตั้งศพและได้เห็นการตั้งศพเครื่องตั้งไม่เหมาะสม คือมีต้นเสาพิงหีบศพ ปู่นาคจึงย้ายเครื่องตั้งศพใหม่ ขณะที่ย้ายหีบศพของหลวงพ่อปานนั้น ต้นเสาที่หีบศพพิงอยู่ ปู่นาคเห็นเป็นรูกลมๆ และมีเศษกระดาษม้วนอยู่ในรูนั้น และเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบข้อความซึ่งเป็นคาถาเขียนด้วยลายมืออย่างชัดเจน

ข้อความในแผนกระดาษใบนั้นมีฝอยบอกไว้ข้างล่างว่า “เสกน้ำประพรมขายของ” ซึ่งปู่นาคเล่าว่าเขาจำได้ว่า ทั้งหมดเป็นลายมือของหลวงพ่อปานเอง จึงเก็บรักษาแผ่นกระดาษที่มีคาถาอยู่นั้นว่า

พระคาถาที่ว่าเสกน้ำประพรมขายของ มีดังนี้คือ

“นะชาลิเต สังฆาลิเต นะชาลิติ สังฆาลิติ พะสีราชา สัพเพชะนา พะหูชะนา”

พระคาถาทั้งหมดนี้ เป็นของหลวงพ่อปาน ถ้าหากท่านใดมีความสนใจจะนำไปท่องบ่นไปใช้บ้าง ปู่นาคบอกว่ายินดีให้เพราะสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ชนส่วนรวมก็ยินดี

วาจาสิทธิ์ 

หลวงพ่อปาน(พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)
Top