หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก - webpra

หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
จำนวนชม : 2440
เขียนเมื่อวันที่ : พ. - 05 ก.ย. 2555 - 21:11.27
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พ. - 05 ก.ย. 2555 - 21:12.42
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

 

หลวงพ่อทา   วัดพะเนียงแตก  ตำบลมาบแค   อำเภอเมืองนครปฐม  จังหวัดนครปฐม   ตามประวัติกล่าวเอาไว้ว่า    บรรพบุรุษได้อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นชาวเวียงจันทร์    มาตั้งถิ่นฐานอยู่ราชบุรี     แต่บางกระแสก็กล่าวว่าบรรพบุรุษของท่านมีเชื้อสายเป็นชาวมอญ ท่านถือกำเนิดเมื่อปี  พ.ศ.  ๒๓๖๖   ในรัชสมัยรัชกาลที่   แห่งกรุงรัตนโกสินทร์    เมื่ออายุได้    ขวบ  บิดามารดา   ได้นำไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัดอยู่วัดโพธารามนั่นเอง  เพื่อศึกษาเล่าเรียนอักษรขอม    และอบรมบ่มนิสัยตามประเพณีไทยแต่โบราณ   เมื่ออายุได้  ๑๕  ปี  ตรงกับปี  พ.ศ. ๒๓๘๑   ได้บรรพชาเป็นสามเณร     วัดโพธารามนั่นเอง   โดยมีหลวงพ่อทาน   เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น    จนกระทั่งมีอายุครบบวช     จึงได้อุปสมบทเมื่อปี   พ.ศ. ๒๓๘๖      ที่วัดบ้านฆ้อง ( วัดฆ้อง   )  อำเภอโพธาราม   จังหวัดราชบุรี    วัดบ้านฆ้อง ( วัดฆ้อง ) ในอดีตเคยเป็นสำนักปฏิบัติธรรมและพระกัมมัฏฐาน  ที่มีชื่อเสียงมาก  สมัยนั้นหากใครได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน    สำนักแห่งนี้แล้วถือว่าไม่ธรรมดา แม้ลาสิกขาบทออกไป   ก็จะได้รับการยกย่องเชิดชู   เป็นหน้าตาแก่วงศ์ตระกูล  ที่มีชื่อเสียงและได้รับการเคารพนับถือจากบุคคลโดยทั่วไป      สำหรับหลวงพ่อทานั้น ภายหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้วท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยทั้งภาษาไทย   ภาษาบาลี   และภาษาขอม  จนเป็นที่แตกฉาน   เมื่อเห็นสมควรแล้ว       จึงได้หันมาศึกษาและฝึกปฏิบัติพระวิปัสสนากัมมัฏฐาน  อีกทั้งยังศึกษาทางด้านพุทธาอาคมต่าง ๆ อีกมากมาย     จนชำนาญและเชี่ยวชาญ     จึงกราบลาพระอาจารย์      ออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ  หาสถานที่สงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม     ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ   เพื่อให้พ้นบ่วงแห่งอาสวะกิเลสทั้งปวง     สถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านไปนั้นมีหลายที่เช่น   ไปเมืองสระบุรี  เพื่อกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท   ไปเมืองพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการพระพุทธชินราช   หลังจากนั้นก็รอนแรมในแถบภาคอีสาน     ข้ามไปยังฝั่งเขมร   เมื่อกลับเข้ามาแล้วจึงวกไปภาคตะวันตก   สู่จังหวัดกาญจนบุรีผ่านไปยังพม่า  แวะกราบนมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง     กาลเวลาได้ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี   ที่หลวงพ่อทาได้ธุดงค์จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ต่าง ๆ ใช้ชีวิตอยู่ในป่าดงพงไพร   ฝึกฝนสมาธิทางจิต   และขัดเกลากิเลสตัณหา  ด้วยการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจังในระหว่างนั้นเมื่อท่านได้มีโอกาสพบปะกับพระคณาจารย์ผู้เรืองเวทย์วิทยาคม  ก็จะขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ  อยู่เสมอไม่เคยขาด   ทำให้ท่านมีความรู้ความชำนาญในศาสตร์หลายแขนง   ที่ยากจะหาใครมาเสมอเหมือนโดยง่าย

 

            จนกระทั่งเมื่อประมาณ  ปี  พ.ศ. ๒๔๑๗    ขณะนั้นท่านมีอายุได้  ๕๑  ปี   หลวงพ่อทาได้ธุดงค์ผ่านมาทางตำบลพะเนียงแตก    ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นตำบลมาบแค   ซึ่งในตำบลนี้มีวัดเล็ก ๆ ซึ่งหลวงปู่สุขเป็นผู้สร้าง   ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นป่ารกชัฏนอกเมือง     เมื่อท่านเห็นว่าเป็นสถานที่วิเวก  เหมาะแก่การเจริญภาวนาธรรมท่านจึงได้ตัดสินใจปักกลดพักแรม    และได้ทราบด้วยญาณว่า       ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมาก่อน  จึงได้จำวัดอยู่     บริเวณวัดนี้  ซึ่งพอดีที่วัดพะเนียงแตกไม่มีเจ้าอาวาส    เนื่องจากหลวงปู่สุขได้มรณภาพมานานแล้ว จึงทำให้วัดแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างกลายสภาพเป็นป่ารกชัฏดังกล่าว   ประชาชนเห็นว่าหลวงพ่อทาได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่วัดนี้และมีความเลื่อมใสศรัทธา     จึงได้นิมนต์ให้หลวงพ่อทาอยู่ประจำวัดและให้เป็นเจ้าอาวาสของวัดพะเนียงแตกแทนหลวงปู่สุข   เมื่อประมาณพ.ศ. ๒๔๓๐   หลวงพ่อทาได้ปกครองวัดพะเนียงแตกมาเป็นเวลานานพอสมควร ท่านจึงเริ่มลงมือสร้างเป็นวัดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง    พร้อมทั้งสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นมามากมายรวมทั้งอุโบสถ  ในช่วงระหว่างการสร้างวัดแห่งนี้ท่านยังได้สร้างวัดอื่น ๆ ขึ้นมาอีกในคราเดียวกัน เช่นวัดบางหลวง    วัดดอนเตาอิฐ  วัดสองห้อง  เป็นต้น    หลวงพ่อทา   แห่งวัดพะเนียงแตก    ในช่วงนั้นท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก   ได้ รับการยอมรับนับถือว่าเป็นพระนักปฏิบัติเชี่ยวชาญในด้านสมถะวิปัสสนา กัมมัฏฐานอย่างยิ่งยวดมีพลังจิตแก่กล้าและมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมาก   ทั้งบรรพชิตและฆราวาส

 

            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   รัชกาลที่    (  พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓ ) ทรงทราบถึงเกียรติคุณดังกล่าว   จึงมีรับสั่งโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าเฝ้าอยู่เสมอ ๆ ด้วยพระองค์ท่านทรงโปรดปรานพระเถระผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐานมาก  และหลวงพ่อทาก็เป็นพระเถราจารย์องค์หนึ่งที่พระองค์ท่านทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก   ดังนั้นพระราชพิธีหลวงต่าง ๆ  ท่านจะรับสั่งให้นิมนต์หลวงพ่อทา    วัดพะเนียงแตก  เสมอ ๆ เช่น  พิธีหลวงการพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมพระยาปวเรศวริศยาลงกรณ์   ท่านก็ได้รับนิมนต์ด้วย และได้รับถวายพัด  เนื่องในพิธีหลวงการพระศพดังกล่าว   ซึ่งมีขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๕ (  ร.ศ.๑๑๑ ) โดยพยานหลักฐานยืนยันก็คือ   ภาพถ่ายของท่าน  และมีระบุในภาพถ่ายดังกล่าว  ว่าถ่าย ร.ศ.๑๒๗  ตรงกับปีพ.ศ. ๒๔๕๑พัดที่ตั้งอยู่ด้านขวามือของท่านคือ  พัดยศ  ส่วนพัดทางด้านซ้ายมือ   คือ พัดที่ได้รับถวายเนื่องในพิธีหลวงการพระศพ   ข้อความที่ระบุในพัดคือ การพระศพสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ    สมเด็จพระสังฆราชเจ้า  รัตนโกสินทร์ศก  ๑๑๑

 

            กล่าวได้ว่า    ตลอดชีวิตของหลวงพ่อทา    วัดพะเนียงแตก  ท่านได้ดำรงชีวิตในสมณะเพศอย่างคุ้มค่า   มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง   เมื่อท่านได้บรรพชา  อุปสมบท  ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพากเพียรปฏิบัติให้เกิดผลทุกด้าน  นำสิ่งที่ได้ศึกษาและปฏิบัติ     มาอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์   ให้ยึดถือปฏิบัติแนวทางอย่างถูกต้องตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาอย่างเต็มกำลังความสามารถตราบถึงกระทั่งแม้ท่านมีอายุมากแล้ว  ก็ยังปฏิบัติศาสนกิจอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง    จนเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป

 

             ปี  พ.ศ. ๒๔๖๒ (ร.ศ.๑๓๘ ) ตรงกับปีมะแม   หลวงพ่อทาได้ชราภาพมากจึงถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๖  ปี  พรรษาที่  ๗๖    สิ่งที่หลงเหลือ   เป็นอนุสรณ์ให้ร่ำลือนึกถึงท่านก็คือเกียรติคุณ    คุณงามความดี   และบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน    ที่จะทำให้เราจดจำไว้


หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
Top