
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ตำบลมาบแค อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ตามประวัติกล่าวเอาไว้ว่า บรรพบุรุษได้อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นชาวเวียงจันทร์ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ราชบุรี แต่บางกระแสก็กล่าวว่าบรรพบุรุษของท่านมีเชื้อสายเป็นชาวมอญ ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๖ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ บิดามารดา ได้นำไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัดอยู่วัดโพธารามนั่นเอง เพื่อศึกษาเล่าเรียนอักษรขอม และอบรมบ่มนิสัยตามประเพณีไทยแต่โบราณ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโพธารามนั่นเอง โดยมีหลวงพ่อทาน เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น จนกระทั่งมีอายุครบบวช จึงได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๖ ที่วัดบ้านฆ้อง ( วัดฆ้อง ) อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี วัดบ้านฆ้อง ( วัดฆ้อง ) ในอดีตเคยเป็นสำนักปฏิบัติธรรมและพระกัมมัฏฐาน ที่มีชื่อเสียงมาก สมัยนั้นหากใครได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน ณ สำนักแห่งนี้แล้วถือว่าไม่ธรรมดา แม้ลาสิกขาบทออกไป ก็จะได้รับการยกย่องเชิดชู เป็นหน้าตาแก่วงศ์ตระกูล ที่มีชื่อเสียงและได้รับการเคารพนับถือจากบุคคลโดยทั่วไป สำหรับหลวงพ่อทานั้น ภายหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้วท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาขอม จนเป็นที่แตกฉาน เมื่อเห็นสมควรแล้ว จึงได้หันมาศึกษาและฝึกปฏิบัติพระวิปัสสนากัมมัฏฐาน อีกทั้งยังศึกษาทางด้านพุทธาอาคมต่าง ๆ อีกมากมาย จนชำนาญและเชี่ยวชาญ จึงกราบลาพระอาจารย์ ออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ หาสถานที่สงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ เพื่อให้พ้นบ่วงแห่งอาสวะกิเลสทั้งปวง สถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านไปนั้นมีหลายที่เช่น ไปเมืองสระบุรี เพื่อกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ไปเมืองพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการพระพุทธชินราช หลังจากนั้นก็รอนแรมในแถบภาคอีสาน ข้ามไปยังฝั่งเขมร เมื่อกลับเข้ามาแล้วจึงวกไปภาคตะวันตก สู่จังหวัดกาญจนบุรีผ่านไปยังพม่า แวะกราบนมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง กาลเวลาได้ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ที่หลวงพ่อทาได้ธุดงค์จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ต่าง ๆ ใช้ชีวิตอยู่ในป่าดงพงไพร ฝึกฝนสมาธิทางจิต และขัดเกลากิเลสตัณหา ด้วยการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจังในระหว่างนั้นเมื่อท่านได้มีโอกาสพบปะกับพระคณาจารย์ผู้เรืองเวทย์วิทยาคม ก็จะขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ อยู่เสมอไม่เคยขาด ทำให้ท่านมีความรู้ความชำนาญในศาสตร์หลายแขนง ที่ยากจะหาใครมาเสมอเหมือนโดยง่าย
จนกระทั่งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๕๑ ปี หลวงพ่อทาได้ธุดงค์ผ่านมาทางตำบลพะเนียงแตก ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นตำบลมาบแค ซึ่งในตำบลนี้มีวัดเล็ก ๆ ซึ่งหลวงปู่สุขเป็นผู้สร้าง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นป่ารกชัฏนอกเมือง เมื่อท่านเห็นว่าเป็นสถานที่วิเวก เหมาะแก่การเจริญภาวนาธรรมท่านจึงได้ตัดสินใจปักกลดพักแรม และได้ทราบด้วยญาณว่า ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมาก่อน จึงได้จำวัดอยู่ ณ บริเวณวัดนี้ ซึ่งพอดีที่วัดพะเนียงแตกไม่มีเจ้าอาวาส เนื่องจากหลวงปู่สุขได้มรณภาพมานานแล้ว จึงทำให้วัดแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างกลายสภาพเป็นป่ารกชัฏดังกล่าว ประชาชนเห็นว่าหลวงพ่อทาได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่วัดนี้และมีความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้นิมนต์ให้หลวงพ่อทาอยู่ประจำวัดและให้เป็นเจ้าอาวาสของวัดพะเนียงแตกแทนหลวงปู่สุข เมื่อประมาณพ.ศ. ๒๔๓๐ หลวงพ่อทาได้ปกครองวัดพะเนียงแตกมาเป็นเวลานานพอสมควร ท่านจึงเริ่มลงมือสร้างเป็นวัดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นมามากมายรวมทั้งอุโบสถ ในช่วงระหว่างการสร้างวัดแห่งนี้ท่านยังได้สร้างวัดอื่น ๆ ขึ้นมาอีกในคราเดียวกัน เช่นวัดบางหลวง วัดดอนเตาอิฐ วัดสองห้อง เป็นต้น หลวงพ่อทา แห่งวัดพะเนียงแตก ในช่วงนั้นท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ได้ รับการยอมรับนับถือว่าเป็นพระนักปฏิบัติเชี่ยวชาญในด้านสมถะวิปัสสนา กัมมัฏฐานอย่างยิ่งยวดมีพลังจิตแก่กล้าและมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมาก ทั้งบรรพชิตและฆราวาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ( พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓ ) ทรงทราบถึงเกียรติคุณดังกล่าว จึงมีรับสั่งโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าเฝ้าอยู่เสมอ ๆ ด้วยพระองค์ท่านทรงโปรดปรานพระเถระผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐานมาก และหลวงพ่อทาก็เป็นพระเถราจารย์องค์หนึ่งที่พระองค์ท่านทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก ดังนั้นพระราชพิธีหลวงต่าง ๆ ท่านจะรับสั่งให้นิมนต์หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก เสมอ ๆ เช่น พิธีหลวงการพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมพระยาปวเรศวริศยาลงกรณ์ ท่านก็ได้รับนิมนต์ด้วย และได้รับถวายพัด เนื่องในพิธีหลวงการพระศพดังกล่าว ซึ่งมีขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๕ ( ร.ศ.๑๑๑ ) โดยพยานหลักฐานยืนยันก็คือ ภาพถ่ายของท่าน และมีระบุในภาพถ่ายดังกล่าว ว่าถ่าย ร.ศ.๑๒๗ ตรงกับปีพ.ศ. ๒๔๕๑พัดที่ตั้งอยู่ด้านขวามือของท่านคือ พัดยศ ส่วนพัดทางด้านซ้ายมือ คือ พัดที่ได้รับถวายเนื่องในพิธีหลวงการพระศพ ข้อความที่ระบุในพัดคือ การพระศพสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑
กล่าวได้ว่า ตลอดชีวิตของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านได้ดำรงชีวิตในสมณะเพศอย่างคุ้มค่า มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านได้บรรพชา – อุปสมบท ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพากเพียรปฏิบัติให้เกิดผลทุกด้าน นำสิ่งที่ได้ศึกษาและปฏิบัติ มาอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้ยึดถือปฏิบัติแนวทางอย่างถูกต้องตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาอย่างเต็มกำลังความสามารถตราบถึงกระทั่งแม้ท่านมีอายุมากแล้ว ก็ยังปฏิบัติศาสนกิจอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป
ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ (ร.ศ.๑๓๘ ) ตรงกับปีมะแม หลวงพ่อทาได้ชราภาพมากจึงถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๖ ปี พรรษาที่ ๗๖ สิ่งที่หลงเหลือ เป็นอนุสรณ์ให้ร่ำลือนึกถึงท่านก็คือเกียรติคุณ คุณงามความดี และบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ที่จะทำให้เราจดจำไว้ |
