ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช - webpra

ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช
จำนวนชม : 1302
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 09 พ.ย. 2555 - 18:20.59
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : จ. - 19 พ.ย. 2555 - 18:25.19
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

 

ชีวประวัติของท่านน่ายกย่องเป็นที่สุด เพราะ ปราบโจรร้ายราบคาบ ใช้ทั้งวิชาตำรวจจับผู้ร้ายและคาถาอาคม ถึงขั้นอธิบดีตำรวจในขณะนั้นออกปากชมเสมอๆ

 

ท่านมีอายุยืนยาวมาก คือ อายุย่าง 104 ปี   ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา

 

มีภรรยา 2 คน มีลูกทั้งหมด 12 คน

 

ดวงของท่านเป็นมือปราบโจรโดยแท้ ดาว 2,3 และ 9 ครอง เพชรฆาตฤกษ์  ดาว 6 และ 8 ครอง โจโรฤกษ์

 

ไพฑูรย์ อินทศิลา จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เข้าสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ไว้ในวันที่ 5 ตุลาคม 2546 ท่าน ขุนฯ ได้พูดถึงเสือในยุคสมัยนั้นว่า เสือในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็อยากเป็นอยู่แล้ว คำว่า"เสือ" กระตุ้นให้เกิดความระห่ำความกล้าใจพองโตและฮึกเหิม เสือพวกนี้จะมีอิทธิพล มีสมัครพรรคพวกมาก อีกทั้งในเวลานั้นการปราบปรามเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะต้องไล่ล่าบุกป่าฝ่าดงแหวกคมหนามเข้าไปในถิ่นของมัน ยิ่งถ้าเสือตัวนั้นเป็นเสือทางภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลางเพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลัง ติดตัว  ตัวท่านเองชอบทางไสยศาสตร์ และ คาถาอาคม จึงร่ำเรียนวิชาด้านนี้จนแก่กล้า  นัยว่าเป็นตำรวจท่านเดียวในสมัยนั้นที่ใช้วิชา ไสยศาสตร์ และ คาถาอาคม ต่อกรกับ โจร อย่างไม่เคยเกรงกลัว ท่าน ขุนฯ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเสือร้าย และเหตุการณ์เป็นช่วง ๆ อย่างในภาคใต้ เช่นเสือสังข์ เสืออะแวสะดอ ตาและ ส่วนเสือในภาคกลาง ก็ 4 เสือสุพรรณ อันประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ นั่นคือชื่อบรรดาเสือที่มีอำนาจ มีอิทธิพลอย่างมาก แต่การปราบเสือที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด คือการปราบขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ เจ้าพ่อแห่งขุนเขาบูโด จ.นราธิวาส ขุนโจรผู้นี้มีความโหดเหี้ยม และมีเป้าหมายที่น่ากลัวมาก โดยต้องการที่จะแบ่งแยกแผ่นดินอิสลามใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกครั้งที่ทำการปล้นตามหมู่บ้านจะจงใจเลือกเหยื่อที่เป็นคนไทยนับถือศาสนา พุทธเท่านั้นเมื่อปล้นแล้วจะฆ่าเจ้าของบ้านตายด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมพิสดารทุกรายไป อย่างการจิกผมแล้วใช้"กริช"ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวมาทิ่มแทงที่คอจากนั้นจะกดกริชหมุนเอาเนื้อ หรือหลอดลมออกมาท่านขุนฯ เคยยิงขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ ปะทะซึ่ง ๆ หน้ามาแล้ว แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ การติดตามปราบปรามเกิดปะทะกันอีกครั้งหลังจากกระหน่ำกระสุนยิงแล้วไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ ท่านขุนฯ จึงวิ่งเข้าไปชกต่อยกันพัลวันร่วมครึ่งชั่วโมง จึงจับมันใส่กุญแจมือได้และจากการตรวจสอบพบว่า กระสุนที่ยิงตามลำตัวไม่ถูกมันเลย ส่วนกระสุนที่ซัดเข้าที่ปาก 9 นัดมันอมกระสุนไว้ในปากโดยที่ไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก ขุนโจรผู้นี้ยังคายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวน วิชาอาคมของคนที่เป็น เสือ นั้นมีมากมาย อย่างวิชามหายันต์ วิชาตรีนิสิงเห ไทยศาสตร์ขาว ผ่านพิธีเสกว่านกิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำพิธีเสกน้ำมันงาดิบ พิธีแช่ยาแช่ว่าน คาถาอาคมนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่สร้างความฮึกเหิมให้กับเสือแล้วยังมีเครื่องรางของขลังอีกหลายอย่าง เช่น พระประหนังอยุธยา แหวนพระรอด ตะกรุดโทน เป็นต้น หลังจากการคุมขังโจรผู้นี้แล้ว ไม่เกิน 10 วันเหมือนมันรู้ว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตายท่านขุนพันธ์ ได้ร่ำเรียน ไสยเวทย์มาจาก สำนักเขาอ้อ อีกแหล่งหนึ่งด้วยสำนักเขาอ้อ เป็นสำนักไสยศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ มีการสืบเนื่อง หรือ ถ่ายทอดไสยเวทวิทยาคมต่อกันมา ตั้งแต่สมัยศรีวิชัย หรือ หนึ่งพันกว่าปีล่วงมาแล้ว (พ.ศ. ๑๒๐๐ ถึง พ.ศ. ๑๔๐๐) ในสมัยรัตนโกสินทร์ เท่าที่สืบทราบจากปากคำของชาวบ้านร้านถิ่น ถึงตำแหน่งเจ้าสำนักเขาอ้อ สามารถสืบได้ถึงรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ ในช่วงที่ พระอาจารย์เอียดเหาะได้ เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา และดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับที่วัดเขาอ้อ มีพระอาจารย์ทองหูยาน เป็นเจ้าอาวาส (สำนักเขาอ้อ มีวัดพี่ คือ วัดเขาอ้อ และ วัดน้อง คือ วัดดอนศาลา เจ้าสำนักเขาอ้อ จะมาจากสองวัดนี้ โดยพิจารณาถึงคุณสมบัติ และความเหมาะสม ซึ่งผู้ที่พิจารณาก็คือ เจ้าสำนักคนปัจจุบัน เมื่อรู้ว่าใกล้จะละสังขาร ก็จะมอบหมายตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ผู้ที่เห็นสมควร)เมื่อเอ่ยชื่อ พระอาจารย์เอียด และมีคำท้ายว่า เหาะได้ นั่นหมายถึง ปรมาจารย์เขาอ้อยุคเก่า ที่เราท่านสามารถสืบไปถึงได้ เหตุที่มีสร้อยตามท้ายชื่อว่า เหาะได้นั้น เพราะท่านอาจารย์เอียดท่านนี้ ท่านสามารถเหาะได้จริง ๆ ไม่ได้เหาะเล่น ๆ อย่างซุปเปอร์แมนในหนังฝรั่ง เพราะมีชาวบ้านหลายต่อหลายคน เห็นท่านเหาะต่อหน้าต่อตา หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยี่งในวันพระ ๘ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ท่านมักจะเหาะจากวัดดอนศาลา ไปบำเพ็ญศีลภาวนาที่ถ้ำฉัตทันต์ วัดเขาอ้อ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๓ ก.ม. เสมอ เรื่องการเหาะได้ของท่านนั้น เกิดจากอภิญญาสมาบัติที่ได้เจริญกสิณอย่างเคร่งครัด จนสำเร็จเป็นมรรคผล ให้ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง เช่น ยกซุงท่อนใหญ่ขนาดคน ๒๐ ๓๐ คน ต้องช่วยกันยก แต่ท่านสามารถยกคนเดียวได้อย่างสบาย แถมยังแบกแซงหน้าชาวบ้าน ๒๐ กว่าคน ที่ช่วยกันแบกซุงท่อนเดียว กลับมาถึงก่อนกันอีกต่างหากเรื่อง การเหาะของท่าน ท่านมิได้ทำอย่างพร่ำเพรื่อ หรือต้องการอวดฤทธิ์เดชให้ใครต่อใครได้ดูชม แต่ท่านทำเฉพาะเมื่อท่านต้องเดินทางไกล และต้องใช้เวลาอย่างรีบเร่ง หรือ มีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เรื่องเหาะได้นี้ คนสมัยปัจจุบัน อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ได้ยินเข้า ก็คงเปล่งเสียงพร้อมกันว่า โม้อย่างว่าแหละครับ หากท่านย้อนยุคกลับไปสมัยเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน จะด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ใช้ไทม์แมชชีน อย่างหนังฝรั่ง หรือจะทะลุกระจกโบราณ แบบในละครเรื่องทวิภพของไทยก็ตาม ไม่ต้องไปไกล ไปแค่รัชกาลที่ ๕ ก็พอ แล้วไปบอกใครต่อใครว่า ในยุคปัจจุบันที่ท่านจากมานั้น เหล็กสามารถลอยฟ้า, สามารถส่งคนขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้, จะเปิดปิดประตูหน้าต่าง ไม่ต้องลุกเดินไปไหน นั่งอยู่กับที่ แค่ชี้นิ้ว แล้วกระดิกมือเท่านั้น ก็สามารถเปิดปิดประตูได้แล้ว ฯลฯ ผู้คนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ยินเข้า ก็คงจะเข้าใจว่า ไอ้หมอนี่ ไม่บ้า ก็เมา ฉันใดก็ฉันนั้นสำหรับ "เสือสังข์" เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการติดตามหลายเดือน อาวุธปืนก็ทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน พอมีจังหวะในการปะทะท่านขุนก็บุกใส่เปลี่ยนจากการยิงเป็นการเข้าแลกด้วยมือเปล่า หมัด เท้า เข่า ศอก รวมทั้งใช้ปากกัด เสือสังข์ตัวใหญ่มากเสือสังข์กัดขุนพันธ์ไม่ยอมปล่อย ขุนพันธ์จึงใช้ง่ามหัวแม่เท้าขวาหนีบพวงสวรรค์เสือสังข์ และกดให้เสือสังข์ชิดติดกับพื้น มันชักมีดพร้าที่เหน็บอยู่ที่เอวมาเชือดคอ แต่คมมีดเอาขุนพันธ์ไม่อยู่ ในที่สุดเสือสังข์ก็สิ้นฤทธิ์และตายในที่สุด ท่านขุนฯ ยอมรับว่าการปราบเสือสังข์นั้นทำให้ท่านเกือบเอาตัวไม่รอด.

 

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต 8  มีชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวัดที่ 18 กุมภาพันธ์ 2446ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เมื่อเจริญวัยได้เข้ารับราชการตำรวจ มีฝีมือการปราบปรามที่เฉียบขาด  โดยปราบเสือสัง หรือเสือพุ่มซึ่งเป็นเสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง    หลังจากนั้น 1 ปี ท่านก็ได้ปราบผู้ร้ายสำคัญอื่นๆ 16 คน เช่น เสือเมือง เสือทอง เสือย้อย เป็นต้น ด้วยความดีความชอบ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช" และในปี พ.ศ.2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท (อายุย่าง 33 ปี)พ.ศ.2482 ขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับกองเมืองพัทลุง ปี พ.ศ.2485 ย้ายเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ปราบปรามโจรหลายราย รายสำคัญ คือ เสือสาย และเสือเอิบ ต่อมาได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตรได้ปฏิบัติหน้าที่มีความดีความชอบเรื่อยมา และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายมากมาย ที่สำคัญคือการปราบ เสือโน้ม หรืออาจารย์โน้มจึงได้รับพระราชทานยศเป็นพันตำรวจตรี พ.ศ.2489 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท ได้ปะทะและปราบปรามเสือร้ายหลายคน เช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร เป็นต้นปี พ.ศ.2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปีพ.ศ.2507ตลอดชีวิตรับราชการ พล.ต.ต.ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ได้สร้างเกียรติประวัติในตำแหน่ง หน้าที่มากมาย ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และ พัทลุง (สำนักเขาอ้อ) ต่างเคารพรัก ยกย่องนับถือ ท่านขุนพันธ์ฯ อย่างมากว่า เป็นายตำรวจที่ มีใจเด็ดเดี่ยว และเก่งกล้าด้านคาถาอาคม ปราบโจรผู้ร้ายที่ไม่เคยมีผู้ใดปราบได้ จนสยบราบคาบ


ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช
ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช
Top