ประวัติองค์พุทธทั้งห้า - webpra

ประวัติองค์พุทธทั้งห้า

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : ประวัติองค์พุทธทั้งห้า
จำนวนชม : 1052
เขียนเมื่อวันที่ : ส. - 17 พ.ย. 2555 - 11:21.17
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : ส. - 17 พ.ย. 2555 - 11:21.57
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

ประวัติองค์พุทธทั้งห้า

“ อุกาสะ ข้าพเจ้านมัสการ พระพุทธศักราช พระศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ เสด็จ

ลงมาตรัสในพื้นแผ่นปฐพีอันกว้างใหญ่หนาแน่น ได้ 2 แสน 8 หมื่นโยชน์ ” “สัปปุริสา ดูกรสัปบุรุษ

พุทธเวไนย์ทั้งหลาย ชายหญิงสิ้นทั้งปวงแต่ล้วนปรารถนาจะใคร่ลุล่วงไปในนฤพานด้วยกันทุกคน จง

ตั้งจิตให้เป็นกุศล ฟังพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์” พระกกุสันโธ “.....เอกัง สาสนัง อันว่าศาสนาพระ

พุทธเจ้าองค์ที่หนึ่ง เสด็จลงมาจากดุสิตสวรรค์ทรงพระนามว่า




พระกกุสันโธ พระองค์ลงมาบังเกิดในเมืองกบิลพัสดุ์บุรีศรีมาหานคร พระบิดาทรงพระนามว่า ท้าวปัญ

ชาทัตพราหมณ์ พระมารดาทรงพระนามว่า นางวิสาขาพราหมณี เป็นฆราวาสอยู่ 4,000 ปีนั่งรถเทียม

ม้าออกมหาภิเนษกรณ์กระทำความเพียรอยู่ 8 เดือนจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุยืนยาว

ได้ 4 หมื่นปีปรินิพพานในสวนเขมาราม เมื่อพระองค์มา ได้ตรัสในโลกนี้แล้วก็ได้เป็นมหายศอันยิ่ง

ใหญ่แก่ชนทั้งหลาย บรรดาที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในพระศาสนาของพระองค์ ครั้นจุติจากชาตินั้นแล้วก็

ได้เกิดในสวรรค์ และ ได้มรรคผลธรรมวิเศษสุดที่จะนับประมาณ ด้วยอำนาจผลศีลผลทานที่ได้สดับ

ตรับฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ภาวนาในสำนักพระพุทธเจ้า คณนาพระบวรกายของพระองค์สูง

ได้ 40 ศอก เสด็จออกไปตรัส ณ ควงไม้ ใต้ต้นกามพฤกษ์เป็นไม้ศรีมหาโพธิ์ ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จ

เที่ยวโปรดสัตว์ตามบุรพประเพณีของพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน แล้วจึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ครั้นล่วง

ไปได้พุทธันดร แผ่นดินก็สูงได้โยชน์ 1 คือ แปดพันวาเป็นกำหนด .....” พระโกนาคมโน “......

ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง จุติจากดุสิตสวรรค์ ลงมาบังเกิดในเมืองกามพฤกษ์บุรีศรีมหานคร

พระองค์ทรงพระนามว่า



พระพุทธโกนาคมบรมบพิตรพระบิดาทรงพระนามว่า ท้าวอุทิตทัตพราหมณ์ พระมารดาทรงพระนามว่า

นางเกษวดีพราหมณีเป็นฆราวาสอยู่ 3,000 ปีขี่ช้างออกมหาภิเนษกรมณ์กระทำความเพียรอยู่ 6

เดือนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นมะเดื่อ พระชนมายุพิธี คืออายุของพระพุทธเจ้านั้น ก็ยืนนานได้ 3

หมื่นปีปรินิพพานในสวนปัพพตารามอันว่าพระพุทธโกนาคมนี้ เมื่อพระองค์ได้ตรัสในโลกนี้แล้ว ก็เป็น

มหายศอันยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายอันตายแล้ว ได้มาบังเกิดประสพพบพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า

ครั้นจุติจากมนุษย์โลกนี้ไซร้ ก็ได้ ไปบังเกิดในสวรรค์ประมาณ 3 ส่วน ไปตกนรกเสียส่วนหนึ่ง เพราะ

คนเหล่านี้เป็นคนใจบาปหยาบช้า และมิได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา และมิได้สวดมนต์มนต์ภาวนา

มิได้รักษาศีล 5 ศีล 8 ให้รุ่งเรืองสุกใส พระวรกายของพระองค์ได้ 30 ศอก เสด็จออกไปตรัสยังต้น

มะเดื่อ เป็นไม้ศรีมหาโพธิ์ แล้วพระองค์ก็เที่ยวเสด็จไปโปรดสัตว์ตามพุทธวิสัยประเพณีพระพุทธเจ้าสืบ

ๆ มา ครบกำหนดเวลาก็เสด็จเข้าสู่ ศิวโมกข์ อมตมหานครนฤพาน พื้นแผ่นดินพระสุธาธารก็สูงขึ้นได้

อีก แปดพันวา.....” พระกัสสโป “......ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง จุติมาจากดุสิตสวรรค์

ทรงพระนามว่า



พระพุทธกัสสปเสด็จลงมาบังเกิดในเมืองบุรีศรีมหานคร พระบิดาทรงพระนามว่า ท้าวพรหมทัต

พราหมณ์ พระมารดาทรงพระนามว่า พระนางสาครพราหมณีเป็นฆราวาสอยู่ 2,000 ปีเดินเท้าออก

มหาภิเนษกรมณ์กระทำความเพียรอยู่ 7 วันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นนิโครธ (ต้นไทร) พระ

ชนมายุพิธีคือ อายุของพระพุทธเจ้านั้นยืนนานได้ 2 หมื่นปีเป็นกำหนดปรินิพพานในเสตัพยอุทยาน

นครเสตัพย แคว้นกาสีอันว่าพระกัสสปสุคตได้ตรัสในโลกนี้ก็เป็นมหายศอันยิ่งใหญ่แก่เวไนยสรรพสัตว์

ทั้งหลาย อันได้บังเกิดในศาสนาของพระองค์ ครั้นจุติทำลายขันธ์จากชาตินั้นแล้วก็ได้ ไปบังเกิดใน

สวรรค์ประมาณได้สองส่วน ไปตกนรกเสียส่วนเพราะเป็นคนใจบาปหยาบช้า มิได้ฟังพระธรรมเทศนา มิ

ได้สวดมนต์ภาวนา และมิได้รักษาศีลไว้เป็นที่พึ่งให้รุ่งเรืองสุกใส ส่วนพระบวรกายของพระองค์สูงได้

20 ศอก เสด็จออกไปตรัสยังต้นไทรเป็นไม้ศรีมหาโพธิ์ แล้วพระองค์ก็เสด็จไปเที่ยวโปรดสัตว์ตาม

พุทธประเพณี ตลอดพระชนมายุกาลแล้วก็เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ในระหว่างพุทธกาลนั้นแผ่น

ดินก็งอกสูงได้หนึ่งโยชน์ คือ แปดพันวาเป็นกำหนด......” พระสมณโคดม “......ลำดับนั้น จึงมีพระ

สุคตโลกุตมาจารย์ เสด็จจุติจากดุสิตสถานเทวภพ ทรงพระนามปรารภชื่อว่า




สิริศากยมุนีโคดมเป็นบรมศาสดาจารย์ของเราทั้งหลาย พระองค์ลงมาบังเกิดในเมืองกบิลพัสดุ์มหา

นคร พระบิดรทรงพระนามว่า พระเจ้ากรุงศิริสุทโธทนะมหาราช พระชนนีนารถทรงพระนามว่า พระศิริ

มหามายาราชเทวีเป็นฆราวาสอยู่ 29 ปีขี่ม้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์กระทำความเพียรอยู่ 6 ปีตรัสรู้

เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์พระชนมายุ คืออายุของพระองค์นั้นได้ 80 ปีปรินิพพาน ณ ตำบลสา

ลวัน เมืองกุสินาราอันว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดม บรมครูของเราทุกวันนี้ เมื่อพระองค์ได้ตรัสแล้ว ก็เป็น

มหายศอันยิ่งใหญ่ไพศาลแก่เราท่านทั้งหลายในพระบวรศาสนา ครั้นจุติจากอาตมาภาพแล้วก็ ได้

บังเกิดในสวรรค์ประมาณส่วนหนึ่งที่ไปตกอบายเสีย 3 ส่วน เพราะเป็นคนใจบาปหยาบช้าลามกใน

ศาสนา และไม่รู้จักรักษาศีลภาวนาให้รุ่งเรืองผ่องใส พระบวรกายของพระองค์สูง 8 ศอก เสด็จออกไป

ตรัสยังควงไม้โพธิ์พฤกษ์ เป็นต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จไปเที่ยวโปรดสัตว์ ตามเยี่ยง

อย่างพระพุทธประเพณี พอพระชนม์ได้ 80 ปี ก็เสด็จดับขันธ์ เข้าสู่พระอมตมหานฤพาน ณ ท่ามกลาง

ระหว่างนางรำทั้งคู่(ชื่อต้นไม้) ในศาลวโนทยานใกล้เมืองกุสินาราราชธานี ในปีมะเส็ง เพ็ญเดือน 6

วันอังคาร ยามอังคาร เวลาปัจจุสมัย ใกล้รุ่งราตรี สมเด็จพระชินศรีจึงมีพุทธฎีกา ตรัสแก่พระอานนท์

กับสาวกทั้งหลายเป็นพระพุทธทำนายไว้ให้ปรากฏภายหน้าว่า.............. ตถาคตทรงอนุญาตไว้พระ

ศาสนาได้ 5,000 ปี แต่เมื่อล่วงไป 500 ปี แล้ว ก็จะไม่มีนางภิกษุณี ครั้นล่วงไปได้ 1,000 ปี ก็จะไม่

มีพระอรหันต์เหาะเหินเดิน อากาศได้ ล่วงไป 2,000 ปี ก็จะไม่มีนักปราชญ์เรียนพระ ไตรปิฎกจนจบ

ครั้นล่วงได้ 3,000 ปี ไม่มีพระสงฆ์เป็นคณะปรกมา ประชุมทำอุโบสถ ครั้นล่วงไป 4,000 ปี จะหา

พระสงฆ์ที่ทรงไตรจีวรก็มิได้ มี เมื่อล่วงไป 5,000 ปี ก็จะมีแต่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหูแล ผูกพันคอ ก็

เรียกว่าสงฆ์ อันว่าศาสนาขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าของเราก็จะอันตรธานสูญสิ้นเพียงนี้

อนึ่งเมื่อจะพรรณนาเดือนก็ได้ 6 หมื่นเดือนมากครามครัน ถ้าจะพรรณนาวันก็ได้ล้านโกฏิ 8 แสนปีเป็น
กำหนด จะนับก็ได้สองหมื่นอุโบสถ ถ้ากำหนดฤดูกาล ก็ได้ หมื่น 1 กับ 5,000 ฤดู

อันว่าศาสนาของสัพพัญญูก็มิได้เคลื่อนคลาด พระพุทธศักราชศาสนาฝ่ายว่า

พระสารีริกธาตุเรี่ยรายอยู่ทั่วจักรวาล จะมาประชุมกันเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สถาน
โพธิ์บัลลังก์ แล้วก็เที่ยวตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์อยู่ถ้วนกำหนด 7 วัน 7 คืน แล้วก็เข้าสู่พระ
นิพพาน พระศาสนาก็อันตรธานสูญแต่นั้นมา


ต่อเมื่อมหาปฐพีสูงโยชน์หนึ่ง 8,000 วาแล้ว .....” พระเมตไตร“......ลำดับนั้น จึงมีพระพุทธเจ้าอีก

องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระศรีอารีเมตไตร เสด็จลงมาจากดุสิตสวรรค์ มาบังเกิดในเมืองเกตุวะดีศรี

มหานคร พระบิดรทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์ พระมารดาชื่อว่า พรหมวดีพราหมณี พระ

ชนมายุพิธีคือ อายุของพระองค์ได้ 8 หมื่นปี อันว่า พระศรีอารีเมตไตรนี้ เมื่อได้ตรัสในโลกนี้แล้วก็เป็น

มหายศอันใหญ่ยิ่งแก่มหาชนทั้งหลาย อันได้บังเกิดในศาสนาของพระองค์ ครั้นจุติจากมนุษย์โลกนั้น

แล้วก็ได้บังเกิดใน สวรรค์สุคติทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า เขาได้กระทำบุญให้ทานได้สดับตรับฟังพระธรรม

เทศนา เขาได้สวดมนต์ภาวนา ได้รักษาศีลเป็นนิจนิรันดร์ให้รุ่งเรืองสุกใสในศาสนาของพระองค์ อนึ่ง

คณนาพระบวรกายสูงได้ 80 ศอก เสด็จออกไปตรัสยังควงไม้กากะทิง อันสูงตั้งแต่พื้นแผ่นดินขึ้นไป

ได้ 128 ศอก มีกิ่งงอกเป็นปัญจสาขา 5 กิ่ง กิ่งหนึ่งยาวได้ 128 ศอก มีใบฤดูดอกออกเป็นกงจักร

เกสรหล่นเดียรดาษวันละ 5 ทะนาน มีกลิ่นรสหอมหวานมิรู้วาย ด้วยเดชบารมีพระบรมโพธิสัตว์ เมื่อยัง

มิได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์เสวยรมย์สมบัติอยู่ในคฤหัสน์เพศได้ 4 หมื่น มีพระอัครมเหสีเอก

ชื่อว่า พระจันทมุขีเป็นประธาน แก่นางนักสนมนารีทั้งหลาย 7 แสน เป็นบริวาร โฉมพระจันทมุขีนั้นเป็น

ที่แสนเสน่ห์แห่งพระบรมโพธิสัตว์เป็นที่สุด จึงมีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์

วัฒนกุมาร แล้วพระองค์ทรงพิจารณาเห็นพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา จึงเห็นเวทนาในสงสาร

พระองค์จึงทรงสละเมียในเที่ยงคืนสงัด ตรัสเรียกให้ผูกม้าแก้ว แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นหลังม้าแก้วอัศดร

ออกจากนครไปยังแม่น้ำอ้นดาษมหานที ฝ่ายพระนางจันทมุขีเทวีได้เอาข้าวมธุปายาศใส่ถาดยกออก

ไปถวายแก่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงฉัน แล้วเสด็จขึ้นนั่งเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์ พระองค์ทรง

อธิษฐานสุวรรณถาดทอง ให้ลอยขึ้นเหนือน้ำได้ 40 ศอก ถาดนั้นก็กลับกลอกฉวัดเฉวียนอยู่ไปมา

แล้วถาดนั้นก็ดังเสียงตะละหนึ่งฟ้าร้อง อันว่าฝูงเทพยดาทั้งหลายก็อัศจรรย์หวั่นไหวอยู่ไปมา ทั้งนาง

พระธรณี คงคาก็มาตีฆ้องร้องป่าวอยู่ไปมา ทั้งเขาสุเมรุภูผา ก็มาเอนอ่อนระทวยทอด ท้าวพระยานิกร

ทั้งหมดก็เอาดอกไม้ชูสลอนอยู่เฉิดฉับ ฉาย ย่อมเรี่ยรายถวายแล้วก็บูชา ฝูงสัตว์ฝูงคนก็เกลื่อนกลาด

อยู่ไปมา เทวดาทั้งหลายก็พากันโปรยปรายเงินทองเป็น ข้าวตอกดอกไม้ บางหมู่ก็ยกมือไหว้บูชา พา

กันชื่นชมพระบรมโพธิสมภาร ทั้งพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ นกหกทั้งหลายก็มาร่ำร้อง

ถวายเสียงอยู่บนอากาศ บางหมู่ก็บินโผนผาดไปจับยอดเขา บางหมู่นั้นเล่าจับฝั่งคงคา ฝูงสัตว์ทั้ง

หลายมากมายนักหนา ชักชวนกันมาชมโพธิสมภาร เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ได้ตรัสข้ามสงสาร ได้ตรัส

แล้วมินาน เดชะบารมีสัจจาธิษฐาน ถาดนั้นก็ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมเนียมพระพุทธเจ้ามา สร้าง

โพธิสมภารแต่ก่อนมาทุก ๆ พระองค์ ถาดนั้นก็ลอยล่มจมลงไปยังเมืองพระยานาคพิภพ ท้าวเธอจึงยก

ถาดกกุสันโธขึ้นไว้แล้ว เธอจึงยกถาดพระพุทธโกนาคมขึ้นไว้อีกเล่า เธอจึงยกเอาถาดพระพุทธกัส

สปขึ้นไว้อีก เธอจึงยกเอาถาดพระศิริศากยมุนีโคดมขึ้นอีกเล่า ถาดทั้งสี่นั้นกระทบกันได้ยินลงไปใน

เมืองพระยานาคราช นาคราชเธอจึงตื่นขึ้นจากหลับแล้วออกอุทานว่า " โอ....... เมื่อวานนี้ได้ตรัส

องค์หนึ่งแล้ว มาวันนี้ก็ได้ตรัสอีกองค์หนึ่งเล่า โอโลนเกนโต............... " ก็เล็งแลดูถาดทั้ง 4

ซ้อนกัน อยู่เหนือถาดพระศรีอาริยเมตไตรย์ เทวดาทั้งหลายเอาข้าวตอกดอกไม้มาถวายบูชา พระ

พุทธเจ้าก็ตรัสพระธรรมเทศนา แลบุคคลผู้ใดได้เล่าเรียนเขียนอ่านในพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระ

พุทธเจ้า 5 พระองค์ ก็จะได้อานิสงส์ส่งให้ผู้นั้นได้บรรลุแก่โสดา ผู้ใดได้ก่อกรรมกระทำมา ตั้งแต่น้อย

จนใหญ่ก็จะหายหมดสิ้น ครั้นจุติจากมนุษย์โลกแดนดินก็จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นเที่ยงแท้ ถ้าแล

บุคคลใด ได้กำลังอำนาจแห่งศีลนี้ประมาณได้หมื่นโยชน์ก็ดี ศีลนี้ย่อมหอมไปตามลมถึงที่จะแกล้วกล้า

จึงบ่ายหน้าพากายหลีกลัดออกจากวัฏสงสาร ในกาลหนึ่งแล ศีลนั้นก็ย่อมหอมฟุ้งขจรทวนลมขึ้นไป

ศีลหนึ่งเล่าไซร้ ศีลนั้นย่อมหอมฟุ้ง อุตสาหะสมาทานศีล 5 ประการ ศีล 8 ประการ ใต้ลมเหนือลม

ตลอดแล่นถึงแดนมนุษย์ พรหมต่าง ๆ นานา ก็จะบ่ายหน้าเข้าสู่นัคเรศประเทศเมืองแก้ว กล่าวแล้วคือ

พระนฤพาน........”



ที่มา หนังสือ นวกาพรหม

ประวัติองค์พุทธทั้งห้า
Top