
วิธีสร้างนิมิตให้เกิดขึ้น
บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch
วิธีสร้างนิมิตให้เกิดขึ้น เรื่องสร้างนิมิตนี้ ในที่นี้ไม่มีการบังคับ ท่านต้องการสร้างก็สร้าง ท่านไม่ต้องการสร้าง ก็ไม่ต้องสร้างสุดแล้วแต่ความต้องการ ขอแนะนำผู้ที่ต้องการสร้างไว้ดังนี้ การสร้างนิมิตมีหลายแบบ แต่ทว่าในหนังสือ นี้แนะนำกรรมฐานหลักคือ พุทธานุสสติกรรมฐาน จึงขอแนะนำเฉพาะกรรมฐานกองนี้ นึกถึงภาพพระพุทธรูปมีผล๒อย่าง อันดับแรกขอให้ท่านหาพระพุทธรูปที่ท่าน ชอบใจสักองค์หนึ่ง ถ้าบังเอิญหาไม่ได้ก็ไม่ต้อง หา ให้นึกถึงพระพุทธรูปที่วัดไหนก็ได้ที่ท่าน ชอบใจที่สุด ถ้านึกถึงพระพุทธรูปแล้วใจไม่ จับในพระพุทธรูป จิตจะจดจ่อในรูปพระสงฆ์ องค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านชอบก็ได้ เมื่อนึกถึงภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระ สงฆ์ก็ดี ให้จำภาพนั้นให้สนิทใจแล้วภาวนา ว่า "พุทโธ" พร้อมกับจำภาพพระนั้นๆ ไว้ ถ้าท่านมีพระพุทธรูปให้ท่านนั่งข้างหน้า พระพุทธรูป ลืมตามองดูพระพุทธรูปแล้ว จดจำภาพพระพุทธรูปให้ดี รูปพระพุทธรูปนั้น เป็นกรรมฐานได้สองอย่างคือ (๑) เป็น พุทธานุสสติกรรมฐานนึก ถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ (๒) และเป็น กสิณก็ได้ เมื่อท่านมีความรู้สึกว่ารูปที่ตั้งอยู่ข้างหน้า เรานี้เป็นพระพุทธรูป ความรู้สึกอย่างนั้นของ ท่านเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้ามีความรู้สึกตามสีของพระพุทธรูปเช่น ถ้าพระพุทธรูปสีเหลืองเป็น ปีตกกสิณ ถ้าพระพุทธรูปสีขาวเป็น โอทาตกสิณ ถ้าพระพุทธรูปสีเขียวเป็น นีลกสิณ ทั้ง ๓ สีนี้ สีใดสีหนึ่งก็ตามเป็นกสิณ ระงับโทสะเหมือนกัน เมื่อท่านจะสร้างนิมิตให้ทำดังนี้ อันดับแรกให้ลืมตามองดูพระพุทธรูป จำภาพพระพุทธรูปพร้อมทั้งสีให้ครบถ้วน ใน ขณะนั้นเมื่อเราเห็นสีพระพุทธรูปไม่ต้องนึกว่า เป็นกสิณอะไร ตั้งใจจำเฉพาะพระพุทธรูปเท่านั้น เมื่อจำได้แล้วหลับตานึกถึงภาพพระพุทธ รูปนั้น ภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออกไปตาม ปกติ เมื่อภาวนาไปไม่นานนักภาพพระอาจ จะเลือนจากใจ เรื่องภาพเลือนจากใจนี้เป็นของ ธรรมดาของผู้ฝึกใหม่ เมื่อภาพเลือนไป ก็ลืม ตาดูภาพพระใหม่ ทำอย่างนี้สลับกันไป เมื่อเวลาจะนอนให้จำภาพพระไว้ตั้งใจนึก ถึงภาพพระ นอนภาวนาจนหลับไปทั้งๆ ที่จำภาพ พระไว้อย่างนั้น แต่ถ้าภาวนาไปเกิดมีอารมณ์ วุ่นวายนอนไม่ยอมหลับ ต้องเลิกจับภาพพระ และเลิกภาวนา ปล่อยใจคิดไปตามสบายของ ใจมันจนกว่าจะหลับไป อานิสงส์สร้างนิมิต การสร้างนิมิตมีอานิสงส์อย่างนี้คือ (๑) ทำให้ใจเกาะนิมิตเป็นสมาธิได้ง่าย (๒) และทรงสมาธิได้นานตามสมควร (๓) สามารถสร้างจิตให้เข้าถึงระดับฌาน ได้รวดเร็ว ขั้นตอนของนิมิต นิมิตขั้นแรกเรียกว่า อุคคหนิมิต อุคคหนิมิตนี้มีหลายขั้นตอน ในตอนแรกเมื่อจำภาพพระได้จนติดใจแล้ว ไม่ใช่ติดตา ต้องเรียกว่า "ติดใจ" เพราะ ใจนึกถึงภาพพระจะนั่ง นอน ยืน เดินไปทาง ไหน หรืออยู่ที่ใดก็ตาม ต้องการนึกถึงภาพ พระ ใจนึกภาพได้ทันทีทันใด มีความรู้ในภาพ พระนั้นครบถ้วนไม่เลือนลาง อย่างนี้เรียกว่า "อุคคหนิมิตขั้นต้น" เป็นเครื่องพิสูจน์อารมณ์ สมาธิได้ดีกว่าการนับ ถ้าสมาธิยังทรงอยู่ ภาพนั้นจะยังทรงอยู่กับใจ ถ้าสมาธิสลายตัวไป ภาพนั้นจะหายไปจากใจ ถ้าท่านทำได้เพียงเท่านี้ อานิสงส์คือบุญ บารมีที่ท่านจะได้จะได้มากกว่า มัฏฐกุณฑลี เทพบุตรมาก อุคคหนิมิตขั้นที่สองเมื่อสมาธิทรงตัว มากขึ้น ภาพพระจะชัดเจนมากขึ้น จะใสสะอาด ผุดผ่องกว่าภาพจริง ถ้าท่านนึกขอให้ภาพพระ นั้นสูงขึ้น ภาพนั้นจะสูงขึ้นตามที่ท่านต้องการ ต้องการให้อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง เล็กลงหรือ ใหญ่ขึ้น จะเป็นไปตามนั้นทุกประการ อย่าง นี้จัดเป็น อุคคหนิมิตขั้นที่สองสมาธิจะทรง ตัวได้ดีมาก จะสามารถทรงเวลาได้นานตาม ที่ต้องการ อุคคหนิมิตขั้นที่สามเป็นขั้นสุดท้ายของ อุคคหนิมิตเมื่อภาพนิมิตคือภาพพระปรากฏ ให้ถือเอาสีเหลืองเป็นสำคัญ ความจริงสีอื่น ก็มีสภาพเหมือนกัน แต่จะอธิบายเฉพาะสีเหลือง เมื่อสมาธิทรงตัวเต็มอัตราภาพสีเหลือง หรือสีอื่นก็ตาม จะค่อยๆ คลายตัวเป็นสีขาวออก มาทีละน้อยๆ ในที่สุดจะเป็นสีขาวสะอาดและ หนาทึบ อย่างนี้ถือว่าเป็น อุคคหนิมิตขั้นสุด ท้ายถ้าประสงค์จะใช้เป็น ทิพจักขุญาณก็ใช้ ในตอนนี้ได้ทันที แต่ต้องมีความฉลาดและ อาจหาญพอ ถ้าไม่ฉลาดและอาจหาญไม่พอ ก็จะสร้างความเละเทะให้เกิดมากขึ้น วิช า ทิพจักขุญาณเป็นหลักสูตรของวิชชาสาม ใน ที่นี้แนะนำในหลักสูตรของสุกขวิปัสสโก จึง ของดไม่อธิบายเพราะจะทำให้เฝือและวุ่นวาย ว่าไปตามทางของสุกขวิปัสสโกดีกว่า อุคคหนิมิตนี้เป็นนิมิตของ อุปจารสมาธิ จึงยังไม่อธิบายถึง อัปปนาสมาธิ อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ อาการของอุปจารสมาธิคือ ปีติได้แก่ อารมณ์ความอิ่มใจ เมื่อทำมาถึงตอนนี้อารมณ์ จะชุ่มชื่นมาก อารมณ์สะอาดเยือกเย็น มีความ เป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยพบความสุขอย่าง นี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เวลาภาวนาลมหายใจ จะเบากว่าปกติมาก อารมณ์เป็นสุข ร่างกาย ของนักปฏิบัติที่เข้าถึงระดับนี้ ผิวหนังจะนวล ขึ้นเพราะอารมณ์ที่มีความสุข แต่อาการทางร่างกายนี่สิ ที่ทำให้นัก ปฏิบัติตกใจกันมาก นั่นก็คือ (๑) อาการขนลุกซู่ซ่าเมื่อเกิดอาการ อย่างนี้ หรืออย่างอื่นที่กล่าวถึงต่อไป จะมี อารมณ์ใจเป็นสุข ขอให้ทุกท่านปล่อยอาการ อย่างนั้นไปตามสภาพของร่างกาย จงอย่าสนใจ เมื่อสมาธิสูงขึ้น หรือลดตัวลงตํ่ากว่านั้น อาการอย่างนั้นก็จะหมดไปเอง อาการขนลุก พองถ้ามีขึ้นพึงควรภูมิใจว่า เราเข้าถึงอาการ ของปีติระดับที่หนึ่งแล้ว อย่ากังวลกับอาการ ของร่างกาย (๒) อาการของปีติขั้นที่สอง ได้แก่ อาการนํ้าตาไหล (๓) อาการของปีติขั้นที่สาม คือ ร่าง กายโยกโคลงโยกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง บางคราวโยกแรงจนศีรษะใกล้ถึงพื้น (๔) อาการของปีติขั้นที่สี่ ตามตำราท่าน ว่า ตัวลอยขึ้นบนอากาศ แต่ผลของการปฏิบัติไม่แน่นัก บางรายก็เต้นเหมือนปลุกตัว บางรายก็ตัวลอยขึ้นบนอากาศ เมื่อลอยไปแล้ว ถ้าสมาธิคลายตัวก็กลับ มาที่เดิมเอง อย่าตกใจ (๕) อาการของปีติขั้นที่ห้า คือ มีอาการ แผ่ซ่านในร่างกายซู่ซ่าเหมือนมีลมไหลออกใน ที่สุดเหมือนตัวใหญ่และสูงขึ้น หน้าใหญ่ แล้ว มีอาการเหมือนลมไหลออกจากกาย ในที่สุด ก็มีความรู้สึกว่าตัวหายไปเหลือแต่ท่อนหัว อาการทั้งหมดนี้ เมื่อเกิดขึ้นอารมณ์ใจ จะมีความสุข ฉะนั้น นักปฏิบัติให้ถืออารมณ์ใจเป็นสำคัญ อย่าตกใจในอาการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น พอสมาธิสูงถึงระดับฌานก็จะสลายตัว ไปเอง ปีตินี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอารมณ์จะเป็นสุข คือถึงระดับที่สี่ ที่จะเข้าถึงปฐมฌาน ต่อไป ก็เป็นปฐมฌาน เพราะอยู่ชิดกัน อัปปนาสมาธิหรือฌาน ต่อไปนี้จะพูดหรือแนะนำใน อัปปนาสมาธิ คำว่า "อัปปนาสมาธิ" เป็นสมาธิใหญ่ มีอารมณ์มั่นคง เข้าถึงระดับฌาน ตั้งแต่ฌาน ที่หนึ่งถึงฌานที่สี่ แต่ก่อนที่จะพูดถึง อัปปนาสมาธิหรือ ฌานขอย้อนมาอธิบายถึงอุปจารสมาธิเล็กน้อย ก่อน การที่พูดมาแล้วเป็นการพูดในเรื่องของ นิมิตโดยตรง ท่านที่ไม่นิยมนิมิตจะไม่เข้าใจ อุปจารสมาธิระดับสุดท้าย ธัมมวิโมกข์ เมื่อจิตเข้าถึง อุปจารสมาธิขั้นสุดท้าย ถ้าผู้ปฏิบัติไม่สนใจในนิมิตหรือสร้างนิมิตให้ เกิดขึ้นไม่ได้ ให้สังเกตอารมณ์ใจดังนี้ อารมณ์นี้มีเหมือนกันทั้งท่านที่ถือนิมิตหรือ ไม่ถือนิมิต คือจะมีความรู้สึกว่ามีอารมณ์ตั้ง มั่นทรงตัวดี มีความชุ่มชื่น ไม่อิ่มไม่เบื่อใน การปฏิบัติ มีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็นมาก ซึ่ง ไม่เคยพบมาเลยในชีวิต และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง กำหนดอารมณ์ไว้อย่างไร อารมณ์ไม่เคลื่อน จากที่ตั้งอยู่ได้นาน ตอนนี้เป็น ฌาน อาการของฌาน อารมณ์ที่สังเกตได้คือ ฌานที่ ๑ (๑) รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก คำภาวนาทรงตัว ไม่ลืมไม่เผลอ ไม่ฟุ้งไปสู่ เรื่องอื่นนอกเหนือจากที่คิดจะภาวนา มีอารมณ์ เต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจ ไม่อิ่มไม่เบื่อไม่อยาก ลุกออกจากที่ มีความสุขหรรษาเป็นพิเศษ ซึ่ง ไม่เคยมีความสุขใดในชีวิตที่เคยพบมาก่อนเลย มีอารมณ์ตั้งมั่นดิ่งอยู่ในที่เดียวเป็นพิเศษ หูได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนมากที่เข้า มากระทบประสาทหู เสียงคน หรือเสียงสัตว์ ธรรมดาไม่ใช่เสียงทิพย์ แม้แต่เสียงเครื่องขยาย เสียงที่มีเสียงดังมาก ตอนนี้ได้ยินทุกอย่าง ชัดเจนตามปกติแต่ไม่รำคาญในเสียงนั้นเลย คงภาวนาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้เป็น ปกติ เหมือนไม่มีเสียงรบกวน ลมหายใจจะเบา กว่าเวลาปกติจนสังเกตได้ชัด อาการอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ปฐมฌานหรือ ฌานที่๑ ฌานที่ ๒ (๒) เมื่อจิตเป็นสมาธิใน ฌานที่๒มี ความรู้สึกดังนี้คือ จะรู้สึกว่าคำภาวนาหายไป บางท่านหรือหลายท่านควรจะพูดว่ามาก ท่านก็คงไม่ผิด เมื่ออารมณ์เข้าถึงฌานที่ ๒ ใหม่ๆ อารมณ์ยังไม่ชิน เมื่อขณะที่จิตทรง อยูใ่ นฌานนี้ จะมีความเอิบอิ่มสุขสบาย จะเผลอ ตัวเมื่อจิตมีสมาธิลดลง เพราะกำลังจิตถอย สมาธิจะลดลงอยู่ที่อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์ คิด คือความรู้สึกก็เกิดขึ้น เมื่อจิตตั้งอยู่ในฌานจะไม่สามารถคิดอะไร ได้ เพราะ เอกัคคตารมณ์คืออารมณ์เป็น หนึ่งไม่มีอารมณ์คิด จะทรงตัวเฉยอยู่และไม่ มีคำภาวนา คำภาวนานี้ตั้งแต่ฌานที่๒ถึงฌานที่ ๔จะไม่มีคำภาวนา เมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ได้ภาวนา ก็จะคิดว่า ตนเองหลับไป หรือเผลอไป ความจริงไม่ใช่ ซึ่งเป็นอาการของ ฌานที่๒ ฌานที่ ๓ (๓) เมื่อจิตมีสมาธิเข้าถึง ฌานที่๓ ตอนนี้จะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงมา เกือบไม่ รู้สึกว่าหายใจ แต่ความจริงยังรู้สึกถนัดอยู่ แต่เบามากนั่นเอง |