ภาคสอง หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา - webpra

ภาคสอง หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา

บทความพระเครื่อง เขียนโดย question

question
ผู้เขียน
บทความ : ภาคสอง หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา
จำนวนชม : 1159
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 05 มี.ค. 2553 - 19:40.50
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พ. - 16 มิ.ย. 2553 - 16:01.24
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

 

๑๑๔. เสด็จเยี่ยมเป็นการส่วนพระองค์ 

           เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๙.๔๕ น. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ ทรงสนพระทัยไต่ถามอาการของหลวงปู่ด้วยพระปริวิตก เกรงว่าหลวงปู่จะไม่ปลอดภัยในครั้งนี้

            เมื่อทรงทราบว่าหลวงปู่อาการดีขึ้นมากแล้ว ก็ทรงคลายความเป็นห่วง ทรงสนทนากับหลวงปู่พอสมควรแก่เวลา ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแก่หลวงปู่และพระภิกษุสามเณร ตลอดจนศิษย์ที่รักษาพยาบาล โดยทั่วหน้ากัน

            แล้วจึงเสด็จกลับ เมื่อเวลา ๒๐.๓๐ น. รวมเวลาเสด็จเยี่ยมทั้งหมด ๔๕ นาที

            วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๘.๑๙ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าบรมราชินีนาถ เสด็จมาเยี่ยมหลวงปู่ทำให้ผู้รักษาพยาบาลหลวงปู่ต้องตกตะลึงเป็นอันมาก เนื่องจากไม่มีผู้ใดได้ทราบมาก่อนว่าพระองค์ท่านจะเสด็จ ทราบก็ต่อเมื่อพระองค์ท่านเสด็จมาถึงห้องหลวงปู่แล้ว แต่หลวงปู่ท่านนั่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

            ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนากับหลวงปู่นั้นสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงจัดดอกไม้ที่ต๊ะหมู่บูชาด้วยพระองค์เอง และทรงปรุงน้ำปานะจากส้มเขียวหวานด้วยฝีพระหัตถ์ แล้วน้อมเกล้าถวายในหลวงเพื่อทรงถวายหลวงปู่ 

            หลวงปู่ฉันน้ำปานะพระราชทานโดยใช้หลอดดูด พระครูนันทปัญญาภรณ์กราบเรียนหลวงปู่ว่า     "ในหลวงถวายแล้วหลวงปู่ต้องฉันให้หมด"

            หลวงปู่ตอบว่า "ไม่หมดหรอก"

            ในหลวงทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ต่อไป โดยหลวงปู่ได้แสดงถวายถึงการเข้าฌาณ เข้าสู่ปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

            ในระหว่างนั้นคณะแพทย์ผู้ให้การรักษาได้เปิดโอกาสให้หลวงปู่พิจารณาตามอัธยาศัยว่า จะกลับไปรักษาพยาบาลที่วัดก็ได้ ท่านพระครูนันท์ฯ กำหนดว่าจะรับหลวงปู่กลับวัดในวันที่ ๒๒ มีนาคม จึงถือโอกาสถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ

            พระองค์ทรงยินดี และตรัสว่า "ถ้าหลวงปู่ได้กลับไปก็คงทำประโยชน์ได้มาก" แล้วทรงปรารภถึงการเดินทางว่า การไปสุรินทร์ทางไหนจึงจะสะดวก ที่สุรินทร์มีสนามบินไหม ถ้าไปรถยนต์หรือรถไฟใช้เวลากี่ชั่วโมง

            ท่านพระครูนันท์ฯ ถวายพระพรว่า ถ้าไปรถยนต์ใช้เวลา ๖-๗ ชั่วโมง รถไฟ ๘ ชั่วโมง สำหรับสนามบินนั้น เนื่องจากไม่มีการบินพาณิชย์ จึงยังไม่มีสนามบินคอนกรีต เวลาลงคงจะระวังได้ยาก จึงถวายพระพรขอพาหนะรถยนต์ซึ่งจะสะดวกกว่า

            พระองค์ทรงเห็นชอบด้วย ตรัสว่า จะพระราชทานพาหนะรถยนต์ของพระราชสำนัก พร้อมรถพยาบาล และให้มีตำรวจทางหลวงนำทาง

            หลังจากนนั้น ทรงถวายจตุปัจจัยแก่หลวงปู่และภิกษุสามเณร ตลอดจนศิษย์อยู่พยาบาล หลวงปู่อนุโมทนาถวายพระพร

            ก่อนเสก็จกลับ ทั้งสองพระองค์ทรงถวายพระพรหลวงปู่เหมือนกับครั้งก่อนว่า "ขอให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ มากกว่าหนึ่งร้อยปี"

            หลวงปู่ก็ตอบเหมือนครั้งก่อนว่า "แล้วแต่สังขารเจ้าจะเป็นไปเองของเขาหรอก"

เมื่อเสด็จออกจากห้องหลวงปู่นั้น ศิษย์หลวงปู่จำนวนมากเฝ้ารอส่งเสด็จอยู่ ทั้งสองพระองค์ให้โอกาสเข้าเฝ้าได้โดยใกลชิดทั่วกัน รวมเวลาเสด็จครั้งนี้ ๑ ชั่วโมง ๕ นาที

            วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๗ นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จมาเยี่ยมหลวงปู่ด้วยเวลาอันสั้น เมื่อทรงทราบว่าหลวงปู่มีพลายามัยดีขึ้น ก็ทรงดีพระทัย และทรงชมว่าหลวงปู่แข็งแรงดี แล้วก็เสด็จกลับไปแวะเยี่ยมอาการป่วยของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่อยู่ห้องถัดไป

            การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสงเคราะห์หลวงปู่ครั้งนี้ นำความปลาบปลื้มยินดีแก่บรรดาสานุศิษย์ และท่านที่เคาระนับถือต่อหลวงปู่เป็นล้นพ้นสุดที่จะพรรณา

๑๑๕. กำหนดออกจากโรงพยาบาล 

          ครั้นมีกำหนดการเป็นที่แน่นอนแล้ว ว่าจะเดินทางกลับใน วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๖ จึงได้ชักชวนสาธุชนทั้งหลายจัดทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษและท่านผู้มีส่วนก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตลอดถึงทุกท่านที่ล่วงลับดับชีวิตในการรักษาพยาบาลที่นี่ และสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ

            การทำบุญได้จัดในตอนเช้าวันที่ ๒๐ มีนาคม มีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป มีผู้มาร่วมทำบุญกันอย่างล้นหลาม

            ผู้เขียนทั้งรู้สึกยินดี ทั้งเกรงใจเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเป็นอย่างมากเพราะเป็นเหตุทำให้สถานที่นั้นพลุกพล่านด้วยผู้คนมากมาย แต่ได้รับความร่วมมือจากบรรดาเจ้าหน้าที่อย่างดียิ่ง

            อนึ่ง จตุปัจจัยที่ท่านผู้มีจิตศรัทธาถวายตลอดเวลาที่หลวงปู่อยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ได้รวบรวมส่วนที่เหลือจากการใช้จ่าย แล้วนำไปบริจาคบำรุงโรงพยาบาลเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)

            ยังมีผู้มีเกรียติและสาธุชนทั้งหลายท่าน นอกจากจะได้ไปกราบนมัสการเป็นครั้งคราวแล้ว ยังได้สละกำลังกายกำลังทรัพย์และเวลา ไปอยู่เฝ้ารักษาพยาบาลหลวงปู่ด้วย ตลอดเวลาที่หลวงปู่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

            ได้ช่วยถวายภัตตาหาร ตลอดจนสิ่งจำเป็นและอำนวยความสะดวกต่างๆรวมทั้งช่วยอุปัฏฐากรับใช้ทั้งหลวงปู่ทั้งพระสงฆ์ที่มาอยู่เฝ้าพยาบาล

            นับว่าท่านเหล่านั้นได้มีกุศลเจตนาอันสูงส่ง จนใจที่มิอาจระบุพระนามและนามของท่านทั้งหลายให้ปรากฏ ณ ที่นี้ได้ จึงขอจารึกไว้ในความทรงจำ

            บุญอันใดที่ท่านทั้งหลายได้มีกุศลจิตทำไปแล้วอย่างไร ขอผลแห่งบุญนั้นจงสำเร็จแห่งคุณงามความดีของท่านเถิด และขออนุโมทนาบุญกุศลโดยทั่วกัน

๑๑๖. เดินทางกลับวัด

           วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๐๘.๑๘ น. หลวงปู่ก็ได้อำลาคณะแพทย์พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู่ถวายการรักษา แล้วออกจากโรงพยาบาล เพื่อเดินทางกลับไปยังวัดบูรพาราม อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์

            คณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ตลอดจนท่านผู้มีเกรียติ ศิษยานุศิษย์และท่านที่เคารพนับถือทั่วไป ได้พร้อมเพรียงกันมาส่งหลวงปู่ที่หน้าโรงพยาบาลกันอย่างล้นหลาม

            พณฯ ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์มาส่งหลวงปู่และกราบเรียนหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ จะมีถ้อยคำอะไรถึงในหลวง กระผมจะนำไปกราบทูลถวายในหลวงให้ทรงทราบ"

            หลวงปู่ตอบว่า "ขอบคุณมาก"

            ขบวนรถจากพระราชสำนัก รถโรงพยาบาล และรถส่วนตัวของลูกศิษย์ลูกหา และท่านที่เคารพศรัทธาในหลวงปู่ ได้ติดตามส่งเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดโดยมีรถตำรวจทางหลวงนำหน้า และปิดท้ายขบวนไปตลอดทาง

            บางท่านได้มาส่งถึงกับหลั่งน้ำตารำพันว่า "ไม่อยากให้หลวงปู่หายเร็วๆเลย อยากให้อยู่โรงพยาบาลนานๆ จะได้มาทำบุญถวายทานเป็นประจำ"

            ตลอดการเดินทางหลวงปู่อยู่ในอิริยาบทนอนสงบเงียบราวกับหลับสนิท พอมีใครกระซิบถามว่าหลวงปู่รู้ไหมว่าขณะนี้ถึงไหนแล้ว หลวงปู่ก็ตอบได้ถูกต้องว่าถึงที่นั่นๆ แล้ว โดยไม่ต้องลืมตาขึ้นดู

            ขบวนรถมาส่งหลวงปู่ เดินทางถึงวัดบูรพาราม เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ได้มีลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมพุทธบริษัทมารอรับหลวงปู่อย่างมากมาย

            เป็นอันว่าการที่ได้ตัดสินใจนำหลวงปู่เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ก็ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าปลื้มใจจากทุกฝ่าย กล่าวคือ หลวงปู่ท่านหายจากอาพาธหนัก ยังมีอาการอยู่บ้างก็เป็นโรคของคนวัยชรา ซึ่งถือเปฌนเรื่องธรรมดาสำหรับบุคคลที่มีอายุวัยล่วงาถึง ๙๕ ปีเหมือนกลับหลวงปู่

            ในโอกาสนี้ คณะสงฆ์นำโดยพระเถรานุเถระ ตลอดจนญาติโยมพุทธบริษัทชาวจังหวัดสุรินทร์ ได้ร่วมกันทำบุญประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายกุศลเพื่อแสดงกตเวทิตาคุณแก่หลวงปู่

            ตอนเข้าร่วมกันทำบุญตกบาตรถวายกุศลแด่หลวงปู่ เพื่อจะได้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่ออยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปอีกนานเท่านาน

            ทุกคนต่างรู้สึกปลื้มปีติที่หลวงปู่หายจากการอาพาธ และกลับมาอยู่ที่วัดบูรพาราม เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาในทางพุทธศาสนาของเหล่าสานุศิษย์อีกต่อไป

๑๑๗. งดกิจนิมนต์นอกวัด

           ตลอดเวลาที่หลวงปู่พักฟื้นอยู่ที่วัดบูรพาราม เป็นเวลา ๘ เดือนกว่าแม่จะอยู่ในลักษณะโดยนิยมว่าหายจากอาพาธแล้ว แต่ท่านก็ยังมิได้หายโดยเด็ดขาดเลย

            ดังนั้น จึงต้องจัดให้มีการกำหนดว่า "งดรับกิจนิมนต์นอกวัด" และจำกัดเวลาในการต้อนรับแขกไว้อย่างเป็นระเบียบ

            แต่โดยเหตุที่อุปนิสัยของหลวงปู่นั้นต่างจากคนสูงอายุทั่วไป ที่ไม่ชอบนอนจับเจ่าอยู่กับที่ ถ้าแข็งแรงพอลุกขึ้นไปไหนมาไหนได้ ท่านก็จะออกเดินไปตามจุดต่างๆ ในบริเวณวัด หยุดยืนบ้าง นั่งบ้าง ตามที่ท่านเห็นว่าสมควรเป็นการพักผ่อนเปลื่ยนอิริยาบถไปในตัว ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะจำกัดเวลารับแขกให้แน่นอนชัดเจนลงไปได้ เพราะใครเห็นหลวงปู่ก็อยากจะเข้าไปกราบไปไหว้ด้วยกันทั้งนั้น สุดที่ใครจะห้ามใครได้ และหลวงปู่ก็มีใจเมตตาอยู่แล้ว

            การรักษาพยาบาลในระยะนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากถวายยาฉันตามที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ และรายงานอาการให้แพทย์ประจำทราบโดยสม่ำเสมอ

            ในส่วนตัวของหลวงปู่นั้นตามปกติไม่เคยทำความลำบากใจให้ใครอยู่แล้วท่านวางตนเป็นผู้สุขสบายทุกกรณี จึงทำให้ศิษยานุศิษย์และบุคคลทั่วไปเห็นว่าท่านมีสุขภาพอนามัยแข็งแรงดีเป็นปกติ

            โดยแท้จริงแล้ว ผู้เขียนในฐานะที่อุปัฏฐากใกล้ชิด เห็นว่าหลวงปู่ไม่ได้หายจากอาพาธโดยสิ้นเชิงเลย แต่ที่ท่านอยู่อย่างมีปกติสภาพนั้นก็ด้วยอำนาจแห่งขันติธรรมและด้วยบุญบารมีส่วนตัวของท่าน ตลอดจนด้วยคุณธรรมอันเกิดจากสมาธิภาวนาที่ท่านฝึกฝนอบรมมานานต่างหาก คุณธรรมเหล่านี้เองที่ช่วยให้ท่านดำรงขันธ์สืบต่อมาได้อีกถึงหนึ่งปีหลังจากออกจากโรงพยาบาลในครั้งนั้น

            จะมีใครตั้งข้อสังเกตบ้างไหมว่า ในช่วงระยะหลังนี้ หลวงปู่ใช้เวลาให้หมดไปด้วยการกล่าวธรรม ท่านจะเทศน์หรืออธิบายธรรมแก่ภิกษุสามเณรและท่านที่มากราบนมัสการท่าน

            ส่วนมากเป็นข้อธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติภายใน ไม่เคยปรารภถึงงานก่อสร้างหรือการคณะสงฆ์อีกเลย

            บางครั้งก็เรียกศิษย์ฝ่ายกัมมัฏฐานมาสนทนาธรรมและชี้แจงข้อปฏิบัติซึ่งปู้เขียนเอง (พระครูนันทปัญญาภรณ์) ก็พยายามใช้เวลาอยู่กับหลวงปู่ให้มากที่สุด

๑๑๘. ข่าวมรณะภาพของหลวงปู่ขาว

          ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๖ ได้ข่าวการมรณะภาพของหลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งสำนักวัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี

            ลูกศิษย์จึงไปกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ ขณะนั้นเวลา ๑ ทุ่มเศษ ๆ หลวงปู่นั่งบนเก้าอี้เอนในห้องพัก ครั้นทราบข่าวหลวงปู่ขาวมรณะภาพแล้ว หลวงปู่ก็ปรารภว่า

            "เออ! ท่านขาวก็หมดภาระการแบกสังขารไปเสียที"

            แล้วท่านก็พูดต่อว่า

            "พบกันเมื่อ ๓-๔ ปีที่ผ่านมา เห็นลำบากสังขาร เพราะต้องให้คนอื่นช่วยอยู่เสมอ เรื่องวิบากของสังขารนี้ แม้จะเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหนก็ตาม ก็ต้องต่อสู้กับมันจนกว่าจะขาดจากกันได้ ไม่เกี่ยวข้องกันอีก"

            ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์ถามว่า "ผมเห็นหลวงปู่เมื่อเริ่มอาพาธใหม่ๆ มีอาการกระสับกระส่าย พลิกไปพลิกมา ผู้มีสมาธิแก่กล้าอย่างหลวงปู่จะพ้นภาระอย่างนี้ไปไม่ได้หรือครับ"

            หลวงปู่ตอบว่า "เมื่อให้จิตอยู่กับเวทนาไปแล้ว อาการเหล่านี้มักไม่ปรากฏ แต่ตามปกติสภาพของจิต มันก็ยังอยู่กับสิ่งเหล่านี้เอง แตกต่างจากจิตที่ฝึกดีแล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นย่อมละและระงับได้เร็ว ไม่กังวลไม่ยึดถือ หมดภาระเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น มันก็แค่นั้นเอง"

            ข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสุขภาพของหลวงปู่ในระหว่างนี้คือเรื่องอาหารฉันก็ฉันได้ตามปกติ น้ำหนักตัวก็ทรงอยู่ไม่ขึ้นไม่ลง และที่น่าแปลกใจอีกประการหนึ่งก็คือ ราศีผิวพรรณของท่านสดใสเปล่งปลั่งกว่าปกติญาติโยมบางคนชอบมานั่งพิจารณาดูหลวงปู่เป็นเวลานานๆ ทุกคนชอบทำนายหลวงปู่ว่าท่านมีอายุเกินร้อยปีอย่างแน่นอน

            สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ เท้าทั้งสองของท่านบวมขึ้นเป็นบางครั้ง เมื่อปรึกษาหมอ หมอบอกว่าเกิดจากการให้ยาเกี่ยวกับปอด ประกอบกับหลวงปู่นั่งห้อยเท้าเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เท้าท่านบวมเป็นครั้งคราว

            พอปรึกษาหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า "นี่เป็นสัญญาณอันตรายของคนมีอายุมากแล้ว" ซึ่งผู้เขียนก็มิได้ใส่ใจมาก ด้วยคิดว่าท่านพูดปรารภธรรมตามธรรมดา

            จำได้ว่าหลวงปู่เคยพูดถึง ๒ ครั้งว่า "เราไม่มีวิบากทางสังขาร" แต่ไม่เคยนำมาคิดหาเหตุผลว่าท่านหมายถึงอะไร

๑๑๙. กำหนดงายฉลองอายุ ๘ รอบ

           หลวงปู่ยังคงดำรงอยู่ในปกติสภาพเช่นนี้มาจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๒๖ ซึ่งเป็นเดือนที่หลวงปู่ได้กำรงขันธ์มาถึง ๘ รอบ มีอายุ ๙๖ ปีบริบูรณ์ นับเป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่งที่จะมีคนอายุยืนยาวถึงขนาดนี้

            ทางคณะศิษย์จึงตกลงกันจะจัดงานฉลองให้แก่หลวงปู่เป็นกรณีพิเศษด้วยถือเป็น อภิลักขิตกาล ประกอบกับการที่หลวงปู่ได้หายจากการอาพาธ อันเป็นเรื่องที่นำความปลาบปลื้มยินดีมาสู่เหล่าสานุศิษย์และผู้มีจิตศรัทธา

            ทุกฝ่ายจึงพร้อมใจกันคิดที่จะจัดงานให้เป็นกรณีพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาโดยได้อาราธนาพระเถระทั้งฝ่ายคามวาสี และอรัญญวาสี ตลอดจนสานุศิษย์ทุกสารทิศได้มาร่วมงานถวายมุทิตาจิตแก่หลวงปู่ และที่สำคัญคือทางคณะศิษย์จะจัดให้มีพิธีพุทธาภิเษกเหรียญรุ่นพิเศษในโอกาสนี้ด้วย

            การเตรียมงาน และการประชาสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างแข็งขัน สานุศิษย์และผู้ศรัทธาหลวงปู่ที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ได้มีหลายคณะหลายกลุ่มแสดงความจำนงมาทางวัด บางกลุ่มจะจัดงานบุญกุศลในครั้งนี้ด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน จึงหวังได้ว่าจะเป็นงานฉลองอายุครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของหลวงปู่

            กำหนดงานจะเป็นวันที่ ๒๖-๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งใจรองานนี้ด้วยโอกาสที่จะได้ร่วมงานบุญครั้งใหญ่ เหมือนเคยจัดมาเป็นประจำปีตั้งแต่ปี  พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นมา

            ทางในหลวงปู่ท่านรับทราบการจัดงานด้วยอาการสงบเฉยตามปกติท่ายไม่แสดงอาการคัดค้าน หรือสนับสนุนแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ลูกหาประสงคจะจัดขึ้นด้วยเจตนาอันดี โดยปรารภเหตุครบรอบวันเกิดของหลวงปู่เป็นโอกาสร่วมชุมชนเพื่อทำบุญในครั้งนี้

๑๒๐. อาการผิดปกติเริ่มปรากฏ

          วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๖ ก่อนงานเริ่มเพียงวันเดียว หลวงปู่เริ่มแสดงอาการผิดปกติมาตั้งแต่เวาลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. คือท่านมีอาการอ่อนเพลียปวดเมื่อยตามร่างกาย แล้วก็กระสับกระส่าย ตัวร้อนคล้ายจะเป็นไข้ แต่ไม่ปวดศีรษะ

            อาการทุกอย่างคล้ายคลึงกับเมื่อก่อนเข้าโรงพยาบาลครั้งที่แล้วไม่มีผิดพระผู้เฝ้าพยาบาลได้ช่วยกันทาน้ำมัน แล้วถวายนวดไปตามที่ที่รู้สึกปวดเมื่อยอาการค่อยทุเลาลงบ้างเล็กน้อย

            ครั้นถึงเวลา ๐๗.๐๐ น. ตามปกติหลวงปู่จะออกมารับถวายภัตตาหารเช้าและต้อนรับแขก แต่วันนี้ท่านไม่ออกจากห้องพัก จึงได้นำภัตตาหารไปถวายท่านข้างในหลวงปู่สามารถลุกขึ้นมานั่งฉันบนเก้าอี้ได้ และฉันได้เกือบเหมือนปกติ

            หลังจากนั้นได้เชิญ คุณหมอมนูญ มาตรวจร่างกายท่าน คุณหมอรายงานว่าความดันขึ้นสูงหน่อย แต่หลวงปู่บอกว่าไม่ปวดศีรษะเลย แล้วท่านก็ฉันยาที่หมอให้ จากนั้นก็นอนหลับไปชั่วโมงกว่าๆ ร่างกายรู้สึกว่าดูเป็นปกติ แต่ยังอ่อนเพลีย

            พอถึงเวลาเพล ท่านก็ลุกขึ้นมานั่งฉันบนเก้าอี้แต่ไม่ยอมฉัน เมื่อลูกศิษย์คะยั้นคะยอท่านก็ฉันข้างต้มให้ ๔ ช้อน และของหวานอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นท่านก็นอนพักผ่อน ดูผิวพรรณท่านผุดผ่องดี เว้นแต่อาการเปลี่ยนแปลงเร็วมากระหว่างกระปรี้กกระเปร่ากับอ่อนเพลีย จะเป็นไปทุก ๔๐ หรือ ๔๕ นาที

            ตลอดทั้งวันที่สานุศิษย์ฝ่ายกัมมัฏฐานมาอยู่เฝ้าท่านหลายรูป ท่านใช้เวลาส่วใหญ่ในการอธิบายธรรมให้ฟัง สติสัมปชัญญะของท่านยังสมบูรณ์ดีมากสามารถลำดับธรรมะเป็นกระแสที่ชัดเจน และตอบคำถามข้อปฏิบัติขั้นปรมัตถ์อย่างดี ด้วยน้ำเสียงชัดเจนแจ่มใส ทำให้คณะศิษย์อุ่นใจว่าหลวงปู่คงไม่เป็นอะไร

            ครั้นเวลา ๕ โมงเย็น ถวายน้ำสรงท่านตามปกติเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ดูกิริยาท่าทางของท่านเป็นปกติดีเหมือนกับไม่ได้ไข้ไม่ได้เจ็บอะไรดูท่านสดใสดีมาก ต่อมาสักครู่ ท่านปรารภธรรมให้ฟัง

            "ในทางโลกเขามีสิ่งที่มี แต่ในทางธรรมมีสิ่งที่ไม่มี"

            เมื่อถามถึงความหมาย ท่านก็พูดว่า

            "คนในโลกนี้ต้องมีสิ่งที่มี เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่ ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติ จนถึงสิ่งที่ไม่มี และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี"

            เมื่อเห็นว่าหลวงปู่ท่านรู้สึกเพลีย จึงขอให้ท่านพักผ่อนอาการอ่อนเพลียเพิ่มมากขึ้น แต่ท่านก็นอนพูดธรรมให้ฟังต่อไปอีก

            ขณะนั้นฝนตกหนักมาก (โปรดดูในตอนที่ ๙๓ เรื่องวิบากเกี่ยวกับฝนตก)

            ผู้เขียนอยู่เฝ้าหลวงปู่ถึง ๕ ทุ่มกว่า สังเกตเห็ฯว่า หลวงปู่มักจะพูดธรรมะชั้นสูง เกี่ยวกับการปฏิบัติเรื่อง การเข้าฌาณออกฌาณ บางช่วงท่านก็อยู่เฉยๆ คล้ายกับเข้าสมาธิหรือพิจารณากัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง พอท่านนิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วก็ปรารภธรรมบทใดบทหนึ่งต่อทันที

            ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์ ถามว่า "หลวงปู่เชื่อความศักดิ์สิทธ์ไหม"

            หลวงปู่ตอบว่า "ความศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมี มีแต่พลังและความสามารถของจิต"

            มีตอนหนึ่ง ท่านพระครูฯ ได้เรียนถามแบบทีเล่นทีจริงว่า "ตามตำราบอกว่าเทวดามาฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าครั้งละหลายโกฏินั้น จะมีศาลาโรงธรรมที่ไหนให้ฟังได้หมด" ทุกคนต่างรู้สึกงงงวยกันมาก เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังและไม่เคยพบในตำราที่ไหนมาก่อน เมื่อหลวงปู่ตอบว่า "ในเนื้อที่หนึ่งปรมาณู เทวดาอยู่ได้ ๘ องค์"

๑๒๑. นี่ไม่ใช่ครั้งก่อน!

            ย่างเข้า วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๖ ซึ่งเป็นวันเริ่มงานพิธีฉลองอายุหลวงปู่เป็นวันแรก หลวงปู่มีอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย และปวดทางเท้าซ้ายขึ้นมาจนถึงบั้นเอว พร้อมทั้งมีอาการไข้ขึ้นเล็กน้อย ชีพจรมีอาการผิดปกติจนถึงเวลา ๖ โมงเช้า อาการเปลี่ยนไปมาแบบทรงๆ ทรุดๆ

            เมื่อเห็นอาการของหลวงปู่เป็นเช่นนี้ ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์จึงได้โทรศัพท์ทางไกลเข้ากรุงเทพฯ กราบเรียนอาการท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร ให้ทรงทราบ

            ทางด้าน อาจารย์พวงทอง ได้โทรศัพย์ไปบอก คุณหมอชูฉัตร กำภู ที่ทางพระราชสำนักมอบหมายให้ดูแลหลวงปู่ แลพเป็นผู้นำหลวงปู่เดินทางกลับจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาพักที่วัดเมื่อครั้งไปรับการรักษาเมื่อคราวก่อน

            คุณหมอชูฉัตร แนะนำให้รีบนำหลวงปู่เข้าไปรักษาอาการที่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่เป็นที่ตกลงกันว่าจะเอาอย่างไรกันแน่

            ๐๖.๓๐ น. หลวงปู่ยังออกจากห้องได้ นั่งฉันภัตตาหารข้างนอกตามปกติ เสร็จแล้วนั่งพักประมาณ ๑๐ นาที แล้วเข้าไปพักผ่อนในห้อง

            ๐๗.๒๐ น. หมอมาตรวจอาการอีก วัดความดันดูยังอยู่ในระดับปกติ หมอได้ฉีดยานอนหลับถวายเพื่อให้หลวงปู่ได้พักผ่อนมากๆ

            ในการฉีดยาแต่ละครั้งหลวงปู่มักจะห้ามไว้ไม่ให้ฉีด แต่ส่วนใหญ่หมอจำเป็นต้องฝืนฉีดให้

            หมอได้ถวายน้ำเกลือเข้าเส้น แต่หลวงปู่ไม่ยอบรับ ท่านสั่งให้เอาสายออก ท่านบอกว่าขออยู่เฉยๆ ดีกว่า

            ขณะนั้นเห็นมาเป็นจังหวะดี ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์จึงได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า "จะนำหลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อีก"

            ท่านรีบตอบปฏิเสธ "ไม่ต้องเอาไปหรอก"

            และห้ามต่อไปว่า "ห้ามไม่ให้พาไป"

            ถามท่านว่า "ทำไมหลวงปู่จึงไม่ไป"

            หลวงปู่ว่า "ถึงไปก็ไม่หาย"

            "ครั้งก่อนหลวงปู่หนักกว่านี้ยังหายได้ ครั้งนี้ไม่หนักเหมือนแต่ก่อนต้องหายแน่ๆ" ท่านพระครูชี้แจง

            หลวงปู่ว่า "นั้นมันครั้งก่อน นี่มันไม่ใช่ครั้งก่อน"

            ท่านพระครูนันทฯ ยอบรับว่าครั้งนี้มีความลังเลใจอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามกับครั้งก่อนที่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด


 

Top