
ประวัติ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง
บทความพระเครื่อง เขียนโดย suwat270
หลวงปู่เอี่ยมท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2359 เป็นบุตร นายนาค นางจันทร์ มีพี่น้องท้องเดียวกัน รวมด้วยกัน 4 คน คือ
บ้านเกิดของหลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่ตำบลบ้านแหลมใหญ่ ฝั่งใต้ ข้างวัดท้องคุ้ง อำเภอปากเกร็ด จังหว้ดนนทบุรี ครั้นถึงปี พ.ศ. 2381 อายุท่านได้ 22 ปี ได้อุปสมบทที่วัดบ่อ ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด (วัดบ่อนี้อยู่ติดกับตลาดในท่าน้ำปากเกร็ด ปัจจุบันคือหัวถนนปากเกร็ด) ท่านอุปสมบทได้ประมาณหนึ่งเดือน ท่านก็ได้ย้ายไปประจำพรรษาอยู่วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี ซึ่งในขณะนั้นพระพิมลธรรมพรเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งย้ายมาจากวัดราชบูรณะ พระนคร หลวงปู่เอี่ยมท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม และแปลพระธรรมบทอยู่ที่วัดนี้นานถึง 7 พรรษา ท่านจึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส เมื่อปี พ.ศ. 2388 อยู่วัดประยูรวงศาวาสได้ 3 พรรษาครั้นถึงปี พ.ศ. 2391 นายแขก สมุห์บัญชีได้นิมนต์หลวงปู่เอี่ยมไปจำพรรษาที่วัดนวลนรดิศ ที่วัดนี้เองหลวงปู่เอี่ยมได้ศึกษาเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นเริ่มแรก และได้ศึกษาอยู่ 5 พรรษา ถึงปี พ.ศ. 2396 ญาติโยมพร้อมด้วยชาวบ้านภูมิลำเนาเดิม ในคลองบ้านแหลมใหญ่ (ซึ่งปัจจุบันนี้คือคลองพระอุดม) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้เดินทางมาอาราธนานิมนต์หลวงปู่เอี่ยมกลับไปปกครองวัดสว่างอารมณ์ หรือวัดสะพานสูงในปัจจุบันนี้ สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อจากวัดสว่างอารมณ์มาเป็นชื่อวัดสะพานสูงนั้น มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ในสมัยนั้นสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านได้เสด็จออกตรวจการคณะสงฆ์และได้ทรงเสด็จขึ้นที่วัดสว่างอารมณ์นี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นสะพานสูงข้ามคลองหน้าวัด (คลองพระอุดมปัจจุบันนี้) ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกวัดสว่างอารมณ์นี้ว่าวัดสะพานสูง จึงทำให้วัดนี้มีชื่อเรียกกัน 2 ชื่อ ฉะนั้นสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเห็นว่าสะพานสูงนี้ก็เป็นนิมิตดีประจำวัดประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็นิยมเรียกกันติดปากว่า วัดสะพานสูง จึงได้ประทานเปลี่ยนชื่อวัดสว่างอารมณ์มาเป็นวัดสะพานสูงจนตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อหลวงปู่เอี่ยมท่านมาปกครองวัดสะพานสูงใหม่ๆ ที่วัดมีพระจำพรรษาอยู่เพียง 2 รูปเท่านั้น ขณะที่หลวงปู่เอี่ยมได้ย้ายมาอยู่วัดสะพานสูงได้ 8 เดือน ก่อนวันเข้าพรรษาหลวงพิบูลย์สมบัติ บ้านท่านอยู่ปากคลองบางลำพู พระนคร ได้เดินทางมานมัสการหลวงปู่เอี่ยม ท่านหลวงปู่เอี่ยมได้ปรารภถึงความลำบาก ด้วยเรื่องการทำอุโบสถและสังฆกรรม เนื่องจากสถานที่เดิมได้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงอยากจะสร้างให้เป็นถาวรสถานแก่วัดให้เจริญรุ่งเรือง หลวงพิบูลย์สมบัติ ท่านจึงได้บอกบุญเรี่ยไรเงินมา เพื่อก่อสร้างโบสถ์ และถาวรสถานขึ้น จึงเป็นที่เข้าใจว่าหลวงปู่เอี่ยมได้เริ่มสร้างพระปิดตาและตะกรุดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นการตอบแทนแก่ผู้บริจาคทรัพย์และสิ่งของที่ใช้ในการก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรสถาน ต่อมาถึง พ.ศ. 2431 ได้สร้างศาลาการเปรียญ หลังจากนั้นอีก 8 ปี หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างพระเจดีย์ฐาน 3 ชั้นขึ้นในปี พ.ศ. 2439 ขณะที่ท่านหลวงปู่เอี่ยมท่านได้มาอยู่วัดสะพานสูง ท่านได้ไปธุดงค์ไปทางแถบประเทศเขมร โดยมีลูกวัดติดตามไปด้วยเสมอ แต่ท่านจะให้ลูกวัดออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน 6-7 ชั่วโมง แล้วจะนัดกันไปพบที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วท่านหลวงปู่เอี่ยมท่านจะสามารถไปทันตามจุดนัดพบทุกครั้ง จากการออกธุดงค์และรุกขมูลนี้เอง หลวงปู่เอี่ยมได้ไปพบชีปะขาวชาวเขมรท่านหนึ่งชื่อว่า จันทร์ ท่านหลวงปู่เอี่ยมจึงได้เรียนวิชาอิทธิเวทย์ จากท่านอาจารย์ผู้นี้อยู่หลายปี จนกระทั่งชาวบ้านแหลมใหญ่นึกว่าท่านออกธุดงค์ไปได้ถึงแก่มรณถาพไปแล้ว จึงได้ทำสังฆทานแผ่ส่วนบุญไปให้ท่าน ทำให้ท่านหลวงปู่เอี่ยมทราบในญาณของท่านเอง และท่านหลวงปู่เอี่ยมจึงเดินทางกลับมายังวัดสะพานสูง การไปธุดงค์ครั้งนี้ หลวงปู่เอี่ยมท่านได้ไปเป็นเวลานาน และอยูในป่าจึงปรากฏว่าท่านหลวงปู่เอี่ยมท่านไม่ได้ปลงผม ผมจึงยาวถึงบั้นเอว จีวรก็ขาดรุ่งริ่ง หนวดท่านยาวเฟิ้ม พร้อมมีสัตว์ป่าติดตามท่านหลวงปู่เอี่ยมมาด้วย อาทิเช่น หมี เสือ และงูจงอาง ฯลฯ ท่านหลวงปู่เอี่ยมเปนพระผู้มีอาคมขลัง มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มักน้อย ถือสันโดษ ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลวงปู่เอี่ยมท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งชาวบ้านและเจ้านายผู้ใหญ่ในพระนครนับถือท่านมากจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่หลวงปู่เอี่ยมจะมรณภาพด้วยโรคชรา นายหรุ่น แจ้งมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดคอยอยู่ปรนนิบัติท่านหลวงปู่เอี่ยมได้ขอร้องท่านว่า “ท่านอาจารย์มีอาการเต็มที่แล้ว ถ้าท่านมีอะไรก็กรุณาได้สั่งและให้ศิษย์เป็นค |

