ส่องพระให้เห็นถึงธรรม - webpra

ส่องพระให้เห็นถึงธรรม

บทความพระเครื่อง เขียนโดย gunt_a

gunt_a
ผู้เขียน
บทความ : ส่องพระให้เห็นถึงธรรม
จำนวนชม : 452
เขียนเมื่อวันที่ : พฤ. - 23 ธ.ค. 2553 - 12:30.05
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พฤ. - 23 ธ.ค. 2553 - 12:41.02
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)
  • ส่องพระให้เห็นถึงธรรม

    การมานับถือเครื่องรางของขลังที่เป็นพระพุทธปฏิมา
    หรือที่เป็นพระธรรมก็ยังดีกว่าไปเอาสิ่งอะไรต่ออะไร อย่างอื่นมาถือเป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์ .



  • ทุกวันนี้ เราให้ความสนใจกับวัตถุมากกว่า สิ่งที่เป็นนามธรรม จึงได้ให้คุณค่ากับสิ่งที่จับต้องสัมผัสได้ มากกว่าสิ่งที่จับต้องสัมผัสไม่ได้  พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลก ได้ทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ ของมวลมนุษยชาติด้วยน้ำพระธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งเป็นไปเพื่อขจัดความยึดมั่น ถือมั่น ในสังขารทั้งปวง อันเป็นเหตุนำสันติสุขแท้จริงมาสู่จิตใจของผู้ปฏิบัติตาม 
  • จนมาถึงวันนี้แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ชาวพุทธทั้งมวลยังคงระลึกถึงพระคุณความดีของพระองค์ ซึ่งยังคงอยู่อย่างเป็นอมตธาตุ อมตธรรม เมื่อบุคคลใดประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์อย่างจริงจังแล้ว ก็จะได้สัมผัสพระพุทธคุณ ของพระองค์ด้วยจิตของผู้นั้น ดังพระพุทธภาษิตว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา”
  • เมื่อพระพุทธศาสนาได้ล่วงเลยมานานกว่า ๒ พันปีเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติอย่างจริงจังในพระพุทธศาสนาก็มีจำนวนน้อยลงไปด้วย ผู้ที่สามารถเห็นพระพุทธเจ้า
    หรือ พระพุทธคุณ ก็มีน้อยยิ่งนัก คนส่วนมากก็ยังคงรู้สึกเคว้งคว้าง เมื่อจะระลึกถึงพระพุทธองค์ โดยปราศจากสิ่งอันเป็นสัญลักษณ์ยึดเหนี่ยวที่เป็นรูปธรรม  ดังนั้นโบราณาจารย์ผู้ฉลาดจึงได้คิดประดิษฐ์สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ ให้ประชาชนผู้อ่อนด้วยอินทรีย์ สามารถเข้าถึงและสัมผัส พุทธคุณได้ง่ายขึ้น
  • เดิมทีนั้นการสร้างพระปฏิมาพุทธรูปก็มีวัตถุประสงค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเท่านั้น สร้างกันเป็นจำนวนมาก ๆ เพื่อบรรจุตามพระธาตุ เจดีย์ ที่สำคัญ ๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นเครื่องรางของขลัง เพราะแต่เดิมเครื่องรางของขลังที่ปรากฏก็จะมีเป็นจำพวกตะกรุด พิศมร หรือผ้ายันต์ เป็นต้น ต่อมาพระพุทธรูปก็พัฒนามาเป็นพระเครื่องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ทำให้มีขนาดเล็กลงพกพาสะดวกสามารถติดตัวไปด้วยได้ทุกหนทุกแห่ง
  •  
  • ในอดีตคนไทยเราไม่ถือว่าพระเครื่องเป็นของสินค้าที่แลกเปลี่ยนหรือซื้อขาย เป็นเงินทองได้ หากจะเป็น การเปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งก็จะเป็นการให้กันฟรีๆ ไม่คิดมูลค่าเป็นเงินทองเหมือนการ ซื้อขายสินค้าอื่น ๆ อย่างดีก็แค่เอาสิ่งของมาแลกกัน หรือแลกเปลี่ยนกับพระเครื่องที่ตนเองมีอยู่ ไม่มีการ คิดว่าพระเครื่องของใครจะมีมูลค่าสำคัญมากกว่ากัน
  • ต่อมาพระเครื่องสำคัญ ๆ ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์และมีค่าในอดีตก็เริ่มหายากมากขึ้นเพราะจำนวนประชากรมีมากขึ้น พระเครื่องมีจำนวนเท่าเดิมความต้องการของคนมีมากขึ้น  จึงทำให้พระเครื่องกลายมาเป็นสินค้าที่จะต้องแลก เปลี่ยนด้วยเงินตรา  เมื่อมีความต้องการจะได้พระเครื่องที่ชอบใจ แต่เจ้าของเดิมเขาก็หวงแหน จึงไม่ยอมที่จะให้กันเปล่า ๆ เขาจึงต้องพยายามด้วยการใช้เงิน เข้าทำนองว่า “เงินย่อมง้างได้ทุกอย่าง” เท่านั้นละ เจ้าของพระแม้จะใจแข็งอย่างไรแต่เมื่อ มีกลิ่นของพระเจ้า “เงินตรา” มันช่างหอมหวานเสียนี่กระไร  จึงจำเป็นต้องขายพระไปด้วยความอาลัย(แต่ดีใจที่ได้เงิน) เมื่อพระเครื่องได้กลายเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันก็เลยมีขบวนการพุทธพานิชเกิดขึ้นโดย ทำมาหากินกับพระเครื่อง ขายพระเกร็งกำไร และทำให้มีคนจำนวนมากที่มุ่งแต่ราคากำไร มาบดบังคุณค่าที่แท้จริงของพระเครื่อง
  • ในเรื่องของการสร้างพระเครื่องนั้น วัตถุประสงค์ก็มีต่าง ๆ มากมายดังกล่าวมาข้างต้นแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็น แก่นสารสาระจริง ๆ ของพระเครื่อง ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ตรัสไว้ในพระนิพนธ์ เรื่องเจ็ดตำนานและสิบสองตำนานพุทธมนต์ ว่า
  • “พุทธศาสนา จึงเป็นศาสนาที่ยุติด้วยเหตุและผลตามสัจจะคือตามความเป็นจริง แต่ว่าแม้เช่นนั้น  บุคคลก็ยังมิได้ปฏิบัติไปตามที่พระพุทธเจ้าได ้ทรงสั่งสอน แม้ว่าจะแสดงตนว่าเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา  ก็มีเป็นอันมากที่มิได้ปฏิบัติไปตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน  ดังคนไทยเรานี้เองเป็นอันมากก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้นับถือพุทธศาสนากันเป็นส่วนมาก  แต่ว่าการนับถือศาสนาของคนไทยเรานี้ มีเป็นอันมากที่นับถือ กันตามตระกูลคือ  ตามบรรพบุรุษที่นับถือกันมา  พ่อแม่เป็นผู้นับถือพุทธศาสนา  ลูกเกิดมาก็พลอยนับถือพุทธศาสนาไปด้วย  ตั้งแต่จำความได้เป็น พ่อแม่ไหว้พระก็ไหว้พระ  เป็นพ่อแม่ทำบุญก็ทำบุญ  พ่อแม่ไปวัดก็ไปวัด  ดั่งนี้เป็นต้นก็เป็นไปตามตระกูล และแม้ว่าจะได้เข้าศึกษาพุทธศาสนา รู้พุทธศาสนาไปโดยลำดับ แต่ก็ยังทิ้งสันดานเดิมไม่ได้  จึงยังมิได้ปฏิบัติพุทธศาสนากันตามสมควร
  • ดังเช่นในการถึงสรณะนี้ ก็ถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ เป็นสรณะ  แต่ก็อดมิได้ที่จะนับถือไปในด้านศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยคุ้มครองป้องกันอันตราย
    อะไรต่างๆ ในด้านศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนถึงในด้านอำนวยลาภผลอะไรต่างๆ  จึงได้เกิดการนับถือพระเครื่องเป็นต้น ในด้านมีคุณภาพต่างๆ  อำนวยป้องกัน อันตราย  อำนวยลาภผล และเมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้น  แม้ในขั้นแรกก็เพื่อเคารพบูชา  เพื่อให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็น
    พุทธานุสสติ  ธรรมานุสสติ  สังฆานุสสติ  เพราะว่าการเคารพบูชาโดยไม่มีวัตถุอะไรหรือระลึกถึงโดยไม่มีวัตถุอะไรให้มองเห็นได้  ก็รู้สึกว่าโปร่งๆ  โล่งๆ และเมื่อมีวัตถุให้ตาเห็นอยู่บ้าง  วัตถุที่ตาเห็นนี้ก็จะส่งเข้าไปถึงใจทำนองเป็นกสิณ  ที่เป็นวัตถุอันจะนำให้จิตเป็นสมาธิ  บุคคลในโลกนี้จึงพอใจในการสร้างวัตถุที่เคารพขึ้นสำหรับสักการบูชาเป็นอันมาก  แม้ในทางพุทธศาสนาเอง  ในขั้นแรกจะไม่นิยมสร้างเป็นรูปบุคคล  ก็สร้างเป็นเพียงที่สำหรับประทับนั่งของพระพุทธเจ้า  ก็ทิ้งว่างๆ เท่านั้นให้นึกเอาเองว่าพระพุทธเจ้าประทับที่นั่น  โดยยังไม่สร้างองค์พระพุทธเจ้าลงไป 
  • ต่อมาจึงมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นจนถึงสร้างเป็นองค์เล็กๆ ที่จะนำติดตนไปสำหรับสักการบูชา  แม้เช่นนั้นคนสามัญทั่วไป ก็อดมิได้ที่จะนับถือในด้านศักดิ์สิทธิ์หรือขลังต่างๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนเรายังมีสังโยชน์ทั้ง ๑๐  ประการอยู่ด้วยกัน เป็นต้นว่า 
    สักกายทิฏฐิ ความเห็นยึดถือว่ากายของตน  วิจิกิจฉา  ความเคลือบแคลงสงสัย  สีลัพพตปรามาส  ความยึดถือศีลและวัตร  เช่นความยึดถือในด้านขลังหรือในด้านศักดิ์สิทธิ์ที่จะอำนวยให้เกิดผลต่างๆ ตามต้องการ ตัดสังโยชน์ทั้ง ๓  เสียได้จึงจะเป็น โสดาบัน  บุคคลซึ่งเป็นอริยบุคคลขั้นที่ ๑
  • เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ยังเป็นสามัญชนทั่วไปที่เรียกว่า  ปุถุชน คนยังมีกิเลสหนา  เพราะฉะนั้น  อดไม่ได้เพราะยังมีความเห็นยึดถือในศีลและวัตรที่ปฏิบัติในด้านขลังในด้านศักดิ์สิทธิ์  เป็นต้น  ดั่งนั้นเมื่อมานับถือพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือเหมือนอย่างว่าพระพุทธเจ้าเป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าได้ศึกษามีความรู้ว่าพระองค์ได้ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีวิญญาณ  ความเป็นเทพของพระองค์เหมือนอย่างเทวดานั้นไม่มีเพราะสิ้นกิเลสแล้ว  นิพพานแล้ว
    ก็ยังนับถือว่ามีเทพเข้าสิง คือมีอารักขเทพต่าง ๆ ซึ่งรักษาพระพุทธรูปอาจจะอำนวยได้ ก็นับถือกันไปอย่างนั้นอีก  อันเป็นมูลให้นิยม ในเครื่องรางของขลังต่างๆ อันนี้เป็นสันดานของคน  เมื่อยังมีสังโยชน์อยู่ก็ต้องมีสันดานอย่างนี้ เพราะฉะนั้น  บรรดาพระอาจารย ์ทั้งหลายเองซึ่งเป็นพระภิกษุ  จึงได้ถูกหาว่าได้อำนวยให้มีเครื่องรางของขลังต่างๆ นี้ขึ้นเป็นอันมาก  ก็เป็นการปฏิบัติผิดในพุทธศาสนา  ซึ่งในข้อนี้ท่านพระอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านมุ่งทำด้วยจิตบริสุทธิ์  มุ่งที่จะช่วยเหลือบุคคล  หรือมุ่งที่จะสร้างสรรค์พระพุทธศาสนา  สร้างสรรค์วัดวาอารามก็มีอยู่เป็นอันมาก  บรรดาท่านที่มุ่งผิดก็มีอยู่  สำหรับท่านที่มุ่งผิดก็ยกไว้  ก็เป็นอันว่าผิด
  • แต่สำหรับท่านที่มุ่งถูก  ก็โดยที่มุ่งว่า  การมานับถือเครื่องรางของขลังที่เป็นพระพุทธปฏิมาหรือที่เป็นพระธรรม  ก็ยังดีกว่าไปเอาสิ่งอะไรต่ออะไรอย่างอื่นมาถือเป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์  คือเอาพระมาห้อยคอก็ยังดีกว่าเอาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ พระมาห้อยคอ  คือไม่ใช่เป็นพระพุทธรูป  ไม่ใช่เป็นพระธรรม  เพราะว่าก็ยังน้อมจิตใจให้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนาและเมื่อเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา  ได้ฟังธรรม  ได้ศึกษาอบรมขึ้น  ก็จะได้ปัญญาที่ละเอียดขึ้น  ได้ศรัทธาที่อะเอียดขึ้น ก็จะชักนำให้การปฏิบัติถูกต้องยิ่งขึ้น  เพราะว่าในขั้นที่ยังละสังโยชน์ไม่ได้นั้น  ก็เป็นเหมือนอย่างในขั้นเป็นเด็กเล็กๆ จะเอาความรู้ในขั้นผู้ใหญ่มาใส่ให้นั้นก็ย่อมไม่ได้  เพราะฉะนั้น  ในการที่สอนเด็กก็ต้องสอนกันอย่างหนึ่ง  สอนผู้ใหญ่ขึ้นมา ก็ต้องสอนกันอีกอย่างหนึ่ง ดังจะพึงเห็นได้ว่าหนังสือที่สอนเด็กเล็กๆ นั้น สอนให้เด็กเขียน  ก  ข   ก  ก็คือเขียนตัว  ก  แล้วก็มี  ไก่  ข  ก็มี  ไข่  ซึ่งเราก็เป็นเด็กกันมาทั้งนั้นก็จำกันมาได้ว่า  ก  ไก่  ข  ไข่  เด็กก็หัดเขียน  ก  ก็ดูไก่ไปด้วย  หัดเขียน  ข  ก็ดูไข่ไปด้วย  อันที่จริง  ไก่กับไข่นั้น  คนละเรื่องกับ  ก  ข  แต่  ว่าครูก็เอามาสอนเด็ก  จะหาว่าครูหลอกเด็ก  ครูใช้ไม่ได้ อย่างนั้นหรือ 
  • ก็อาจจะมีคนหาอย่างนั้นว่าครูใช้ไม่ได้หลอกเด็ก  ให้เด็กเรียนตัว ก  แล้ว  เอาไก่มาเขียนให้เด็กดู ให้เด็กนึกว่า  ก  นี้เอง  คือ  ไก่  ข  นี้คือไข่  ครูก็หลอกเด็ก  แต่เราก็ไม่หากันอย่างนั้น วิญญูชนย่อมไม่หากันอย่างนั้น  เพราะเป็นเด็ก ก็สอนกันอย่างนี้เพราะเป็นอุบายที่จะให้จำได้  ชวนใจที่จะให้เขียน  ก  ข  เราก็เรียนอย่างนี้มาแต่เด็กจนโตป่านนี้ก็อ่านหนังสือออก เข้าใจ  และเราก็เข้าใจว่านั่นเป็นวิธีสอน  ไม่ใช่ครูหลอกเด็ก  แต่ครูช่วยเด็กต่างหากที่จะให้เด็กหัดอ่านหนังสือออก 
  • เพราะฉะนั้น  ขณะที่คนที่เป็นปุถุชนหรือสามัญชนทั่วไปที่ยังมีสังโยชน์อยู่  เรียกว่าสันดานยังอยู่ในขั้นนั้น  ยังเป็นโสดาบันไม่ได้  ยังเป็นปุถุชนอยู่  ถึงอย่างไรๆ  ก็ยังต้องมีความยึดถือในด้านขลัง  ฉะนั้น  พระอาจารย์ที่มุ่งถูก  ท่านปฏิบัติกันมาเพื่อรักษาศาสนา และเพื่อบำรุงศาสนานั้น  ท่านก็ทำไม่ผิด  จะหาว่าไปนั่งหลับตาภาวนาเป็นการหลอกลวงนั้น  ก็เหมือนกับการที่หาว่าแต่งหนังสือ สอนเด็กเขียน ก  ไก่  ข  ไข่  หลอกเด็กทำนองเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  ผู้ที่มีสติเป็นวิญญูชนแล้ว  ถ้าเป็นพระอาจารย์ที่มุ่งดีแล้ว  ก็จะไม่ว่าท่าน  และจะเข้าใจว่านั่นก็เป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่งในขั้นนั้น  และเมื่อถึงขั้นที่ผู้ปฏิบัติธรรม  ปฏิบัติจนเห็นธรรมเข้า ขั้นพระโสดาบันขึ้นมาแล้วก็เลิกละไปเอง  เหมือนอย่างเราทั้งหลายนั้น  เมื่อโตขึ้นแล้ว  ก็ไม่ได้คำนึงถึง  ก  ข  ไม่ได้นึกว่า  ก  เป็น  ไก่  ข  เป็น  ไข่  เราเข้าใจว่านั่นเราได้รับการสอนมาจาก  ก  ไก่  ข  ไข่  นี้แหละ จึงมาถึงได้ความรู้ขั้นนี้  ถ้าไม่มี  ก  ไก่  ข  ไข่  ในขั้นนั้นแล้ว  เราจะมีความรู้ในขั้นนี้ไม่ได้ เราจะมีความเข้าใจถูก...”
  • หนังสืออ้างอิง ตำนานพระพุทธมนต์ โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ หน้า ๒๐ - ๒๔
  • รวบรวมและเรียบเรียงโดย
  • อมรเทโว ภิกฺข 
    phramahaamorntep@gmail.com
    ภาพประกอบจาก Internet
ส่องพระให้เห็นถึงธรรม
Top