
ตำนานเทพจันทร์ลอยและเหรียญในตำนาน
บทความพระเครื่อง เขียนโดย patpat
ตำนานเทพจันทร์ลอย และเหรียญในตำนาน สร้างขึ้นจากตำนานแผ่นหินศักดิ์สิทธ์ รูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร หนา 6 นิ้วชาวบ้านจะเรียกแผ่นหินนี้ว่า " พระจันทร์ลอย " แผ่นหินศักดิ์สิทธิ์นี้ เดิมไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดนครหลวง แต่ประดิษฐานอยู่ที่"วัดเทพจันทร์ลอย" โดยมีตำนานเล่าขานต่อๆกันมาว่า.... ครั้งสมัยเมืองอโยธยาเป็นราชธานี ได้เกิดโรคระบาดขึ้นในเมือง ทำให้ชาวเมืองเจ็บไข้ล้มตายเป็นจำนวนมาก สมัยก่อนใช้วิธีการรักษาแบบแผนโบราณ ควบคู่ไปกับเวทย์มนต์ศักดิ์สิทธิ์ แต่การรักษาก็ไม่เป็นผล ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพย้ายถิ่นหนีกันเป็นจำนวนมาก ข่าวโรคระบาดนี้ได้แพร่สะพัดไปถึงเหล่าฤาษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ที่เมืองศรีเทพ(อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ต้นแม่น้ำป่าสัก บรรดาเหล่าฤาษีจึงได้ประชุมหารือกัน แล้วมอบหมายให้ เภสัชฤาษี(ผู้ทรงคุณวิเศษทางยา) 5 ตน ออกไปหาว่านยา เพื่อมาปรุงยารักษาโรค โดยนำตัวยาทั้งหมดที่หามาได้ มาสุมรวมเป็นกองเดียวกัน จากนั้นจึงร่ายเวทมนต์ปลุกเสกว่านยาพร้อมๆกัน ด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันแก่กล้าของเหล่าฤาษี ทำให้ว่านยากองนั้นหลอมกลายสภาพเป็นแผ่นหินรูปกลมขนาดใหญ่ จากนั้นแผ่นหินได้ลอยตามน้ำ จนมาถึงวังน้ำวน ระหว่างวัดใหม่ กับวัดนครหลวง ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำป่าสัก แผ่นหินนั้นได้ลอยเป็น ทักษิณาวัตร ชาวบ้านเมื่อเห็นเหตุการณ์ จึงช่วยกันเอาเชือกผูกแผ่นหินแล้วลากขึ้นฝั่ง แต่ได้พยายามอยู่นานก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีชีประขาวคนหนึ่งมาทำพิธีบวงสรวง แล้วเอาสายศิญจน์คล้องแผ่นหิน อัญเชิญขึ้นจากน้ำได้ จากนั้นจึงนำไปประดิษฐาน ณ วัดนอก แผ่นหินได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดนอก เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา จนถึงรัชสมัยของ "พระเจ้าปราสาททอง" พระองค์ได้มาสร้างปราสาทขึ้นไว้เป็นที่ประทับสำหรับทรงแปรพระราชฐานที่วัดนอก และได้ปฎิสังขรณ์วัดนอกขึ้นใหม่ ด้วยทรงเห็นว่าวัดนี้มีแผ่นหินขนาดใหญ่ทรงกลมคล้ายพระจันทร์เต็มดวงประดิษฐานอยู่ จึงทรงให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ว่า "วัดเทพพระจันทร์ลอย" ครั้งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้าง วัดเบ็ญจมบพิตร ขึ้น พระองค์มีพระประสงค์ใฝ่หาวัตถุโบราณ จากหัวเมืองต่างๆไปประดิษฐาน ณ วัดเบ็ญจมบพิตร ทางมณฑลอยุธยา จึงได้ส่งแผ่นหินพระจันทร์ลอยนี้ มาให้โดยเดินทางขนส่งมาพักไว้ที่ ท่าราชวรดิษฐ ก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อรอกราบทูลถวาย คืนหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนิมิตรไปว่า... แผ่นหินพระจันทร์ลอยนี้ไม่ประสงค์จะอยู่ที่กรุงเทพ และขอกลับไปอยู่อยุธยาเช่นเดิม รุ่งขึ้นเมื่อทรงตื่นจากบรรทมเห็นเป็นนิมิตมหัศจรรย์เช่นนั้น พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ทหารมหาดเล็ก นำแผ่นหินพระจันทร์ลอยกลับไปไว้ยังที่อยู่เดิมในทันที ครั้นเมื่อมหาดเล็กนำแผ่นหินมาถึง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ก็ช่วยกันยกแผ่นหินไว้ที่โคนต้นโพธิ์ในวัดนครหลวง ไม่ได้นำไปคืนไว้ที่เดิม ที่วัดเทพจันทร์ลอย แผ่นหินพระจันทร์ลอย จึงได้ประดิษฐาน ณ วัดนครหลวงมาจนถึงทุกวันนี้และเมื่อปี พ.ศ. 2444 พระครูปลื้ม วัดจักรวรรดิราชาวาส กทม. ได้มาทำการบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดนครหลวง รวมทั้งสร้างมณฑปสำหรับเป็นที่ประดิษฐานแผ่นหินจันทร์ลอยด้วย ในครั้งนั้นจึงได้มีการสร้างเหรียญเทพจันทร์ลอยขึ้นเป็นที่ระลึกเป็นครั้งแรก เท่าที่ทราบจะสร้างเป็นเนื้อเงินเสียส่วนใหญ่ เพื่อมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ช่วยเหลือในการปฎิสังขรณ์ เหรียญนี้เป็นเนื้อเงินลง พ.ศ.๒๔๔๔ ร.ศ.๑๒๖ จึงมีพบเห็นจำนวนน้อยมากๆ และที่สำคัญเหรียญนี้มีรอยจาร อักขระน่าจะเป็นรอยจารโดยหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เก่าแต่เดิมอยู่ด้วย เหรียญนี้เป็นเหรียญเก่าอีกเหรียญของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยมีเกจิอาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสก ซึ่งพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มาร่วมปลุกเสกเวลานั้นคือ หลวงพ่อนวมวัดกลาง หลวงพ่อกรองวัดเทพจันทร์ลอย หลวงพ่อรอด วัดสามไถ หลวงพ่อปุ้มวัดสำมกัน ฯลฯ อีกทั้งยังเชื่อกันว่า หลวงพ่อ กลั่น วัดพระญาติ ซึ่งเป็น ชาวนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยาโดยกำเนิดและมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อนวมและหลวงพ่อกรอง เดินทางมาร่วมปลุกเสกด้วยอย่างแน่นอน อ้างอิง Art of siam 8และเวปอื่นๆ |