เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499 องค์นี้เนื้อเงินลงยาสภาพสวยงาม เกินบรรยายมาแล้วจ้า - webpra

ประมูล หมวด:พระหล่อ-เหรียญหล่อ-พระปั๊มรูปเหมือน ก่อนปี 2520

เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499 องค์นี้เนื้อเงินลงยาสภาพสวยงาม เกินบรรยายมาแล้วจ้า

เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499 องค์นี้เนื้อเงินลงยาสภาพสวยงาม เกินบรรยายมาแล้วจ้า เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499 องค์นี้เนื้อเงินลงยาสภาพสวยงาม เกินบรรยายมาแล้วจ้า
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499 องค์นี้เนื้อเงินลงยาสภาพสวยงาม เกินบรรยายมาแล้วจ้า
รายละเอียดองค์นี้เนื้อเงิน ลงยาสีเขียว พระนาสิกยังโด่งคม อันเป็นจุดสังเกตและใช้ประเมินสภาพความสวยสมบูรณ์ของนักสะสมวัตถุมงคลประเภทเหรียญ ผิวเหรียญบางส่วนยังปรากฎร่องรอยกะไหล่ทองเดิมอยู่ เหรียญพระล้ำค่าคู่บ้านคู่เมือง รปแบบสวยงาม ทั้งยังได้พระคณาจารย์เข้มขลัง อธิษฐานจิต ในพิธีพุทธาภิเษกในวาระมหามงคล เมื่อค่อนศตวรรษมาแล้ว เหรียญสวยพ.ศ.ลึกแบบนี้ นานทีปีหนเข้ามาให้ยลโฉมกัน สนใจเชิญเข้าร่วมประมูล หรือติดต่อสอบถามกันเข้ามาเลยจ้า Jorawis รับประกันความแท้ตามสากลนิยมเช่นเดิมจ้า

หากเหรียญนี้ยังไม่สวยงสมพอที่จะ "โดนใจ" อาจมีพระบางรายการ ที่ทำนกำลังค้นหาอยู่เชิญที่นี่ได้เลยจ้า

http://www.web-pra.com/Shop/jorawis


สำหรับความเป็นมาของหลวงพ่อทองคำ และวัดไตรมิตรฯ jorawis ขอคัดประวัติความเป็นมาบางส่วนจากแหล่งข้อมูลมาให้ศึกษากันดังนี้จ้า

วัดไตรมิตรวิทยาราม เดิมมีชื่อว่าวัดสามจีนใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ราว พ.ศ. 2374 มีตำนานเล่าว่าชาวจีน 3 คนร่วมกันสร้างขึ้น จีนสามคนนี้จะเป็นญาติกันหรือไม่ มิอาจทราบได้ แต่คงต้องเป็นมิตรรักใคร่กันสนิทสนม จึงร่วมใจกันสร้างวัดอันเป็นวิหารทานที่ยิ่งใหญ่นี้ได้

กาลเวลาผ่านไป สภาพภายในวัดชำรุดทรุดโทรมลงมาก จึงเริ่มดำเนินการบูรณะปรับปรุง ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 เมื่อครั้งพระมหากิ๊ม สุวรรณชาติ เป็นผู้รักษาการในหน้าที่เจ้าอาวาส ในระยะแรกพบอุปสรรคหลายประการ ต่อมา ใน พ.ศ. 2480 จึงได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคมให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมทั้งหมดแล้วสร้างขึ้นใหม่ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ ได้เมตตาคิดค้นนามที่เป็นมงคลมาเฉลิมเพิ่มความสง่าให้กับวัดสามจีนใต้ โดยเปลี่ยนเป็น "วัดไตรมิตรวิทยาราม" และกรมสามัญศึกษา ได้เปลี่ยนนามโรงเรียนมัธยมวัดสามจีนใต้ เป็น "โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย" ตามนามวัดที่ได้เปลี่ยนใหม่ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482

สภาพวัดไตรมิตรวิทยาราม เมื่อครั้งมีนามว่าวัดสามจีนใต้นั้น ในบริเวณวัดเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครก กุฏิหลายหลังเอียงกระเท่เร่ หอระฆัง ศาลา หอสวดมนต์ หอฉัน หอไตร ปลูกสลับซับซ้อน สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังชำรุดทรุดโทรม เก่าคร่ำคร่า ยากที่จะซ่อมแซมแก้ไขให้ดีได้

ที่ของวัดมีผู้เช่าตัดตอนไปปลูกเป็นห้องแถวชั้นเดียวเตี้ย ๆ หลายแถวให้ผู้คนเช่าอาศัยอยู่ ห้องแถวเหล่านี้หลังคาและพื้นชำรุดทรุดโทรม มีน้ำโสโครกขังเฉอะแฉะ มีฝูงเป็ดและสุกรเที่ยวหาอาหารอยู่ระเกะระกะ มีอุจจาระและกลิ่นปัสสาวะตลบอบอวล ผู้เช่าที่มีอาชีพในการทำเส้นหมี่ ก็ตากเส้นหมี่ไว้หน้าห้องแถวเลอะเทอะ ที่มีอาชีพทำขนมก็ทิ้งเศษอาหารไว้เกลื่อน แมลงวันตอมเป็นหมู่ใหญ่ หญิงที่เ่ช่าห้องรวมกันอยู่หลาย ๆ คน มีท่าทางอันน่าสงสัยว่าซ่อนเร้นการกระทำอันผิดศีลธรรม ฯลฯ

เมื่อแรกอัญเชิญพระสุโขทัยไตรมิตรมาอยู่ที่วัดสามจีนใต้หรือวัดไตรมิตรนั้น วัดยังอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ยังไม่ได้เริ่มการบูรณะปรับปรุง โบสถ์และวิหารก็เก่าแก่ ไม่เหมาะกับการประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ จึงอัญเชิญพระพุทธรูปปูนปั้นมาประดิษฐานอยู่ข้างพระเจดีย์ โดยปลูกเพิงสังกะสีไว้พอกันแดดกันฝน

ระหว่างนี้ มีผู้มาขอพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้หลายราย รายหนึ่งมาเจรจาขอท่านไปเป็นพระประธานวัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ พระวิสุทธาธิบดี (ไสว ฐิตวีโร) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระวีรธรรมมุนี เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรในขณะนั้นเห็นว่า พระประธานในวัดไตรมิตรก็มีแล้ว หากให้ท่านไปเป็นพระประธานวัดอื่น จะเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ก็อนุญาตให้ไป แต่สุดท้าย มีเหตุติดขัด ไม่สามารถอัญเชิญไปได้

บางรายมาขอ แต่ขาดแคลนค่าพาหนะ บางรายวางแผนที่จะอัญเชิญท่านไปทางรถไฟ แต่เมื่อวัดขนาดความกว้างความสูงขององค์พระพุทธรูปซึ่งเป็นปูนปั้น ก็พบว่าส่วนพระเกตุมาลาสูงกว่าสะพานรถไฟ อัญเชิญไปไม่ได้

รายสุดท้าย มีผู้มาติดต่อขอไปเป็นพระประธานวัดบ้านบึง (วัดบึงบวรสถิตย์) อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี พระวีรธรรมมุนีก็อนุญาต แต่เมื่อตัวแทนของวัดบ้านบึงมาสำรวจดูองค์พระอีกครั้ง ก็ติว่าท่านไม่งาม ไม่สมที่จะเป็นพระประธาน จึงเปลี่ยนใจไม่รับไป

พระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ จึงต้องกรำแดดกรำฝนอยู่ในเพิงสังกะสี ข้างพระเจดีย์วัดไตรมิตร ต่อไปอีกเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. 2497 ทางวัดจึงเริ่มก่อสร้างพระวิหารสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่อัญเชิญมา เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นปูชนียวัตถุอันควรแก่การสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน พระวิหารที่สร้างขึ้นนี้มี 2 ชั้น ชั้นบนตรงกลางเป็นอาคารทรงไทยจตุรมุข เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 พระวีรธรรมมุนี พร้อมด้วยคณะกรรมการวัดไตรมิตรวิทยาราม ได้ทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ จากเพิงสังกะสีขึ้นประดิษฐานบนพระวิหารทรงไทยจตุรมุขที่สร้างขึ้นใหม่ ช่างได้ใช้เชือกโอบรอบองค์พระและสอดใต้ฐานทับเกษตร (ทับเกษตร หมายถึงส่วนบนของฐานที่รองรับพระพุทธรูปปางประทับนั่ง) รวบเชือกเป็นสาแหรกขึ้นไปเบื้องพระเศียร ติดรอกและขอสำหรับกว้าน ดำเนินการตั้งแต่ฉันเพลแล้วจนกระทั่งพลบค่ำ ได้พยายามยกองค์พระพุทธรูปเพื่อขึ้นไปประดิษฐานบนพระวิหารอยู่หลายหน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ด้วยองค์พระมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการเคลื่อนย้ายก็ยังไม่ทันสมัย สุดท้าย ยกได้สูงเพียงฝ่ามือ เชือกก็ขาดสะบั้นลง องค์พระกระแทกกับพื้นอย่างแรงเสียงดังสนั่น ขณะนั้นเป็นเวลามืดค่ำแล้ว อีกทั้งฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก มีฟ้าคะนอง พระวีรธรรมมุนีเห็นว่าไม่สะดวก จึงให้ยุติไว้แต่เพียงนั้น ทำได้แค่เพียงเคลื่อนย้ายองค์พระมาใกล้พระวิหารเท่านั้น

คืนวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 ฝนตกตลอดทั้งคืน ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง ฝนเริ่มขาดเม็ด ท่านเจ้าคุณมีความเป็นห่วงเรื่องงานเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปปูนปั้นที่คั่งค้างอยู่ จึงเดินฝ่าละอองฝนมาสำรวจหน้างานเพื่อหาทางอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานให้สะดวกเรียบร้อย เมื่อมาถึงก็พบว่า ปูนตรงพระอุระแตกกะเทาะลงมา เห็นรักปิดทองอยู่ชั้นหนึ่ง จึงให้พระภิกษุสามเณรช่วยกันกะเทาะปูนที่ิหุ้มองค์พระนั้นออก จึงเห็นเป็นทองตลอดทั้งองค์

เมื่อจะอัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานบนพระวิหารและเพื่อให้น้ำหนักในการยกน้อยลง จึงได้คุ้ยเอาดินใต้ฐานทับเกษตรออก ก็พบกุญแจกลสำหรับถอดองค์พระออกเป็นตอน ๆ ได้ 9 แห่ง เพื่อสะดวกในการถอดอัญเชิญขึ้นไปประดิษฐาน จึงได้ถอดออกเพียง 4 ส่วนคือ พระศอ พระหัตถ์ทั้ง 2 ข้าง พระนาภี สำหรับอีก 5 ส่วนนั้นไม่ได้ถอดออก คงรักษาไว้ให้อนุชนทั้งหลายได้ชมฝีมือช่างสมัยโบราณ กุญแจกลเหล่านี้ ผู้หล่อดั้งเดิมได้ใส่ทองคำสำรองมาให้ครบถ้วน รวมทั้งมุกที่ใส่พระเนตรด้วย

วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2498 นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้มาชมพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตรวิทยาราม เมื่อพิจารณาแล้วจึงระบุว่า เนื้อทองคำที่สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เป็น "ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา" ซึ่งมีค่าสูงยิ่ง

คำเรียกเนื้อทองดังกล่าว เรียกตามมาตราทองคำของไทยสมัยโบราณ ที่กำหนดเรียกชนิดทองคำเป็นเนื้อต่าง ๆ เทียบกับมูลค่าของเงิน ซึ่งตั้งไว้ตั้งแต่ทองเนื้อสี่จนถึงทองเนื้อเก้า

"เนื้อ" หรือ "น้ำ" หมายถึงสารที่เป็นทองคำ จะบริสุทธิ์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสิ่งเจือปน ทองเนื้อสี่ หนัก 1 บาท มีค่าเท่ากับเงิน 4 บาท ทองคำชนิดที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด คือ ทองเนื้อเก้า หนัก 1 บาท มีค่าเท่ากับเงิน 9 บาท

ส่วน "ขา" หมายถึง เศษ 1 ส่วน 4 ของหนึ่งบาท หรือหนึ่งสลึง ดังนั้น "ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา" จึงหมายถึงทองคำชนิดที่หนัก 1 บาท มีค่าเท่ากับเงิน 7 บาท 2 สลึง แต่ค่าของเงินเมื่อเทียบกับทองย่อมผันแปรไปตามยุคสมัย ต่อมาคำเรียกทองคำเนื้อต่าง ๆ นี้ จึงไม่ได้แสดงถึงราคาเมื่อเทียบกับเงิน เป็นแต่เพียงแสดงค่าความบริสุทธิ์ของเนื้อทองคำเท่านั้น

ทั้งนี้ ทองคำบริสุทธิ์อย่างทองเนื้อเก้าจะมีความอ่อนตัวมาก ไม่สามารถหล่อเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ได้ โดยทั่วไปการหล่อพระพุทธรูปทองต้องใช้ทองเนื้อรองลงมา จึงจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอ ซึ่งทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขาที่ใช้สร้างพระสุโขทัยไตรมิตรก็จัดเป็นทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูง จึงเปล่งประกายความสุกปลั่งออกมาอย่างงดงาม

เมื่ออัญเชิญพระสุโขทัยไตรมิตรขึ้นไปประดิษฐานบนพระวิหารแล้ว วัดไตรมิตรวิทยารามได้จัดงานฉลองสมโภชในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ซึ่งในมงตลวาระดังกล่าวข้างต้น างวดได้จัดสร้างเหรียญที่ระลึก และจัดพิธีพุทธาภิเษกด้วย แม้จะไม่ปรากฎการบันทึกข้อมูลเป็นหลักฐานชัดเจนนัก แต่จากหลักฐานเท่าที่พอสืบค้นได้ ปรากฏรายนามพระเกจิคณาจารย์บางท่านที่เข้ามาร่วมพุทธาภิเษกเหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ฯพ.ศ. 2499ดังต่อไปนี้

หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
หลวงปู่นาค วัดระฆังฯ
หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติฯ
หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี

ฯลฯ


ต่อมา พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามพระสุโขทัยไตรมิตรว่า "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร"

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือหลวงพ่อทองคำ ประดิษฐาน ณ วิหารทรงไทยจตุรมุขเป็นเวลายาวนานนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 สภาพอาคารได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา กอปรกับมีนักท่องเที่ยวมาสักการบูชาและชื่นชมความงดงามยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูปทองคำเป็นจำนวนมาก สถานที่ประดิษฐานจึงคับแคบ

ปี พ.ศ. 2549 อันเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ 60 ปี และทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษาในปี พ.ศ. 2550 วัดไตรมิตรวิทยาราม ด้วยความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนและพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้จัดสร้างพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร

วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงประกอบพิธีถอดพระเกตุมาลาพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ซึ่งถือเป็นมหามงคลอุดมปฐมฤกษ์แห่งการเคลื่อนย้ายองค์พระจากพระวิหารหลังเดิม สู่พระมหามณฑป ที่ประดิษฐานแห่งใหม่

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลา 09:09 น. ได้จัดพิธีเคลื่อนย้ายองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร จากพระวิหารหลังเดิม สู่พระมหามณฑป ที่ประดิษฐานแห่งใหม่ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เป็นประธานในพิธี

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14:09 น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่9) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ( พระอิศริยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงประกอบพิธีสวมพระเกตุมาลาพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ในพิธีสมโภชพระมหามณฑปฯ ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม

พิธีสมโภชพระมหามณฑป จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ถึงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 รวม 9 วัน

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (ในรัชกาลที่9) เสด็จฯ แทนพระองค์ ทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ที่ประดิษฐาน ณ พระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นฉัตร 5 ชั้น มีความสูงจากกำพูถึงยอดฉัตร 3 เมตร 31 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางระบายฉัตร 2 เมตร

เป็นฉัตรเหนือพระพุทธปฏิมากรที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพื่อเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554


อ้างอิง - พระพุทธรูปสำคัญ กรมศิลปากร
- ประวัติและผลงานของพระวิสุทธาธิบดี
- ประวัติพระพุทธรูปทอง โดย ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์
- ส่วนนิทรรศการพระพุทธรูปทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม
- http://thaprajan.blogspot.com/2013/06/blog-post.html

ราคาเปิดประมูล900 บาท
ราคาปัจจุบัน2,000 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูลส. - 31 มี.ค. 2561 - 14:35.08
วันปิดประมูล ศ. - 20 เม.ย. 2561 - 14:35.08 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 2,000 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ100 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
1,000 บาท อา. - 01 เม.ย. 2561 - 23:57.26
1,100 บาท ศ. - 06 เม.ย. 2561 - 21:19.15
1,200 บาท ศ. - 06 เม.ย. 2561 - 21:19.18
1,300 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 14:19.38
1,400 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 14:19.55
1,500 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 14:20.26
1,600 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 14:21.55
1,700 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 14:22.08
1,900 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 15:54.44
2,000 บาท ส. - 07 เม.ย. 2561 - 15:54.59
กำลังโหลด...
Top