ประมูล หมวด:เครื่องรางของขลัง
คชสีห์กะไหล่ทอง หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์ปี๒๕๔๙
| ชื่อพระเครื่อง | คชสีห์กะไหล่ทอง หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์ปี๒๕๔๙ |
|---|---|
| รายละเอียด | คชสิงห์มหาอำนาจ เมตตา รุ่น ๑ หลวงปู่จ้อย วัดศรีอุทุมพร มีทั้งหมด 6 เนื้อครับ มี เนื้อเงินสร้างและปลุกเสก 185 องค์ เนื้อพิเศษดำลงทอง 800 องค์ เนื้อสามกษัตรประมาณ 1000 องค์ เนื้อกะไหล่เงินประมาณ 2000 องค์ เนื้อกะไหล่ทองประมาณ 2000 องค์ เนื้อทองแดงรมดำ(คชสิงห์ดำ)ประมาณ 2000 องค์ รุ่นนี้หลวงปู่จ้อย จันทสุวัณโณปลุกเสก ไตรมาส ปี 2549 ที่อุโบสถวัดศรีอุทุมพรครับ หลวงพ่อจ้อย วาจาสิทธิ์(ขอขอบคุณ เพจ ศิษย์มีครู รายที่ ๑ เมื่อประมาณปี ๒๕๐๔ หลวงพ่อขอแรงประชาชนให้ไปช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองวังตาวัด หลวงพ่อได้ไปทำการควบคุมคนทำงานอยู่ ณ ที่นั้น ขณะแดดร้อน หลวงพ่อก็กางร่ม ครั้นตกเย็นแดดร่มลมตก หลวงพ่อก็เก็บร่มไปวางไว้ที่ริมหัวสะพานข้างทาง ขณะนั้นเอง นายประเดิม (นามสมมติ) มีอาชีพเลี้ยงเป็ด ได้ขับรถยนต์ผ่านมา คงจะเป็นเพราะถนนแคบและไม่ได้ดูให้รอบคอบ รถยนต์ได้วิ่งไปทับร่มของหลวงพ่อจ้อยฯ หักพังเสียหาย หลวงพ่อคงจะนึกเสียดายร่ม จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ตาไม่เห็นหรือ” เท่านั้นเอง เวลาผ่านไปได้ประมาณ ๑ เดือน ลูกนัยน์ตาของนายประเดิมฯ จึงค่อย ๆ มัวลงและมืดมิด มองอะไรไม่เห็นเลย ทุกคนที่ทราบข่าวต่างก็พากันลงความเห็นว่าเป็นเพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจ้อยฯ รายที่ ๒ ลุงเจียม (นามสมมติ) อยู่บ้านฝากคลองวัดศรีอุทุมพร ยามว่างจากการทำไร่ ทำนา ก็ยึดอาชีพจับปลาขายเป็นงานอดิเรก ลุงเจียมใช้ข่ายบ้าง จั่นบ้าง จับปลา กลางวันก็ลงข่ายห่างไกลออกจากวัดเป็นเล็กน้อย พอตกพลบค่ำก็ล่วงล้ำเข้าไปหาจับปลาในเขตวัด ซึ่งเรียกว่า “ เขตอภัยทาน ” คือเขตที่ให้อภัยแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง หลวงพ่อทราบพฤติกรรมของลุงเจียมก็ได้ออกปากห้ามปรามอยู่หลายครั้ง ลุงเจียมก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ยังขืนดื้อรั้นกระทำอยู่อีกเพราะความโลภ อยากได้ปลามากๆ จะได้นำไปขายได้เงินมากๆ ความโลภครอบงำจิตใจ จึงทำให้เห็นผิดเป็นถูก อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อจ้อยได้ทราบข้อเท็จจริงโดยถ่องแท้แล้วจึงได้ได้เอ่ยพูดกับลุงเจียมขึ้นว่า “ ต้องให้บอกกันทุกวันหรือไร พูดกันไม่รู้เรื่องหรือโยม ” เขตหวงห้าม เขตอภัยทานน่าจะให้อภัยกัน เวลาผ่านไปไม่นาน ลุงเจียมก็กลายเป็นคนวิกลจริต สติวิปลาส จำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งลูกเมียของตนเองก็จำไม่ได้และได้หายออกจากบ้านไป ลูกเมียก็ออกติดตามไปยังบ้านญาติพี่น้องทั้งใกล้และไกล แต่ก็ไม่สามารถติดตามหาลุงเจียมจนพบได้ จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าลุงเจียมแกยังมีชีวิตอยู่หรือล้มหายตายจากไปแล้ว ทุกคนที่ได้ทราบข่าวเรื่องนี้ก็ลงความเห็นกันว่าเป็นเพราะวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อจ้อยฯ เป็นแน่แท้ รายที่ ๓ นายแสวง (นามสมมติ) อยู่บ้านวังเดื่อใกล้กับวัดศรีอุทุมพร ชอบลักลอบจับปลาและเต่าในเขตวัดเป็นประจำ และได้ขโมยไก่งวงของวัด จำนวน ๒ ตัว ไปรับประทาน พระอาจารย์ทองคำ (แกละ) จะไปแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมเพื่อดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายบ้านเมือง หลวงพ่อท่านทราบข่าวจึงห้ามไว้ไม่ให้พระอาจารย์ทองคำไปแจ้งความ พร้อมกับออกปากพูดว่า “ใครกินประเดี๋ยวมันก็พุงแตก” อยู่มาไม่ช้าไม่นาน นายแสวงเริ่มป่วย มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระไม่ออก ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส ภรรยาและบุตรได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ แพทย์ตรวจวินิจฉัยแล้วลงความเห็นว่า “ลำไส้ตัน” ต้องทำการผ่าตัดที่ท้องใช้ถ่ายอุจจาระทางสายยาง และล้มป่วยอยู่ไม่สู้นานก็ได้ถึงแก่กรรมลง รายที่ ๔ ได้รับคำบอกเล่าจาก นายสายัณห์ พรหมโชติ อยู่บ้านเลขที่ ๔๐๑ หมู่ที่ ๔ ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเคยอุปสมบทและจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอุทุมพร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ มีพระชื่อพิจิตร จำนามสกุลไม่ได้กับพระมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑ รูป อุปสมบทและจำพรรษาอยู่ด้วยกัน มีความรักใคร่สนิทสนมกันมาก เมื่อออกพรรษาและได้รับกฐินแล้วลาสิกขาบทพร้อมกัน เมื่อลาสิกขาบทเรียบร้อยแล้วก็ไปอาบน้ำพร้อมกัน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ปรากฏว่ากระเป๋าสตางค์ของทิดสึกใหม่ที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งในกระเป๋าสำหรับใส่สตางค์ มีเงินอยู่ประมาณ ๒,๐๐๐.- บาท หายไป ถามทิดพิจิตรว่าเห็นกระเป๋าสตางค์บ้างไหม ทิดพิจิตรก็ตอบว่าไม่เห็น ทิดสึกใหม่จึงได้ไปกราบนมัสการบอกให้หลวงพ่อจ้อยฯ ทราบ หลวงพ่อจ้อยฯ จึงเรียกทิดพิจิตรไปถามว่าเห็นกระเป๋าสตางค์ของเขาไหม ทิดพิจิตรตอบว่าไม่เห็น หลวงพ่อจึงพูดขึ้นว่า “ ถ้าไม่เห็นก็ไม่เห็นตลอดไปนะ ” เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป อยู่ต่อมาไม่นาน ตาของทิดพิจิตรก็มองอะไรไม่ค่อยเห็นลงเรื่อยๆจนมองอะไรไม่เห็น คงจะคิดได้จึงนำกระเป๋าสตางค์ไปคืนให้หลวงพ่อจ้อยฯ พร้อมกับรับสารภาพว่า เป็นคนขโมยกระเป๋าสตางค์ของเขาไป หลวงพ่อจ้อยฯ ได้พูดขึ้นว่า “ เห็นแล้วเดี๋ยวตาก็แลเห็น ” เวลาล่วงเลยไปประมาณ ๑ สัปดาห์ ตาของทิดพิจิตรก็มองเห็นเป็นปรกติ รายที่ ๕ นายผัน บัวเทศ อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๑๔ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ช่วงฤดูน้ำลด วันหนึ่งตนกับพวกประมาณ ๖ คน ได้เตรียมแบกแห ข่าย และสุ่ม จะไปหาปลากัน เดินผ่านมาทางวัดศรีอุทุมพร พบหลวงพ่อจ้อยฯ ยืนอยู่ พวกตนทั้งหมดก็นั่งทรุดตัวลงยกมือไหว้หลวงพ่อ เพื่อถวายความเคารพ หลวงพ่อได้เอ่ยปากพูดกับพวกตนว่า “จะไปเล่นน้ำกันเหรอ” เสร็จแล้วก็แยกทางกันไป วันนั้นทั้งวันตนกับพรรคพวกที่ไปทอดแห ลงข่าย และสุ่มปลา ต่างก็ไม่ได้ปลากันเลยแม้แต่ตัวเดียว ข่าวเรื่องนี้ได้ขยายวงกว้างไปสู่ประชาชนทั้งหมู่บ้าน จนกระทั่งทุกวันนี้ถ้าใครจะไปหาปลา ไม่ว่าจะเป็นการทอดแห ลงข่าย หรือสุ่มปลาหากพบหลวงพ่อจ้อยฯ ยืนอยู่กลางทางจะต้องหลีกทางจากหลวงพ่อไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เพราะกลัวหลวงพ่อจ้อยฯ ท่านจะถามว่า “ จะไปเล่นน้ำกันเหรอ ” อีก |
| ราคาเปิดประมูล | 600 บาท |
| ราคาปัจจุบัน | 600 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ) |
| เพิ่มขึ้นครั้งละ | 600 บาท |
| วันเปิดประมูล | จ. - 28 ส.ค. 2566 - 17:52.15 |
| วันปิดประมูล |
อา. - 17 ก.ย. 2566 - 17:52.15
|
| ผู้ตั้งประมูล | |
| เบอร์ติดต่อ | 0819627789 |
| แชร์หน้านี้ |
| ราคาปัจจุบัน | 600 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ) |
|---|---|
| เพิ่มครั้งละ | 600 บาท |
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
| กรุณาทำการ Login เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ |
| ผู้เสนอราคา | ราคา | เวลา |
|---|---|---|
| ยังไม่มีผู้ประมูล | ||
กำลังโหลด...






