ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513 - webpra

ประมูล หมวด:พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525

ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513

ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513 ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513
รายละเอียด
ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ออกศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2513

ลงทอง สวยเดิม
ดวงจิตแห่งพระพรหมเอราวัณ คือดวงพระวิญญาณสมเด็จพระปิ่นกล้า บารมีพระพรหมดับอาถรรพ์พื้นที่ต้องสาป

เปิดประวัติ ที่มาพระพรหมเอราวัณ

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เป็นศาลศาสนาฮินดูตั้งอยู่หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพนับถือจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยมีการจัดคณะทัวร์จากต่างประเทศเพื่อเข้ามาสักการะท้าวมหาพรหมโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 เกิดเหตุชายคนหนึ่งใช้ค้อนทุบทำลายศาลดังกล่าวและถูกทุบตีจนเสียชีวิตโดยผู้เห็นเหตุการณ์

เมื่อ พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กำหนดให้มีการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ ขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี พ.ศ. 2499 ทาง บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม

พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม

จึงได้มีการตั้งศาลพระพรหม ออกแบบตัวศาลโดยนายระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วยปูนพลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499



ตามแผนงานครั้งแรก องค์ท้าวมหาพรหมจะเป็นโลหะหล่อสีทอง แต่เนื่องจากระยะเวลาจำกัดด้วยฤกษ์การเปิดโรงแรม จึงได้เปลี่ยนวัสดุเป็นปูนปั้นปิดทองแทน
ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ถือเป็นศาลพระพรหมศาลแรกที่มีขนาดใหญ่ ในเวลาต่อมาเมื่อมีการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาในอาคารหรือสถานที่ขนาดใหญ่ จะยึดแบบการสร้างจากศาลท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เนื่องจากความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ

ปัจจุบัน ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ อยู่ในความดูแลของ "มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม"
ด้วยเหตุที่ท่านท้าวมหาพรหมถูกชายที่ไม่สมประกอบทุบในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งทำให้ตัวองค์แตก ดังนั้นจึงมีกำหนดการที่จะบูรณะพระองค์ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับสร้างองค์ใหม่ด้วย แล้วเสร็จในปลายเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน

“พระพรหมเอราวัณ” นามว่าเอราวัณนั้นจริงๆ เป็นชื่อโรงแรมหาใช่ชื่อจริงนามจริงขององค์พระพรหมไม่ แล้วนามจริงๆ ขององค์พรหมมีใครรู้บ้างว่าชื่ออะไร

แท้จริงแล้วองค์พระพรหมองค์นี้มีนามว่า “ท้าวมหาพรหมเกศโร” หรือ “ท่านพ่อเกศโร” ซึ่งก็คือ “สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” น้องชายแท้ๆ ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ที่มีดวงพระชาตาแรงกล้ายิ่งนัก ทั้งเก่งเรื่องคาถาอาคมตลอดจนวิทยาการแบบตะวันตก


ที่มานั้นสืบเนื่องจากตอนประกอบพิธีเชิญดวงพระวิญญาณ ผู้เชิญในยุคนั้นคือคุณหลวงสุวิชาญท่านมีความสามารถในการติดต่อโลกทิพย์มีหูทิพย์ตาทิพย์เป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก


ท่านได้ติดต่ออาราธนาบารมีแห่งสมเด็จพระปิ่นเกล้าหรือท่านพ่อเกศโรมหาพรหม ให้แผ่บารมีสถิตย์ดับอาถรรพ์นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งผู้สักการะบูชา

สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่องลือในวิทยาคมมาตั้งแต่เป็น “เจ้าฟ้าจุฑามณี” ร่ำลือกันต่างๆนาๆว่า ล่องหนหายตัวบ้าง เดินบนน้ำบ้างและอีกสารพัด ผู้ชำนาญในวิทยาคมย่อมแก่กล้าในด้านสมถะภาวนา เรื่องสมาธิฌานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเหนือความสามารถ

คุณหลวงสุวิชาญผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ในยุคนั้น ได้ติดต่อกับดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้า จึงทราบว่าพระองค์ขึ้นไปอุบัติเป็น “ท้าวมหาพรหมเกศโร” มีเดชศักดายิ่งนัก เมื่อคราวโรงแรมเอราวัณประสบอาถรรพ์จึงสร้างพระพรหมแล้วเชิญบารมีท่านพ่อเกศโรมาดับอาถรรพ์ (เชื่อว่าพื้นที่ ที่สร้างโรงแรมเป็น พื้นที่ต้องคำสาป ถือเป็นจุดกำเนิดของแยกมหาเทพ ซึ่งมีการสร้างเทพองค์อื่นๆตามมาในกาลต่อมา)


ในยุคนั้นคุณหลวงสุวิชาญยังได้มาสร้างพระบวรนุเสาวรีย์สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าโรงละครแห่งชาติในปัจจุบันด้วยแล้วเชิญพระบารมีแห่งท่านพ่อเกศโรมหาพรหมลงสถิตย์เป็นมิ่งขวัญสิริมงคล

ประวัติของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 50 หรือ พระราชกุมารพระองค์ที่ 27 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 3 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระองค์พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งในครั้งนั้นเรียกว่า พระบวรราชวังใหม่ อันเนื่องมาจากในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยดำรงพระอิสริยยศที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยมีคุณหญิงนก (ไม่ทราบสกุล) เป็นพระพี่เลี้ยง


พระองค์มีพระเชษฐาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฏ (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี

หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว 10 ปี พระองค์ก็เริ่มทรงพระประชวรบ่อยครั้ง หาสมุฏฐานของพระโรคไม่ได้ เสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 2 แรม 6 ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่ง ตรงกับ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 พระชนมพรรษา 58 พรรษา ทรงอยู่ในบวรราชสมบัติทั้งสิ้น 15 ปี
ราคาเปิดประมูล80 บาท
ราคาปัจจุบัน80 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูลจ. - 22 ม.ค. 2567 - 11:41.52
วันปิดประมูล อา. - 11 ก.พ. 2567 - 11:41.52 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
Poothai (246) (-1) 122.155.38.93
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 80 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ20 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
ยังไม่มีผู้ประมูล
กำลังโหลด...
Top