เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ - webpra

ประมูล หมวด:หลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม - หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก - หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี - หลวงปู่เจียม วัดอินทราสุการาม

เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ

เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง เหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดงครับ
รายละเอียดเหรียญพิทักษสันติราษฎร์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์ ปี 2521 เนื้อทองแดงกระไหล่ทองลงยาสีแดง ตอกโค๊ต พ. สภาพสวยเดิมๆครับครับ.............ประวัติ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ท่านถือกำเนิด ณ บ้านปราสาท อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2430 ตรงกับวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนี้พระยาสุรินทร์ฯ (ม่วง) ยังเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่ไปช่วยราชการอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเจ้าเมื่ออุบลฯ และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ต้องไปราชการทัพเพื่อปราบฮ่อ บิดาของท่านชื่อ นายแดง มารดาชื่อ นางเงิน นามสกุล "ดีมาก" แต่เหตุที่ท่านนามสกุลว่า "เกษมสินธุ์" นั้น ท่านเล่าว่า เมื่อท่านไปพำนักประจำอยู่ที่วัดสุดทัศนาราม จังหวัด อุบลราชธานี เป็นเวลานาน มีหลานชายคนหนึ่ง ซื่อพร้อม ไปอยู่ด้วยท่านจึงตั้งนามสกุลให้ว่า "เกษมสินธุ์" ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็เลยใช้นามสกุลว่า "เกษมสินธุ์" ไปด้วย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คนด้วยกัน คือ 1.เป็นหญิง ชื่อ กลิ้ง 2.เป็นชาย ชื่อ ดุลย์ (คือ ตัวท่าน) 3.เป็นชาย ชื่อ แดน 4.เป็นหญิง ชื่อ รัตน์ 5.5 เป็นหญิง ชื่อ ทอง พี่น้องของท่าน ต่างพากันดำรงชีวิตไปตามอัตภาพ ตราบเท่าวัยชรา และได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมีอายุถึง 70 ปีทั้งหมด หลวงปู่ดุลย์ ผู้เดียวที่ครองอัตภาพมาได้ยาวนานถึง 96 ปี ชีวิตของหลวงปู่ดุลย์ เมื่อแรกรุ่นเจริญวัยนั้น ก็ถูกำหนดให้อยู่ในเกฏเกณฑ์ของสังคมสมัยนั้น แม้ท่านจะเป็นลูกคนที่สอง แต่ก็เป็นบุตรชายคนโต ดังนั้น ท่านจึงต้องมีภารกิจมากกว่าเป็นธรรมดา โดยต้องทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้าน งานในบ้าน เช่น ตักน้ำ ตำข้าว หุงหาอาหาร และเลี้ยงดูน้องๆ ซึ่งมีหลายคน งานนอกบ้าน เช่น เช่วยแบ่งเบาภาระของบิดา ในการดูแลบำรุงเรือกสวนไร่นา แล้วเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เป็นต้น แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใครๆ ก็ต้องรู้สึกว่าน่าเพลิดเพลิน และน่าลุ่มหลงอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะอยู่ในวัยกำลังงามแล้ว ยังเป็นนักแสดง ที่มีผู้นิยมชมชอบมากอีกด้วย ถึงกระนั้นหลวงปู่ดุลย์ ก็มิได้หลงไหลในสิ่งเหล่านั้นเลย ตรงกันข้ามท่านกลับมีอุปนิสัย โน้มเอียงไปทางเนกขัมมะ คือ อยากออกบวช จึงพยายามขออนุญาตจากบิดามารดา และท่านผู้มีพระคุณ ที่มีเมตตาชุบเลี้ยง แต่ก็ถูกท่านเหล่านั้นคัดค้านเรื่อยมา โดยเฉพาะฝ่ายบิดามารดา ไม่อยากให้บวช เนื่องจากขาดกำลังทางบ้าน ไม่มีใครช่วยเป็นกำลังสำคัญ ในครอบครัว ทั้งท่านก็เป็นบุตรชายคนโตด้วย แต่ในที่สุด บิดามารดาก็ไม่อาจขัดขวาง ความตั้งใจจริงของท่านได้ ต้องอนุญาตให้บวชได้ ตามความปรารถนาที่แน่วแน่ ไม่คลอนแคลนของท่าน พร้อมกับมีเสียงสำทับจากบิดาว่า เมื่อบวชแล้ว ต้องไม่สึกหรืออย่างน้อย ต้องอยู่จนได้เป็นเจ้าอาวาส ทั้งนี้เนื่องจากปู่ของท่าน เคยบวชและได้เป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว และคงเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยกระมัง ท่านจึงมีอุปนิสัย รักบุญ เกรงกลัวบาป มิได้เพลิดเพลินคึกคะนองไปในวัยหนุ่ม เหมือนบุคคลอื่น ครั้นเมื่อได้รับอนุญาต จากบิดามารดาเรียบร้อยแล้วอย่างนี้ ท่านจึงได้ละฆราวาสวิสัย ย่างเข้าสู่ความเป็นสมณะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 เมื่อท่านมีอายุได้ 22 ปี โดยมีพวกตระกูลเจ้า ของเมืองที่เคยชุบเลี้ยงท่าน เป็นผู้จัดแจง ในเรื่องการบวชให้ครบถ้วนทุกอย่าง ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดชุมพลสุทธาวาส ในเมืองสุรินทร์ โดยมี พระครูวิมลสีลพรต (ทอง) เป็น พระอุปัชฌาย์ พระครูบึก เป็น พระกรรมวาจาจารย์ พระครูฤทธิ์ เป็น พระอนุสาวนาจารย์ เมื่อแรกบวช ก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงปู่แอก วัดคอโค ซึ่งอยู่ชานเมืองสุรินทร์ วิธีการเจริญกัมมัฏฐานในสมัยนั้น ก็ไม่มีวิธีอะไรมากมายนัก วิชาที่หลวงปู่แอกสอนให้สมัยนั้น คือ จุดเทียนขึ้นมา 5 เล่ม แล้วนั่งบริกรรมว่า "ขออัญเชิญปีติทั้ง 5 จงมาหาเรา" ดังนี้เท่านั้น แต่หลวงปู่ดุลย์ ก็พากเพียรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า พยายามบริกรรมเรื่อยมา จนครบไตรมาสโดยไม่ลดละ แต่ก็ไม่ปรากฏเห็นผลอันใดแม้เล็กน้อย นอกจากนี้ ยังได้ฝึกฝนทรมานร่างกาย เพื่อเผาผลาญกิเลส ด้วยความเข้มงวดกวดขัน การขบฉันอาหาร วันก่อนเคยฉัน 7 คำ ก็ลดเหลือ 6 คำ แล้วลดลงไปอีกตามลำดับ จนกระทั่งรางกายซูบผอมโซเซ สู้ไม่ไหว จึงหันมาฉันอาหารตามเดิม ระยะนั้นก็ไม่ปรากฏเห็นผลอันใดแม้เล็กน้อย นอกจากนี้ก็ใช้เวลาที่เหลือ ท่องบ่นเจ็ดตำนานบ้าง สิบสองตำนานบ้าง แต่ไม่ได้ศึกษาพระวินัยเลย เรื่องวินัยที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากาย วาจา เพื่อเป็นรากฐาน ของสมาธิภาวนานั้น ท่านไม่ทราบ มิหนำซ้ำ ระหว่างที่อยู่วัดดังกล่าว พระในวัดนั้นยังใช้ให้ท่านสร้างเกวียน และเลี้ยงโคอีกด้วย ท่านจึงเกิดความสลดสังเวช และเบื่อหน่ายเป็นกำลัง แต่ก็อยู่มาจนกระทั่งได้ 6 พรรษา เมื่อทราบข่าวว่า ที่จังหวัดอุบลราชธานี มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ก็เกิดความยินดีล้นพ้น รีบเข้าไปขออนุญาต ท่านพระครูวิมลศีลพรต ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ เพื่อไปศึกษา แต่ก็ถูกคัดค้านกลับมา ท่านมิได้ลดละคามพยายาม ไปขออยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งพระอุปัชฌาย์ เห็นว่าท่านมีความตั้งใจจริง จึงอนุญาตให้ไปได้ โดยมีครูและครูดิษฐ์ไปเป็นเพื่อน เมื่อแรกไปถึงจังหวัดอุบลฯ นั้น เขาไม่อาจรับท่าน ให้พำนักอยู่ที่วัดธรรมยุตได้ เพราะต่างนิกายกัน แม้จะอนุมัติให้เข้าเรียนได้ก็ตาม ดังนั้น ท่านจึงต้องไปอยู่วัดหลวง ซึ่งการบิณฑบาตเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน พอดีหลวงพี่มนัส ซึ่งเดินทางไปเรียนก่อน ได้แวะไปเยี่ยม ทราบความเข้า จึงพาท่านไปฝากอยู่อาศัย พร้อมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรมไปด้วย ที่วัดสุทัศนาราม แต่เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดฝ่ายสงฆ์ธรรมยุต จึงไม่อาจให้ท่านอยู่ที่วัดได้ ด้วยเหตุผลที่น่าฟังว่า มิได้รังเกียจ แต่เกรงจะเกิดผลกระทบ ต่อความเข้าใจอันดี ระหวางผู้บริหารการคณะสงฆ์ ของนิกายทั้งสอง อย่างไรก็ดี ด้วยเมตตาธรรม ทางวัดสุทัศน์ ได้แสดงความเอื้อเฟื้อ ด้วยวิธีการอันแยบคาย โดยรับให้ท่านพำนักอยู่ในฐานะพระอาคันตุกะ ผู้มาเยี่ยมเยือน แต่อยู่นานหน่อย ความเป็นอยู่ของท่านจึงค่อยกระเตื้องขึ้น คือเป็นไปได้สะดวกบ้าง ท่านพยายามมุมานะ ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม อย่างเต็มสติกำลัง จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ คือ สามารถสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรี นวกภูมิ เป็นรุ่นแรกของจังหวัดอุบลราชธานี และยังได้เรียนบาลีไวยกรณ์ (มูลกัจจายน์) จนสามารถแปลพระธรรมบทได้ นับว่าท่านได้บรรลุปณิธานที่ได้ตั้งไว้ ในการจากบ้านเกิดเมืองนอนไป ศึกษาต่อ ณ ต่างแดนแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะการคมนาคมระหว่าง สุรินทร์-อุบลฯ ในสมัยนั้นเป็นไปโดยยาก จนนับได้ว่าเป็นต่างแดนจริงๆ ต่อมาท่านได้พยายามอย่างยิ่ง ที่จะญัตติจากนิกายเดิมมา เป็นธรรมยุตติกนิกาย แต่ทางคณะสงฆ์ธรรมยุต โดยเฉพาะพระธรรมปาโมกข์ (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลในขณะนั้น ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ พระนักบริหารผู้มีสายตาไกล และจิตใจกว้างขวาง ได้ให้ความเห็นว่า "อยากจะให้ท่านศึกษาเล่าเรียนไปก่อน ไม่ต้องญัตติ เนื่องจากทางคณะสงฆ์ธรรมยุต มีนโยบายจะให้ท่านกลับไปพัฒนาศึกษาพระปริยัติธรรม ที่จังหวัดสุรินทร์บ้านเกิดของท่าน ให้เจริญรุ่งเรือง เพราะถ้าหากญัตติแล้ว เมื่อท่านกลับไปสุรินทร์ ท่านจะต้องอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีวัดฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัดสุรินทร์เลย" แต่ตามความตั้งใจของท่านเองนั้น มิได้มีความประสงค์จะกลับไปสอนพระปริยัติธรรม จึงได้พยายามขอญัตติต่อไปอีก ในกาลต่อมา นับว่าเป็นโชคของท่านก็ว่าได้ ท่านมีโอกาสได้คุ้นเคยกับ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านรับราชการครู ทั้งที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้น ที่วัดสุทัศน์ จังหวัดอุบลฯ ท่านอาจารย์สิงห์ ได้ชอบอัธยาศัยไมตรีของหลวงปู่ดุลย์ และเห็นปฏิปทาในการศึกษาเล่าเรียน พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติกิจ ในพระศาสนาของท่าน ว่าเป็นไปด้วยความตั้งใจจริง ท่านอาจารย์สิงห์ จึงได้ช่วยเหลือท่านในการขอญัตติ จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ ดังนั้น ใน พ.ศ. 2461 ขณะเมื่ออายุ 31 ปี ท่านจึงได้ญัตติจากนิกายเดิม มาเป็นพระภิกษุในธรรมยุตติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ฯ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระศาสนดิลก เจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ถ้าหากจะนับระยะเวลา ที่ท่านไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ ในฐานะพระอาคันตุกะ จนกระทั่งได้รับเมตตาอนุญาต ให้ได้ญัตติ ก็เป็นเวลานานถึง 4 ปี รวมเวลาที่ดำรงอยู่ในภาวะของนิกายเดิม ก็เป็นเวลานานถึง 10 ปี จากการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม และพิจารณาข้อธรรมะเหล่านั้น จนแตกฉานช่ำชองพอสมควรแล้ว ก็เห็นว่าการเรียนปริยัติธรรมอย่างเดียวนั้น เป็นแต่เพียงการจำหัวข้อธรรมะได้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติให้ได้ผล และได้รู้รสพระธรรมอย่างซาบซึ้งนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จึงบังเกิดความเบื่อหน่าย และท้อถอยในการเรียนพระปริยัติธรรม และมีความสนใจโน้มเอียงไปในทางปฏิบัติธรรม ทางธุดงค์กัมมัฏฐานอย่างแน่วแน่ นับว่าเป็นบุญลาภของหลวงปู่ดุลย์อย่างประเสริฐ ที่ในพรรษานั้นเอง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ฝ่ายอารัญญวาสี ได้เดินทางกลับ จากธุดงค์กัมมัฏฐาน มาพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี ข่าวที่พระอาจารย์มั่นมาจำพรรษา ที่วัดบูรพานั้น เลื่องลือไปทุกทิศทาง ทำให้ภิกษุสามเณร บรรดาศิษย์ และประชาชนแตกตื่นฟื้นตัว พากันไปฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่ดุลย์กับอาจารย์สิงห์ 2 สหายก็ไม่เคยล้าหลังเพื่อน ในเรื่องเช่นนี้ พากันไปฟังธรรมเทศนา ของพระอาจารย์มั่นกันเป็นประจำ ไม่ขาดแม้สักครั้งเดียว นอกจากได้ฟังธรรมะแปลกๆ ที่สมบูรณ์ด้วยอรรถพยัญชนะ มีความหมายลึกซึ้ง และรัดกุมกว้างขวาง ยังได้มีโอกาสเฝ้าสังเกตปฏิปทา ของท่านพระอาจารย์มั่น ที่งดงามน่าเลื่อมใส ทุกอิริยาบถอีกด้วย ทำให้เกิดความซาบซึ้งถึงใจ คำพูดแต่ละคำ มีวินัยแปลกดี ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จึงเพิ่มความสนใจใคร่ประพฤติปฏิบัติ ทางธุดงค์กัมมัฏฐานมากยิ่งขึ้นทุกทีฯ ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์มั่นได้ออกธุดงค์อีก ภิกษุ 2 รูป คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม กับหลวงปู่ดุลย์ จึงตัดสินใจสละทิ้งการสอนการเรียน ออกธุดงค์ ติดตามพระอาจารย์มั่นไปทุกแห่ง จนตลอดฤดูกาลนอกพรรษานั้น ตามธรรมเนียมธุดงค์กัมมัฏฐาน ของพระอาจารย์มั่นมีอยู่ว่า เมื่อถึงกาลเข้าพรรษา ไม่ให้จำพรรษารวมกันมากเกินไป ให้แยกกันไปจำพรรษาตามสถานที่อันวิเวก ไม่ว่าจะเป็นวัด เป็นป่า เป็นถ้ำ เป็นเขา โคนไม้ ป่าช้า ลอมฟาง เรือนว่าง หรืออะไร ตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล แต่ละคณะ เมื่ออกพรรษาแล้ว หากทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่นอยู่ ณ ที่ใด พระสงฆ์ก็พากันไปจากทุกทิศทุกทางมุ่งไปยัง ณ ที่นั้น เพื่อเรียนพระกัมมัฏฐาน และเล่าแจ้งถึงผลการประพฤติปฏิบัติที่ผ่านมา เมื่อมีอันใดผิดพระอาจารย์ จักได้ช่วยแนะนำแก้ไข อันใดถูกต้องดีแล้ว ท่านจักได้แนะนำข้อกัมมัฏฐานยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนั้น เมื่อจวนจะถึงกาลเข้าปุริมพรรษา คือ พรรษาแรกแห่งการธุดงค์ของท่าน คณะหลวงปู่ดุลย์ จึงพากันแยกจากท่านพระอาจารย์มั่น เดินธุดงค์ผ่านไปทางอำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ ครั้นถึงป่าท่าคันโท ก็สมมติทำเป็นสำนักวัดป่า เข้าพรรษาด้วยกัน 5 รูป คือ 1.ท่านพระอาจารย์สิงห์ 2.ท่านพระอาจารย์บุญ 3.ท่านพระอาจารย์สีทา 4.ท่านพระอาจารย์หนู 5.ท่านพระอาจารย์ดุลย์ อตุโล (ตัวหลวงปู่) ทุกท่านปฏิบัติตามปรารภความเพียร อย่างอุกฤษฎ์แรงกล้า ปฏิบัติตามคำอบรมสั่งสอน ของท่านปรมาจารย์อย่างสุดขีดครบถ้วน * ปัจฉิมบท * สังขารธรรมหนึ่งนั้น อุบัติขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2430 ณ บ้านปราสาท ตำบลเฉลียง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ได้เจริญเติบโต และรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ตามวัย ได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงาม อยู่ภายใต้ผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเวลานานถึง 64 พรรษา ท่านประพฤติปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ของชาวพุทธตลอดเวลา เป็นเนื้อนาบุญของโลก ท่านเป็นพุทธสาวกอย่างแท้จริง ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ บัดนี้สังขารขันธ์นั้น ได้ดับลงแล้ว ตาม สภาวธรรม เมื่อ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2526 อย่างสงบครับ...............* รับประกันแท้ตลอดชีพ เก้คืนเต็มตลอด 24 ชั่วโมงครับ *
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน900 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูลส. - 20 เม.ย. 2556 - 17:56.16
วันปิดประมูล ศ. - 10 พ.ค. 2556 - 17:56.16 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
เบอร์ติดต่อ 086-1710557 , 080-8920924 , 034620609
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 900 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ100 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
200 บาท ส. - 20 เม.ย. 2556 - 21:06.14
300 บาท ส. - 20 เม.ย. 2556 - 21:06.20
400 บาท ส. - 20 เม.ย. 2556 - 21:06.29
500 บาท ส. - 20 เม.ย. 2556 - 21:06.44
600 บาท จ. - 22 เม.ย. 2556 - 11:23.30
700 บาท จ. - 22 เม.ย. 2556 - 17:36.18
800 บาท จ. - 22 เม.ย. 2556 - 17:36.22
900 บาท อ. - 23 เม.ย. 2556 - 17:01.47
กำลังโหลด...
Top