ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ - webpra

ประมูล หมวด:พระเกจิภาคเหนือ

ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ

ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก...หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ
รายละเอียด
พระเนื้อผงพิมพ์กายทิพย์ จัดสร้างด้วยผงจักพรรดิของหลวงปู่ดู่ น่าบูชาครับ

มาอ่านบทความจากนิตยสารพระเกจิครับ

หลังจากกราบ ลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงพระบาทสี่รอย ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะว่า มีถ้ำที่มีบรรยากาศเหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังเมืองนะ

พญานาคที่ถ้ำฮก
เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติ ธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ 1 เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป

พบถ้ำเมืองนะ ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตา
หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับถ้ำเมืองนะซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่าในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้นกลับ สะอาดสะอ้าน มากเหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่าใต้ ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากคอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมาหลังจากจำพรรษา ที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตาและเล่าให้ท่านฟังว่า หลวง ปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่างว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา หลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก 19 นิ้วองค์หนึ่งให้ลูกศิษย์นำขึ้นมามอบให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่ง นี้อีกด้วย

นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่อง กับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ภพภูมิต่างๆที่ถ้ำเมืองนะ

ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำ เมืองนะ หลวงตาได้เจอกับภพภูมิต่างๆที่อาศัยกันอยู่ในบริเวณนี้บ่อยครั้ง โดยท่านเล่าให้ฟังว่า “เคยเห็นเทวดาใส่ชฎามายืนอยู่หน้าถ้ำ เราเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาเห็นเราไม่สนใจก็เลยบอกว่า ‘ตุ๊นี่หยิ่งจริง วันหลังไม่มาดีกว่า!’ หลังจากนั้นลองเรียกเขายังไง เขาก็ไม่ยอมปรากฏตัวมาหาอีกเลย... หรือบางครั้งนั่งพักอยู่ในถ้ำ ก็เห็นเหมือนคนเดินผ่านหน้าไป แล้วก็เดินหายเข้าไปในผนังถ้ำต่อหน้าต่อตาเลยก็มี แต่เราก็เฉยๆไม่ได้สนใจอะไร” นอกจากนี้ ลูกศิษย์หลวงตาจะรู้กันดีว่า ที่ถ้ำนี้มีเทวดาอยู่ท่านหนึ่งซึ่งทุกคนจะเรียกว่า “พี่ยักษ์” เวลาใครมาถ้ำเมืองนะก็มักจะแวะมากราบไหว้พี่ยักษ์ซึ่งหลวงตาได้หล่อเป็นรูป ยักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำเสมอ เวลาใครมานอนค้างปฏิบัติธรรมที่ถ้ำ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานบอกพี่ยักษ์ไว้ว่าต้องการจะตื่นกี่โมง พอถึงเวลาที่บอกกล่าวไว้นั้น บางคนจะได้ยินเสียงกระทืบพื้นดังตึงๆ บางคนก็โดนเคาะหัว บางคนก็ฝันว่าพี่ยักษ์ไปเรียกในฝันก็มี ทำให้แต่ละคนสามารถตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย ซึ่งเรื่องพี่ยักษ์นี้เป็นเรื่องที่มีหลายคนเคยพบเจอจนกลายเป็นเรื่องปกติ ของลูกศิษย์วัดถ้ำเมืองนะไปแล้ว

เริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่

ประมาณ ๓ ปีแรกที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดย ไม่ออกไปไหน เพื่อหวังจะได้บรรลุนิพพานในชาตินี้ แต่หลังจากท่านเร่งปฏิบัติธรรม พิจารณาทบทวนธรรมะต่างๆที่หลวงปู่ดู่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แล้ว ท่านก็ได้พบกระแสพลังงานเก่าของตนเองว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านจึงหันมาปฏิบัติธรรมสร้างบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับหลวง ปู่ดู่ครูบาอาจารย์ของท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2533 ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปีพ.ศ.2534 โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอยเป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอัน ไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป

ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงที่หลวงปู่เคยบอกท่านไว้ก่อนออกธุดงค์ว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย” ก็ทำให้ท่านมีกำลังใจว่าหลวงปู่จะต้องคอยช่วยให้ท่านทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จ แน่ หลวงตาจึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน 3 เดือน... ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง 2 เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมาย หลายอย่าง ท่านจึงได้เริ่มสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. 2534 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


การอธิษฐานจิตพระเครื่อง ด้วยบุญฤทธิ์

การอธิษฐานจิตปลุกเสกพระในสายหลวงปู่ดู่นั้น จะไม่เน้นการใช้คาถาอาคมในการปลุกเสก เพราะเป็นกำลังของผู้ปลุกเสกเพียงคนเดียว มีพลังงานน้อย และอาจเสื่อมคลายได้ แต่ท่านจะเน้นการใช้บุญฤทธิ์ อธิษฐานจิตรวมกระแสบุญบารมีของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ เทพพรหม ทุกๆพระองค์ ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลังผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระ เครื่องทุกองค์ เพราะพลังงานบุญบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันเสื่อม และมีพลังงานมากอย่างไม่มีประมาณ สามารถอธิษฐานใช้ได้ทุกทาง

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารพระเกจิมากๆครับ
ราคาเปิดประมูล370 บาท
ราคาปัจจุบัน380 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ10 บาท
วันเปิดประมูลพฤ. - 23 ม.ค. 2557 - 11:20.26
วันปิดประมูล จ. - 27 ม.ค. 2557 - 21:04.43 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 380 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ10 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
380 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ) อา. - 26 ม.ค. 2557 - 21:04.43
กำลังโหลด...
Top