สมเด็จว่านมหาอุดมมงคลหลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม จ.อุบลราชธานี - webpra

ประมูล หมวด:หลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม - หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง – หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู

สมเด็จว่านมหาอุดมมงคลหลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม จ.อุบลราชธานี

สมเด็จว่านมหาอุดมมงคลหลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม จ.อุบลราชธานี
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง สมเด็จว่านมหาอุดมมงคลหลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม จ.อุบลราชธานี
รายละเอียดหลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร เกิดเมื่อ ๑๐ กันยายน ๒๔๕๓ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ เกิดในสกุล “แสงเขียว” ชื่อเดิมของท่านคือ “สวน แสงเขียว” โยมบิดามารดาของท่านชื่อ “นายคูณ-นางผุย แสงเขียว” อาชีพทำนา หลวงปู่เป็นบุตรชายคนที่ ๕ ของพี่น้องทั้งหมด ๘ คน

เล่ากันว่าด้วยความที่หลวงปู่มีความสุภาพอ่อนโยนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทำให้เมื่อท่านเติบโตขึ้น ท่านจึงเป็นคนที่มีความสุขุม เยือกเย็น นุ่มนวลและเป็นผู้ที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูงและส่วนรวม และด้วยบุพกรรมเก่าที่ท่านเคยสร้างสมมาเมื่อครั้งในอดีต ทำให้ท่านไม่มีความลุ่มหลง หรือนิยมชมชอบในชีวิตทางโลก แต่ครั้นจะออกบวชท่านก็ติดเกรงใจโยมบิดามารดาของท่าน

ดังนั้นชีวิตในช่วงวัยรุ่นของท่าน จึงเป็นช่วงที่ท่านได้อยู่ช่วยงานบิดามารดาของท่านทำไร่ทำนา จนเมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้ตัดสินใจขออนุญาตบิดามารดาของท่านเพื่อออกบวช

ในโลกแห่งความเป็นจริงมีพ่อแม่อยู่จำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาให้ลูกตอบแทนความรักของพ่อแม่ที่มีให้โดยการดำเนินชีวิตไปบนเส้นทางที่พ่อแม่คาดหวัง พ่อแม่ทุกคนล้วนดีใจที่จะได้เห็นลูกของตนเลือกทางที่ดีที่สุด

หลวงปู่ญาท่านสวนก็ไม่พ้นโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้

เพียงแต่ว่าเส้นทางที่ว่าดีนี้มันดีทั้งความต้องการของตนเองและของโยมพ่อ โยมแม่ของท่าน....

หลวงปู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ วัดนาอุดม บ้านนาทม ตำบลคำหว้า อำเภอพิบูลมังสาหาร เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๗๓ โดยมีพระอธิการพรมมา วัดบ้านระเว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่ได้รับฉายาว่า “ฉันทโร” ซึ่งแปลว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งความพอเพียง”

หลวงปู่เล่าให้พวกเราฟังว่าหลังจากที่ท่านบวชได้สักระยะหนึ่ง ท่านจึงได้ไปศึกษาต่อที่วัดสำโรงใหญ่ซึ่งในสมัยนั้นมี “พระอาจารย์หม่อน” ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงลุงของท่านเป็นเจ้าอาวาส พระอาจารย์หม่อนเป็นพระที่เข้มงวดในระเบียบวินัยและมากไปด้วยคาถาอาคมองค์หนึ่งในยุคนั้น เป็นที่ขึ้นชื่อเลยว่าพระอาจารย์หม่อนมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างดุมาก

ความดุของท่านเล่นเอาบรรดาพระอุปัฏฐากที่รับใช้ท่าน ทนอยู่ไม่ได้ต้องอพยพหนีหายไปหลายองค์ เรียกได้ว่าไม่มีองค์ไหนกล้าเข้าไปอุปัฏฐากรับใช้ท่านครับ จนถึงวันหนึ่งพระอาจารย์หม่อน ได้เรียกพระภิกษุสวนให้เข้าไปพบและมอบหน้าที่พระอุปัฏฐากแทนพระที่หนีไป....

หากอุปนิสัยที่เข้มงวดในพระวินัยคือสัญลักษณ์ของความดุในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับพระภิกษุสวน เรื่องเหล่านี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เนื่องจากพระวินัยเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของพระภิกษุสวนในการได้มาซึ่งคำว่า “ขันติ อดทนและเพียรพยายาม”

“พระอาจารย์หม่อนใช้ให้อาตมาทำงานอย่างหนักเช่น เลื่อยไม้ เพื่อสร้างเสนาสนะภายในวัด ทำจนมือไม้แตกหมด เลือดออก ทั้งเจ็บทั้งระบม แต่ก็ต้องอดทนเพราะเป็นคำสั่งของพระอาจารย์ บางทีท่านก็จะดุ จะว่า โดยไม่ทราบสาเหตุ

ยิ่งวันไหนมีญาติโยมมากันมากๆ วันนั้นแหละจะเป็นวันที่ทำอะไรไม่ถูกใจท่านเอาเสียเลย ดุขนาดที่ว่าบางครั้งอับอายญาติโยมจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เพราะความต้องการที่จะปฏิบัติครูบาอาจารย์ ทำให้อาตมาต้องใช้ความขันติ อดทน...”

การเดินทางสู่ความปรารถนา ด้วยเส้นทางขันติ อดทน และมีความเพียรพยายามของพระภิกษุสวนครั้งนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงความดุของพระอาจารย์หม่อนได้อย่างน่าอัศจรรย์ และโดยส่วนตัวของท่านแล้วทำให้ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้และประสบการณ์ที่ดีงาม

ว่ากันว่า “ถ้าเราอยากได้อะไรจริงๆ มันก็ย่อมมีทางเสมอ”

พระอาจารย์หม่อนได้เรียกพระภิกษุสวนเข้าไปหาและได้สอนกรรมฐานให้ ด้วยการพาพระภิกษุสวนไปฝึกกรรมฐานในป่าช้าสองต่อสอง โดยการแยกกันปฏิบัติ ถึงตอนนี้หลวงปู่ท่านเล่าว่า

พระอาจารย์หม่อนมีอาสนะพิเศษทำด้วยหนังหมี ซึ่งจะต้องหอบหิ้วไปทุกครั้งที่จะไปสอนกรรมฐานในป่าช้า การฝึกกรรมฐานเริ่มจากฝึกวิธีกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อฝึกปฏิบัติจนเป็นที่พอใจของพระอาจารย์แล้วก็ให้พระภิกษุสวนกลับไปฝึกปฏิบัติเอาเอง หากว่าติดขัดตรงไหนก็ให้มาถามท่าน

นอกจากการฝึกกรรมฐานแล้ว พระอาจารย์หม่อนยังได้สอนวิชาเวทย์มนต์คาถาต่างๆให้อีกด้วย หลวงปู่บอกว่าตัวท่านเองไม่เคยธุดงค์และได้ตั้งใจฝึกฝนเพียรพยายามตามคำสอนของครูบาอาจารย์ รวมไปถึงการค้นคว้าหาความรู้จากตำรับตำราต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ได้บันทึกไว้ เช่นศึกษาเรียนรู้วิชาการเขียน การอ่านอักษร ขอม เขมรและอักษรธรรมอีสาน จนเกิดความชำนาญ สามารถอ่านออก เขียนได้อย่างคล่องแคล้ว

จะว่าไปแล้วอุปนิสัยการใฝ่เรียนรู้ถือเป็นคุณสมบัติประจำตัวของหลวงปู่เลยก็ว่าได้ เพราะหากว่าเพื่อนๆท่านใดที่เคยไปกราบนมัสการหลวงปู่ จะสังเกตเห็นว่าเมื่อเสร็จสิ้นจากการรับแขกญาติโยมแล้ว หลวงปู่มักจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นหนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ ด้วยความที่ท่านเป็นผู้รักการอ่าน ชอบศึกษาหาความรู้และชอบวิเคราะห์ หลวงปู่ท่านจึงให้ความสำคัญกับเด็กๆ โดยท่านมักจะพูดเสมอๆว่า “อยากให้ลูกหลานฉลาด” ท่านได้ให้ข้อคิดว่า

“การเรียนเวทย์มนต์คาถาต่างๆ มันก็คือรู้ และอาจจะช่วยได้ในบางเรื่อง แต่การที่จะทำสิ่งใดให้สัมฤทธิ์ผลได้เร็วขึ้น เราจะต้องเรียนรู้ทำให้เกิดปัญญา ฉะนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด...”

ในตอนหนึ่งของหนังสือประวัติหลวงปู่ญาท่านสวน มีการบันทึกไว้ว่า..

ครั้งหนึ่งท่านมีความประสงค์อยากให้จัดสร้างเหรียญเรียนดีหรือเหรียญศรีปราชญ์ ท่านบอกว่าแต่ก่อนนี้ ครูบาเสือสมิงน้อยท่านเคยสร้างเหรียญศรีปราชญ์และนำมาให้ท่านปลุกเสกให้ เมื่อเสกเสร็จแล้วครูบาเสือสมิงน้อยจึงได้มอบถวายท่านไว้จำนวนหนึ่ง ท่านจึงได้นำเอาเหรียญนั้นไปแจกเด็กๆ ปรากฏว่า ได้ผล กล่าวคือ เด็กๆเรียนดีขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น เพราะเชื่อว่าศรีปราชญ์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด...

ลูกศิษย์ท่านหนึ่งจึงได้กราบนมัสการถามท่านด้วยความสงสัยว่า เหรียญที่ทำให้เกิดสติปัญญาเฉลียวฉลาดนั้นมีด้วยหรือและใช้คาถาอะไรปลุกเสก หลวงปู่ญาท่านสวนได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า

“ปัญญาย่อมเกิดจากความเพียร ผู้ที่มีปัญญาที่จะเป็นนักปราชญ์ได้จะต้องมีคุณสมบัติ ๔ ประการที่เรียกว่า หัวใจนักปราชญ์ คือ

๑.สุตะ หมายถึง ได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่มีสาระน่ารู้

๒.จินตะ หมายถึง การนำเอาที่ได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง มาพิจารณาหาเหตุผล

๓.ปุจฉา หมายถึง เมื่อเกิดความสงสัย ก็ให้ถามผู้รู้

๔.ลิขิต หมายถึง บันทึกความรู้เอาไว้จดจำ

ท่านจึงได้เอาหัวใจนักปราชญ์ นำมาเป็นคาถาปลุกเสกมีอยู่ ๔ ตัว คือ สุ จิ ปุ ลิ ซึ่งแม้หากผู้ใดปฏิบัติตาม ๔ ประการนั้นด้วยความเพียร บุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่า นักปราชญ์ ผู้รู้...”



อ่านตัวให้ออก บอกตัวให้ได้

ใช้ตัวให้เป็น ฝึกใจให้เย็นอยู่เสมอ

อย่าเผลอ ทำใจให้เป็นหนึ่ง...

ด้วยความตั้งใจแสวงหาความรู้ ทำให้เมื่อสิ้นพระอาจารย์หม่อน พระภิกษุสวนจึงได้มีความคิดที่จะเดินทางไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมอีก เรื่องแบบนี้เดาไม่ยากครับว่าพระภิกษุสวนต้องการไปเรียนกับใคร เพราะแวดวงเวทย์มนต์คาถาในละแวกภาคอีสานใกล้ชายแดนลาว ถือว่าเป็นเขตอิทธิพลของ “สำเร็จลุน” ปรมาจารย์ไสยศาสตร์แห่ง “วัดเวินไชย เมืองปากเซ นครจำปาศักดิ์”

ความยิ่งใหญ่ของสำเร็จลุนถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็ต้องเทียบเคียงกับ “หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า” ครับ ส่วนที่แตกต่างคงเป็นที่หลวงปู่ศุข เป็นพระเมืองไทย ส่วนสำเร็จลุน เป็นพระเมืองลาวและคำว่า “สำเร็จ” มาจากธรรมเนียมของคนลาวที่ใช้เรียกพระภิกษุที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบครับ

สำเร็จลุน ถือว่าเป็นพระปรมาจารย์ผู้ทรงอภิญญาและมีกฤษดาอภินิหารมากมาย เป็นที่เลื่องลือในแถบลุ่มแม่น้ำโขง...

เล่ากันว่ามีคนเคยเห็นสำเร็จลุนยืนสรงน้ำกลางแม่น้ำโขง ความเก่งกาจของท่านขนาดสามารถบังคับให้เรือรบของทหารฝรั่งเศสหยุดได้และเมื่อครั้งที่ทหารฝรั่งเศสให้คนมานิมนต์ท่านลงไปในเรือรบ แต่ท่านบอกว่าไม่อยากลงเพราะกลัวเรือจะล่ม แต่ก็ไม่มีใครเชื่อท่าน สำเร็จลุนท่านจึงได้ก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบปรากฏว่าเรือรบเอียงวูบทันทีจนเกือบจะล่ม เรียกว่าไม่มีใครกล้าคะยั้นคะยอให้ท่านลงเรือรบอีกเลย

และมีอยู่คราวหนึ่งท่านสำเร็จลุนได้บอกให้ลูกศิษย์ของท่านไปปอกมะละกอและหาเครื่องตำส้มตำเอาไว้ ส่วนตัวท่านเองจะไปเอาน้ำปลาจากกรุงเทพมาให้ ปรากฏว่าท่านเดินคล้อยหลังไปแป๊ปเดียว ก็เดินกลับมาพร้อมกับถือเอาขวดน้ำปลายี่ห้อแปลกๆที่ไม่เคยมีในแถบนี้มาก่อน..
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน100 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูลพฤ. - 04 ธ.ค. 2557 - 21:00.40
วันปิดประมูล พฤ. - 04 ธ.ค. 2557 - 21:22.08 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 100 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ100 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดก่อนกำหนดโดยผู้ตั้งประมูล
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
ยังไม่มีผู้ประมูล
กำลังโหลด...
Top