พระขุนแผนหน้าตะโพน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม ปี 2470 สวยเดิมๆ ปีกกว้างหายากครับ - webpra
- ประมูลพระเครื่อง
- กระดาน
- พระขุนแผนหน้าตะโพน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง น...
ประมูล หมวด:พระเกจิสายนครปฐม
พระขุนแผนหน้าตะโพน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม ปี 2470 สวยเดิมๆ ปีกกว้างหายากครับ
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง |
พระขุนแผนหน้าตะโพน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม ปี 2470 สวยเดิมๆ ปีกกว้างหายากครับ
|
รายละเอียด | พระขุนแผนหน้าตะโพน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม ปี 2470 เนื้อผงใบลานผสมดินหน้าตะโพน องค์นี้พระหนาปีกกว้างหายาก สภาพสวยเดิมๆ ไม่ผ่านการใช้ ตัวจริงแท้ดูง่าย มาพร้อมใบเซอพระแท้ของเว็ป dd-pra.com พระขุนแผนของท่าน พุทธคุณเด่นด้าน เมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ เสริมบารมีให้มีชื่อเสียงโด่งดังดั่งตะโพนนั่นเองครับ...........ประวัติ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม ท่านเป็นชาวตำบลวัดตาก้อง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ห่างจากตัวเมืองนครปฐมไปประมาณ 10 กิโลเมตร สภาพของตำบลตาก้อง เป็นทุ่งนาป่าละเมาะอยู่ทั่วไป มีหมู่บ้านราษฎรปลูกอยู่หนาแน่น ในบริเวณวัดตาก้อง เป็นหมู่บ้านกว้างใหญ่ มีบ้านเรือนอยู่หลายร้อยหลังคาเรือน มีลำคลองซึ่งเป็นแม่น้ำโบราณไหลผ่านล้อมหน้าวัดเป็นรูปคดคุ้งเหมือนเกือกม้า วัดตากล้องอยู่ตรงคุ้งแหลมนี้ หน้าวัดฝั่งข้ามคลองมีป่าช้าใหญ่ มีป่าดงหนาทึบ เป็นที่เหมาะแก่พระนักปฏิบัติ ออกไปนั่งบำเพ็ญภาวนากันในสมัยก่อน ส่วนด้านหลังวัดนั้นมีบ้านเรือนราษฎรตั้งอยู่หนาแน่น สมัยนั้นบ้านเรือนเป็นแบบเรือนไทยฝากระดานยอดแหลมเป็นส่วนใหญ่ แสดงถึงฐานะของราษฎรเหล่านี้ว่าเป็นปึกแผ่นแน่หนาพอใช้ราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 มีอาชีพทำนา หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2400 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านเกิดวันเดือนปีใดไม่มีใครรู้ เมื่อตอนท่านเกิดนั้น มีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหล่มาก พ่อแม่ก็ไม่รักใคร่ใยดี โยมผู้ชายหลวงพ่อแช่มชื่อ กลัด ส่วนโยมมารดาไม่ทราบชื่อว่าอะไร เป็นแต่ในประวัติว่าเป็นหญิงไม่สะสวย รูปร่างใหญ่ล่ำสัน ผิวดำ ข้อลำแข็งแรง ซึ่งผิดกับบิดาของหลวงพ่อแช่มที่มีรูปร่างสะโอดสะอง เจ้าสำราญ มีนิสัยเจ้าชู้ ไม่ชอบทำงาน หลวงพ่อแช่ม มีฐานะทางครอบครัวไม่ดี โตขึ้นก็ไม่ได้เข้าวัดเรียนหนังสือเหมือนลูกผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ต้องเลี้ยงวัวควายอยู่ตามท้องไร่ท้องนา เห็นแต่ทุ่งนาป่ารก ในชีวิตวัยรุ่น ท่านเคยไปเที่ยวขอทาน ทั้งๆที่ครอบครัวของท่านก็ไม่มีใครเป็นขอทาน ชาวบ้านตำบลตาก้อง ก็ไม่มีครอบครัวไหนมีอาชีพขอทานเลย จากการออกขอทานนี้ทำให้ท่านเก็บสะสมเงินที่ได้และนำมาให้มารดาของท่านจำนวนมากพอสมควร หลวงพ่อแช่ม เมื่อครั้งเป็นหนุ่ม เกิดความคิดอยากจะทดลองแตะต้องสตรีสาว และคนที่หลวงพ่อแช่มขอลองสัมผัสดู ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้องสาวของท่านเองแท้ๆ กำลังเติบโตเป็นสาวเต็มตัว อายุ 17-18 อกโตกำลังเต่งตั้งเต็มทรวง เพราะพงศ์พันธุ์ของหลวงพ่อแช่มนั้น ผู้หญิงอกเต็ม นมโตทั้งนั้น ในประวัติบอกว่า วันนั้นหลวงพ่อแช่มนั่งอยู่ใกล้ๆน้องสาว ท่านเกิดความคิดอย่างไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ อาจจะอยากพิสูจน์ความจริงเพื่อให้ให้หายความสงสัย จู่ๆท่านก็พูดขึ้นว่า “ไหน กูขอจับนมมึงที” ไม่ทันที่น้องสาวจะอนุญาตหรือปฏิเสธ หลวงพ่อแช่มก็ฉุดผ้าคาดอกให้หลุดออก สมัยนั้นยังใช้ผ้าคาดอกแทนการใส่เสื้อ ยกทรงก็ยังไม่มี พอเห็นถนัด และน้องสาวไม่ทันได้ปัดป้องอะไร พี่ชายก็ตะปบนมน้องสาวทั้งสองข้าง บีบคลำเอาจนน้องสาวเอ็ดลั่นว่าพี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมา หลวงพ่อแช่มหัวเราะก๊ากใหญ่ “นมมึงแข็งๆเหมือนน่องกู” ท่านพูด ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อแช่ม หรือชายหนุ่มที่ชื่อแช่มคนนี้ ไม่ได้สนใจสตรีเพศอีกเลย จะเกลียดขยะแขยงเอาด้วยซ้ำเมื่อเห็นสตรีมีระดูประจำเดือน อยู่มาจนอายุ 20 ปี หลวงพ่อแช่มก็ปลงตกว่าชาตินี้อยากจะบวชเรียนในพุทธศาสนา วิถีชีวิตเช่นนี้จะเรียกว่าหลวงพ่อแช่มเป็นผู้กำหนดเอง หรือว่าเหตุการณ์แวดล้อมช่วยกำหนดแนวทางชีวิตให้ ก็อาจจะพูดได้ทั้งสองอย่าง แต่แน่นอนหลวงพ่อแช่มท่านกำหนดทางเดินของท่านเองตามสภาพแวดล้อมที่จูงใจให้ไปเหมือนพายเรือตามลำแม่น้ำกว้าง ก็อาจเลือกทางเอาว่าจะพายเรือเลาะไปทางใด ชีวิตของคนทุกคนก็คงจะไม่ผิดกัน เรากำหนดแนวทางของเราเองภายใต้ความอำนวยการของเทพดาฟ้าดิน หลวงพ่อแช่มหรือหนุ่มแช่มก็ได้เข้าวัด หัดกราบ หันคลานเข่า หัดว่าขานนาคและเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา โดยใช้เงินที่ได้สะสมมาจากการขอทานที่ฝากไว้ที่มารดาของท่านนั่นเอง หลวงพ่อแช่มบวชแล้ว ก็มิได้จำพรรษาที่วัดตาก้อง ได้ติตามพระอุปัชฌาย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะเนียงแตก ตำบลมาบแค อำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งมีชื่อว่า อำเภอพระปฐมเจดีย์ในสมัยก่อน อุปัชฌาย์ของหลวงพ่อแช่มคือ พระครูโสอุดร(หลวงพ่อทา) เป็นเจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐมด้วย ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ เชี่ยวชาญทางสมถกัมมัฏฐาน มีพลังทางจิตกล้าแข็ง ท่านทำเครื่องรางของขลังไว้แจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา หลวงพ่อแช่มเมื่อมาอยู่กับหลวงพ่อทา ซึ่งเป็นลูกหลานของชาวเวียงจันทน์ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยรัฐกาลที่ 3 จึงได้ทำทุอย่างที่จะปรนนิบัติอุปัชฌาย์ ด้วยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขอเรียนวิชาการทุกอย่างจากหลวงพ่อทาให้จงได้ จึงได้เข้ารับใช้อย่างใกล้ชิด หลวงพ่อแช่มเฝ้าปรนนิบัติวัตรถากอาจารย์อยู่ด้วยการรับใช้และนวดเฟ้นเช่นนี้เป็นเวลานานถึง 3 พรรษา จึงได้ถ่ายทอดคาถาอาคมจากอาจารย์สมความปรารถนา หลวงพ่อทา พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อแช่ม ท่านสั่งสอนหลวงพ่อแช่มว่า ป่าช้าเป็นป่าชั่วช้า ป่าเลวทราม เพราะเป็นป่าผี ป่าที่มีแต่ซากศพ แต่ถ้าพระไปอยู่ ป่าช้าก็เป็นป่าดี เป็นป่าแก้ว ป่าช้าที่พระอยู่จึงเรียกว่าป่าแก้ว เป็นป่าที่สงบ สงัด ร่มเย็น เพราะเป็นป่าที่แสวงหาธรรมของสาธุชน เป็นป่าที่ปฏิบัติธรรมของลูกพระตถาคตและเป็นป่าบำเพ็ญสมณธรรมของพระอริยสงฆ์ หลวงพ่อแช่มก็ได้ซึมซับเอาแนวความคิดนี้มาจากพระอุปัชฌาย์ มีคำพังเพยพูดกันสมัยนั้นในวงการพระภิกษุว่า “พรรษาหนึ่งกำลังผ่อง พรรษาสองกำลังงาม พรรษาสามกำลังดี พรรษาสี่แก่กล้า พรรษาห้ากำลังแก่” คำของชาวบ้านก็ว่า “ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม” หมายความว่า การคิดจะสึกก็สึกแต่หนุ่มๆ อย่าบวชอยู่จนแก่ เพราะฉะนั้นคนสมัยนั้นที่ไม่คิดจะบวชจนตายคาผ้าเหลือง มักจะสึกเมื่อล่วงพรรษาที่สาม “กำลังงาม” แต่ถ้าอยู่ถึงพรรษาสี่แล้วก็ว่าจิตใจกำลังแก่กล้าทางธรรม ถ้าบวชอยู่ถึงห้าพรรษา ท่านว่า กำลังแก่ คือเริ่มจะแก่เสียแล้ว หลวงพ่อแช่มนึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกไปแล้วไปทำไร่ทำนากันอยู่กลางแดดต้องลำบากลำบน หลวงพ่อแช่มก็เลยตัดสินใจว่า ชีวิตนี้ เราจะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต หลวงพ่อแช่ม บวชอยู่ต่อมาจนถึงพรรษาที่ห้า คำพูดที่ว่า “พรรษาห้ากำลังแก่” นั้น สำหรับหลวงพ่อแช่ม ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ว่า “พรรษาห้ากำลังหาญ” คือมีจิตใจมีความมั่นคง อาจหาญในทางธรรมยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก หลวงพ่อแช่มใช่ว่าจะไม่เคยคิดสึก ท่านเคยคิดอยากจะสึกออกมาช่วยมารดาทำนาอยู่เหมือนกัน แต่คิดแล้วคิดอีกและตกลงใจว่าไม่สึกดีกว่า มารอีกอย่างหนึ่งที่เป็นภัยต่อเพศพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์คือกิเลสมาร กล่าวคือสตรีเพศ เคยมีผู้หญิงลูกสาวชาวบ้านคนหนึ่ง เป็นสาวอายุมากแล้ว ฐานะมั่งคั่งแต่ยังไม่มีคู่เชยชิด ก็หมั่นเข้าวัดเข้าวา หมั่นทำบุญทำทานถือศีลฟังเทศฯอยูเสมอ แต่งกายสวย ทองหยองเต็มตัว หมั่นไปหมั่นแวะเวียนมาหาหลวงพ่อแช่มอยู่เสมอมิได้ขาด หลวงพ่อแช่มตอนนั้นก็ยังเป็นพระหนุ่ม วัยเบญจเพส ก็เคยคิดเล่นๆเหมือนกันว่าหญิงคนนี้มีใจรักเรา ถ้าเราสึกออกไปแต่งงานกับหญิงคนนี้ ก็คงมีความสุขพอสมควร เพราะเป็นคนมีฐานะดี แต่ในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็สามารถเอาชนะกิเลสมารมารัวนี้ได้สำเร็จ พระประธม เป็นภาษาเก่า แปลว่า พระเจดีย์ใหญ่ ก็คือ พระปฐมเจดีย์ เมื่อหลวงพ่อแช่มไปสักการะพระ ปฐมเจดีย์ ท่านก็เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระปฐมเจดีย์ กล่าวเป็นคำปฏิญาณว่า พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน หลวงพ่อแช่ม มองเห็นเวรภัยและความทุกข์ในการมีคู่ครอง มีบุตรภรรยา จึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ชีวิตนี้จะขออยู่เป็นโสด จะขอบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา จะขอตายในผ้าเหลือง ไม่สึกออกไปครองเรือน ครองทุกข์อีกแล้วในชีวิตนี้ หลวงพ่อแช่มได้เดินทางไปสักการะพระธาตุและรอยพระพุทธบาทหลายแห่งทในประเทศพม่า หลวงพ่อแช่ม เดินทางกลับผ่านทางจังหวัดกาญจนบุรี เข้าสุพรรณบุรี แล้ววกกลับมาทางนครปฐม โดยการเดินทางเท้าทั้งสิ้น ไม่ได้ขึ้นรถลงเรืออาศัยเกวียนหรือช้างม้าแต่อย่างใดเลย เมื่อถึงวัดพะเนียงแตกแล้ว หลวงพ่อแช่มก็เข้ากราบนมัสการท่านอุปัชฌาย์ พระครูโสดร(ทา) หรือเรียกกันง่ายว่า หลวงพ่อทา หลวงพ่อวัดพะเนียงแตก หรือพลวงพ่อเสือ หลวงพ่อท่านไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เปรยๆว่า เกิดเป็นคนก็ยาก บวชเป็นพระก็ยาก บวชแล้วได้เดินธุดงค์ก็ยาก ไม่เสียทีที่เกิดหรอกชาตินี้ พระศาสนาของเราได้พระภิกษุอย่างคุณ พระศาสนาไม่ตกอับหรอก ว่าเท่านั้นท่านก็นิ่ง ไม่พูดอะไรอีก หลวงพ่อแช่มจึงนมัสการว่า กลับมาครั้งนี้ก็คิดจะกราบลาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดตาก้อง เพื่ออยู่ใกล้ญาติโยมทางโน้น หลวงพ่อทากล่าวว่า ไปอยู่วัดตาก้องน่ะ ต้องระวังให้ดี ที่นั่นเขาเป็นพระบ้านทั้งนั้น เราเป็นพระป่า เมื่อมาจำพรรษาอยู่ที่วัดตาก้อง หลวงพ่อแช่มถูกพระภิกษุบางพวกเพ่งโทษคอยจับผิดท่าน นินทาว่าร้ายท่านว่าเป็นพระภิกษุพิเรนทร์ ไม่เหมือนพระชาวบ้าน ไม่ร่วมสังฆกรรมกับพระสงฆ์ในวัด ไม่สวดมนต์ทำวัตรเย็นเช้า ไม่ลงฟังสวดพระปาฏิโมกข์ในวันพระ ไม่บิณฑบาตโปรดสัตว์ ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส และหุงข้าทำครัวกินเหมือนชาวบ้าน จนในที่สุดก็มีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษหลวงพ่อแช่มถึงเจ้าคณะจังหวัด เมื่อเจ้าคณะจังหวัดมาทำการสอบสวนอธิกรณ์นี้ หลวงพ่อแช่มก็สามารถแก้ข้อกล่าวหาแต่ละข้อได้ด้วยถ้อยคำฉะฉาน หลวงพ่อแช่มคุยพลางหัวเราะพลางกับพวกศิษย์ว่า “กูว่าอิติปิโสถอยหลังบทเดียว ก็ถอยหลังไปแล้ว” การสอบสวนของเจ้าคณะจังหวัดครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้หลวงพ่อแช่มกลับมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้น ท่านยิ่งทำอะไรแผลงๆหนักมือขึ้น หลวงพ่อแช่มแปลกกว่าพระชาวบ้านรูปอื่น คือท่านมีวัวฝูงใหญ่เกือบร้อยตัว เป็นวัวที่หลวงพ่อแช่มรับถวายไว้บ้าง รวมทั้งที่ท่านชอบลักษณะท่านขอซื้อมาบ้าง ต้องทำคอกขนาดกว้างใหญ่ให้อยู่ วัวของหลวงพ่อแช่มนั้น เป็นที่เลื่องลือในเรื่องอ้วนพี ผ่องใส และสวยงาม ในตำบลตาก้องและตำบลใกล้เคียง ไม่มีวัวใครอ้วนและงามเหมือนวัวหลวงพ่อแช่ม ยิ่งไปกว่านั้น หลวงพ่อแช่มก็ยังทำนาเหมือนชาวบ้าน ทุกเช้าหลังจากตื่นนอนฉันเช้าตั้งแต่ 6 นาฬิกาแล้ว ท่านจะออกไปทำทุกวัน เว้นวันพระ 8 ค่าเท่านั้น จึงจะหยุดพักทำนา นอกจากนั้นแล้ว หลวงพ่อแช่มก็ยังเลี้ยงหมีและหมูป่าเอาไว้ทำหน้าที่ต้อนวัวให้กลับวัด คือพอได้เวลา พวกหมีและหมูป่าก็จะเดินไปอ้อมหน้าฝูงวัว ไปเที่ยวดุนเขา ดุนหน้า วัวตัวโน้นตัวนี้ให้หันกลับเพื่อร่วมฝูงกลับวัด วัวตัวใดหลงแทะเล็มหญ้าเพลินไป เมื่อหมีและหมูป่ามาเดินดุนหน้า มันก็ไม่โกรธ มันจะเลิกกินหญ้าหันกลับ ดูเหมือนมันจะรู้ภาษากันดี คราวหนึ่งหลวงพ่อแช่มเดินทางไปในเมืองนครปฐม ไปถูกหมากัดเอา จนเท้าบวม เดินไม่ได้อยู่หลายวัน บางคนว่าเป็นหมาบ้า แต่ไม่เห็นท่านเป็นอะไร ในที่สุดท่านก็ล้มป่วย เป็นการป่วยครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต นอนป่วยอยู่หลายวัน มีอาการไข้ ฉันไม่ได้ ในที่สุดท่านก็ถึงแก่มรณภาพ ณ กุฏิศาลาดินมุงจากของท่านนั้นเอง วันที่ท่านมรณภาพ วัวของหลวงพ่อแช่ม มีอาการหงอยเหงา เศร้าโศกเหมือนมันมีสัญชาติญาณรู้เหมือนกันว่า หลวงพ่อร่มโพธิ์ร่มไทรของมันสิ้นบุญแล้ว ซึ่งต่อไปมันก็ไร้ที่พึ่งและตกระกำลำบาก บางตัวยืนนิ่งซึมอยู่คอตก บางตัวก็นอนคางตีดินเฉยอบู่ บางตัวก็ร้องไห้ เพราะมีน้ำตาไหลเป็นทาง ทุกวันพระเวลาประมาณ 6.30 น. มันเคยออกจากคอกไปเป็นฝูงเพื่อไปหาหญ้ากิน แต่วันนี้มันนั่งยืนนอนเงียบเหงากันทุกตัว ไม่เคลื่อนไหวกันเลย หลวงพ่อแช่ม บวชมาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนอายุ 90 ปีเศษ เป็นเวลานานถึง 71 ปีเศษ ที่ได้ใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเอง แก่ประชาชน แก่พระพุทธศาสนา แก่ผู้คนผู้มีทุกข์มามากมาย........... |
ราคาเปิดประมูล | 100 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 600 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 100 บาท |
วันเปิดประมูล | พ. - 03 ส.ค. 2554 - 00:44.02 |
วันปิดประมูล |
พ. - 03 ส.ค. 2554 - 17:10.50
|
ผู้ตั้งประมูล |
|
แชร์หน้านี้ |
|
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน |
600 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
|
เพิ่มครั้งละ | 100 บาท |
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดก่อนกำหนดโดยผู้ตั้งประมูล
เคาะประมูล
กรุณาทำการ Login เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ |
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา |
ราคา |
เวลา |
|
500 บาท
|
พ. - 03 ส.ค. 2554 - 00:48.13 |
|
600 บาท
|
พ. - 03 ส.ค. 2554 - 00:48.17 |
Top