รบกวนช่วยดูสมเด็จหน่อยนะค่ะ - webpra

หัวข้อ: รบกวนช่วยดูสมเด็จหน่อยนะค่ะ

กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

รบกวนช่วยดูสมเด็จหน่อยนะค่ะ
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
pariyapat
ตั้ง: 42 ตอบ: 62
คะแนน: 0
รายละเอียด

ช่วยบอกหน่อยนะค่ะว่าสมเด็จองค์นี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ

รบกวนช่วยดูสมเด็จหน่อยนะค่ะ รบกวนช่วยดูสมเด็จหน่อยนะค่ะ
โพสต์เมื่อ ศ. - 10 ก.ย. 2553 - 18:33.12
ความคิดเห็นที่ 1:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
pariyapat
ตั้ง: 42 ตอบ: 62
คะแนน: 0
รายละเอียด

เพิ่มรูปค่ะ รบกวนช่วยฟันธงหน่อยนะค่ะ

โพสต์เมื่อ ศ. - 10 ก.ย. 2553 - 18:36.24
ความคิดเห็นที่ 2:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
notino
ตั้ง: 22 ตอบ: 169
คะแนน: -16
รายละเอียด

พระสมเด็จของคุณจัดอยู่ในประเภท สมเด็จวัดพระแก้ว หรือ วังหน้า

ซึ่งเจ้าของน่าจะเป็นข้าราชการระดับสูง ( ไม่งั้นคงไม่เลี่ยมทอง )

ประวัติ ความเป็นมาของวังหน้า

ก่อนที่จะกล่าวถึงวัดพระแก้ววัง หน้า หรือวัดบวรสถานสุทธาวาส ขอย้อนไปถึงวังหน้าเสียก่อน เพื่อเป็น การปูพื้นฐานไปสู่วัดพระแก้ววังหน้า โดยจะตัดทอนเรียบเรียงจากพระราชนิพนธ์เรื่อง "ตำนานวังหน้า" ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังหน้านี้แต่เดิมเรียกกัน อย่างเป็นทางการว่า "พระราชวังบวรสถานมงคล" แต่ชาวบ้านหรือคนทั่วไป มักเรียกกันว่า "วังหน้า" เพราะเป็นวังที่ประทับ ของ พระมหาอุปราชซึ่งเรียกกันว่า "ฝ่ายหน้า" เลยเรียกที่ประทับของพระมหาอุปราชว่า วังฝ่ายหน้าและวังหน้า วังหน้า หรือพระราชวัง บวรสถานมงคล ของกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เริ่มสร้างขึ้นพร้อมกับพระราชวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง เมื่อปีขาล พ.ศ.๒๓๒๕ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกเอาที่สองแปลง ของ กรุงเทพฯคือแปลงหนึ่งอยู่ระหว่างวัดโพธิ์กับวัดสลัก (วัด มหาธาตุฯ) เป็นที่สร้างวังหลวง ส่วนที่อีกแปลงหนึ่งอยู่เหนือวัดสลักขึ้นไป จนถึงปากคลองคูเมืองด้านเหนือ (บริเวณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภุณฑ์สถานแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลป และโรงละครแห่งชาติ) เป็นที่สร้างพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า เพื่อให้เป็น ที่ประทับของพระอนุชาธิราชคือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช พระราชวังหน้านี้เมื่อแรก สร้างก็เป็นเพียงเครื่องไม้มุงหลังคาจาก เพื่อให้ทันพิธี ปราบดาภิเษก ต่อมาภายหลังจึงได้ปลูกสร้างอาคารต่างๆเป็นการถาวร โดยเริ่มจากการ สร้างปราสาทกลางสระ เหมือนอย่างพระที่นั่ง บรรยงก์รัตนาสน์ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่เกิดเหตุขบภอ้ายบัณฑิตสองคนเสียก่อนเลยไม่ได้สร้าง แต่ต่อมา ก็ได้สร้างพระราช มณเทียรเป็นที่ประทับ สร้างพระวิมานสามหลังเรียงกันตามแบบอย่างของ กรุงศรีอยุธยา ร.ศ.๒๓๓๐ ได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (หรือพระที่นั่งพุ ทไธศวรรย์) ขึ้นเพื่อ ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ ฝาผนังเขียนรูปเทพชุมนุม และเรื่องปฐมสมโพธิเป็นพุทธบูชา สถานที่ต่างๆในพระราชวังบวรหรือวังหน้า นอกจาก จะมีพระราชมณเฑียรแล้ว คงมีสิ่งอื่นเช่นเดียวกับวังหลวง คือ โรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุน คลังเป็นต้น เพราะแต่เดิมนั้นบริเวณวังหน้ากว้างขวางมาก เฉพาะด้านทิศตะวันออกไปจดถนน ราชดำเนิน ด้านเหนือจดคลองคูเมือง ด้านตะวันตกจดแม่น้ำ เจ้าพระยา ด้านใต้จดวัด มหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์กล่าวกันว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆในวังหน้าในอดีตทำอย่าง ปราณีตบรรจง เพราะกรมพระราชวังบวรฯตั้งพระราชหฤทัยว่าถ้าได้ครอบครองราชสมบัติ จะประทับอยู่ที่วังหน้าตามแบบพระเจ้าบรมโกศไม่ไปประทับวังหลวง อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่สร้างในครั้งรัชกาลที่ ๑ หรือ สมัยกรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทนั้น สร้างด้วยไม้จึงหักพังและรื้อถอนสร้างใหม่เสียเป็นส่วนมาก จนไม่ เห็นเค้าโครงในปัจจุบัน นอกจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์หรือพระที่นั่งพุทไธศวรรย์เท่านั้น ที่ยังคงฝีมือสมัยรัชกาลที่ ๑ อยู่จนทุกวันนี้

เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดฯให้สถาปนา สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบัณฑูรย์น้อยเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์เป็น พระมหา อุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไปประทับที่วังหน้า หลังจากวังหน้าว่างอยู่ ๗ ปี นับแต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทสวรรคต เมื่อกรมพระราชวัง บวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จไปประทับวังหน้า ก็มิได้สร้างอะไรเพิ่มเติมมากนัก เพียงแต่ แก้ไขซ่อมแซมของเก่าบางอย่าง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดพระแก้ววังหน้า ในเวลาต่อมา สิ่งหนึ่งคือที่บริเวณวังหน้าชั้นนอกด้านทิศเหนือตรงที่ตั้ง "วัดบวรสถาน สุทธาวาส" หรือ"วัดพระแก้ววังหน้า" นี้ มีวัดเก่าอยู่วัดหนึ่งชื่อวัดหลวงชีแต่คงไม่มีหลวงชีอยู่กุฏิชำรุดทรุดโทรม จึงโปรดฯให้รื้อกุฏิหลวงชีเสียหมดทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย กรมพระราชวังบวร มหาเสนานุรักษ์ดำรงพระยศพระมหาอุปราชอยู่ ๘ ปี ก็เสด็จ สวรรคตที่พระที่นั่ง วายุสถานอมเรศร์ ในวังหน้า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๐ ครั้น ถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ วังหน้าว่างมาอีก ๗ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสถาปนา กรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้ทรงปรับปรุงซ่อมแซม สิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นใหม่หลายอย่าง ที่สำคัญคือทรงซ่อม พระที่นั่งสุทธาสวรรย์แลัวเปลี่ยนนามเรียก "พระที่นั่งพุทไธศวรรย์" มาจนทุกวันนี้

สมเด็จกรุวังหน้านี้ แรกเริ่มเดิมทีนั้นได้มีการจัดทำวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า ) ที่เรียกกันทั่วไปว่า “พระสมเด็จ กรมท่า และพระสมเด็จวังหน้า” ผู้ริเริ่ม ในการสร้างคือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) (กรมท่าใน รัชกาลที่ ๔) เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี ( เจ้าคุณกรมท่าในรัชกาลที่ ๕) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้าในรัชกาลที่ ๕) สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเร ศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี พระอุตรเถระ ( หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ) หลวงพ่อทัด ( สมเด็จพระพุ ฒาจารย์ ) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทราราม หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี และพระเกจิอาจารย์ที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งย่านฝั่งธนบุรี และวัดต่างๆในระแวกนั้นอีกหลายรูป โดยได้รวบรวมช่างสิบหมู่ที่สุด ยอดในทางฝีมือ การช่างอันวิจิตร (ประณีตศิลป์) โดยรูปแบบ ต่างๆนั้นในฝีมือของช่างแต่ละคนได้ ทำเป็นพิมพ์พุทธปฏิมา ( องค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ) ในรูปแบบ ปรางค์ต่าง ทั้งพิมพ์พระประจำวัน และอริยาบทของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และอีกมากมายตามจินตนาการของช่างนั้นๆ

โดยพระสมเด็จ กรุวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า) และกรุวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)นั้นตามประวัติการสืบค้นนั้นแบ่ง การสร้างออกเป็นหลายช่วงระยะเวลาคร่าวๆดังนี้

๑.สำหรับในปีพ.ศ.๒๔๐๘ นี้แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ศัทธา เท่าใดนักเกรงว่าจะเป็นเจตนาสร้างความเชื่อถือขึ้น ต่อมาได้ วิเคราะห์ทางนามโดยผู้เชี่ยวชาญปรากฎว่าเป็นพระพิมพ์ซึ่งแกะแม่แบบโดยพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวปลุกเสกที่พระราชวังหน้าโดยเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในการนี้ได้อาราธนาบรมครูโลกอุดรปรมาจารย์แห่งพระราชวังหน้าซึ่งเป็นอทิสมาน กาย คือกายที่มองไม่เห็นถ้าไม่แสดงอภินิหารมาเป็นองค์ประธาน


๒.ในปี ๒๔๑๑ นั้นจัดว่าเป็นพระพิมพ์ไม่เป็นทางการ บางส่วนที่ปะปนอยู่มีการจารึกปี พ.ศ. ที่สร้าง เช่น พ.ศ.๒๔๐๘ ย่อม เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ พ.ศ ๒๔๑๑ เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕ เพราะแม่แบบที่เตรียมไว้ แต่สร้างพระพิมพ์ไม่ทันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรค์คต ในปีพ.ศ.๒๔๑๑และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเสวยราชสมบัติใน ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ซึ่งเป็นปีเดียวกันนี้เองไม่ประวัติว่าสร้างพระพิมพ์ปัญจสิริแจก

พระวังหน้าโดยแรกเริ่มมี การจัดสร้างจากพระบัณฑูรย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (ท่าน เป็นพระราชโอรสองค์ต้นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า) โดยเริ่มมีการสร้างและออกแบบขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของเจ้าพระยา ทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งแม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และใช้ผงวิเศษของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในคราวนั้น ได้มอบให้แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และประชาชนโดยทั่วไปไม่ปรากฏหลักฐานว่ามี การบรรจุกรุที่ใด เจ้าพระคุณสมเด็จฯพุทธาภิเษก พระเทพโลกอุดรเป็นองค์ประธานในการพุทธาภิเษกโดยอทิสสมานกาย ภายในวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า)

๓. สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ – ๒๔๑๕ จวบจนเจ้าพระคุณ สมเด็จฯได้สิ้นชีพิตักษัย เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถาน มงคล จึงได้ร่วมกันสร้างพระพิมพ์สมเด็จขึ้น และบางพิมพ์ได้ใช้แม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และช่างสิบหมู่ได้แกะแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ บางส่วนได้ผสมผสานกับพิมพ์นิยมของวัดระฆัง และใช้ผงวิเศษของเจ้าพระคุณ สมเด็จฯเพื่อเป็นสิริมหามงคลเนื่องในการเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งในคราวนั้นได้มอบถวายแด่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศา นุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เหลือได้ บรรจุในสุวรรณเจดีย์ ฐานชุกชีองค์พระประธาน และพระ พิมพ์อีกส่วนหนึ่งซึ่งได้เก็บไว้เก็บไว้บนเพดานพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัด พระแก้ววังหน้า ) เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เป็นองค์ประธานในการพุทธาภิเษก คณะสงฆ์ ประกอบด้วยหลวงพ่อทัด (สมเด็จพระพุฒาจารย์) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี และพระเกจิ อาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบในยุคนั้นอีกหลายรูปร่วมนั่งปรกด้วย ณ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)


๔. ได้มีการจัดสร้างเรื่อยมาจนในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ สร้างพระสมเด็จเพื่อเป็นมหามงคลการฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และบูรณะ วัดวาอารามต่างๆหลายแห่งสำหรับวัดพระศรีรัตนศาสดารามก็ได้อยู่ในจำนวนนี้ ด้วยและยังมีการก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นบางส่วน พระพิมพ์ซึ่งเก็บรวบรวมไว้บนเพดานพระที่นั่งได้ถูกลำเลียงเข้าไปบรรจุกรุบน เพดานพระอุโบสถ ฐานชุกชีพระ ระเบียง หลังองค์ครุฑ สุวรรณเจดีย์ย่อไม่สิบสอง ซึ่งตอนนี้เองเป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นได้ สิ้นชีพิตักษัยได้นานถึง ๑๐ ปีแล้วข้าราชการรุ่นเก่าก็ปลดเกษียณกันไป ข้าราชการรุ่นใหม่ก็เข้ามาทุกกรม ทุกกระทรวง ผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้รับการแจกพระพิมพ์สมเด็จก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงพร้อมใจกันทำเรื่องราวร้องเรียน เจ้าพระยาภา นุวงศ์โกษาธิบดีขอให้ทำการแจกพระพิมพ์ที่ทันเจ้าประคุณสมเด็จฯ ปลุกเสกปลุกเสกอีกทั้งวรรณสีขาวตามความนิยมทั้วไปในขณะนั้น ก็มีคำนิยามว่า “พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า” เกิด ขึ้น อีกครั้งหนึ่งหลังจากพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าในรัชกาลที่ ๔ เริ่มหายไปเนื่องจากสร้างขึ้นจำนวนน้อยปรากฏตามหลักฐานว่าพระพิมพ์สมเด็จ เจ้าคุณกรมท่าที่ได้รับแจกในสมัยนั้น ไม่มีพิมพ์ปัญจสิริ และพิมพ์สีของธาตุวิเศษห้าประการจะหาดูก็ทั้งยากมีแต่ชื่อล่ำลือกัน

๕. จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๒๘ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคตด้วยโรควักกะพิการ(ไต) และมี พระราชก ฤษฏีกายุบตำแหน่งอุปราชวังหน้า โอนช่างสิบหมู่แห่งพระราชวังหน้าไปรวมกับช่างสิบหมู่วังหลวง คำว่าช่างสิบหมู่แห่งพระราชวังหน้าต้องสลายตัวไปตามปริยาย และยังมี การสร้างพระพิมพ์ต่อเนื่องกันเรื่อยมา

๖. ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุได้ ๔๐ พรรษา ได้ทรงมี พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ทางพระราชวังหลวงได้จัดสร้างพระพิมพ์ขึ้นที่เป็นพระพิมพ์บุทองใบใหญ่ก็มี ที่ประดับอัญมณีก็มีด้านหลังจะปรากฏพระสาทิสลักษณ์พระมัสสุ (หนวด) งามจงเข้าใจเถิดว่า ปีพ.ศ. ก็ยืนยันแล้วว่าทรงมีพระชนมมายุ ซึ่งได้บ่งบอกว่าพิมพ์พระที่มีลักษณะนั้นว่าไม่ทันเจ้าประคุณสมเด็จฯ สำหรับเหรียญที่สร้างในครั้งนั้นได้มีการสั่งสร้างที่ประเทศอิตาลี และยังมีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อแจกเป็นที่ละลึกสำหรับชาวจีนที่ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอีกด้วย ได้แก่ชาวจีนย่านสำเพ็งเป็นส่วนใหญ่

๗. ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้มีการเสด็จพระราชกุศลโปรดเกล้าให้หล่อพระพุทธชินราชจำลองให้เป็นประธาน ณวัดเบญจมบพิตร และได้มีการจัดสร้างพระพิมพ์พุทธชินราชขึ้นซึ่งเป็นวรรณะปัญจสิริ และวรรณะอื่นๆเป็นที่ระลึกอีกด้วย

๘. ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ทรงเปิดพระบรมรูปทรงม้าได้มีการจัดสร้างพระพิมพ์พระบรมรูป ทรงม้าแจกเป็นที่ระลึก ซึ่งนับได้ว่าเป็นการสร้างพระพิมพ์รุ่นสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ ๕

๙. เข้าสู่รัชสมัยในรัชกาลที่ ๖ ได้มีการจัดสร้างพระพิมพ์สืบทอดมาจากพระคณาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ เช่นพระพิมพ์ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่เป็นเนื้ออิฐก็มี เป็นเนื้อปัญจสิริก็มี พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลานก็มีล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือช่างหลวงทั้งสิ้นโดยหลวง พ่อเงินสร้างที่กรุงเทพแล้วนำไปแจกที่พิจิตร ไม่ใช่สร้างที่พิจิตรแล้วมาแจกที่กรุงเทพฯ โปรดจงเข้าใจมา ณที่นี้

๑๐. ครั้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประเทศไทยส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยฝ่ายพันธมิตร พระคณาจารย์ต่างๆได้จัดสร้างพระพิมพ์ถวายหลายวัด เช่นวัดจันทร์สโมสร วัดประชาระบือธรรม วัดอินทรวิหาร ส่วนที่เป็นพิมพ์พระนาคปรกมีคำว่า “สุโขวิเวโก” และทางวัดเทพศิรินทราวาส นำมาเป็นแม่แบให้เจ้าคุณนรฯอธิษฐานจิตก็เป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั่นแหละ พระที่เหลือจาการแจกทหารอาสาสมัครในครั้งนี้ได้นำเข้าไปบรรจุในสุวรรณเจดีย์ คือพระเจดีย์ทององค์ใหญ่ปิดเปิดได้ ก็หลอยมีส่วนทะลักออกมาด้วย

จะขอกล่าวให้ได้รับความรู้เพิ่ม เติมว่าการพุทธาภิเษกพระพุทธรูป หรือพระเครื่องซึ่งเป็นวัตถุมงคลนั้น มงคลที่ถูกบรรจุในวัตถุมงคลเรียกว่า “อิทธิ คุณ” อิทธิ คุณ คือ พระคาถาในทางไสยศาสตร์ หรือไสยเวททั้งสองด้านคือขาวและดำ ส่วนคำว่าพุทธคุณ คือ คำกล่าวพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า หรือการกล่าวถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า

ส่วนในเรื่องของแบบพิมพ์นั้น มีมากมายหลายพิมพ์ทั้งเป็นพิมพ์ดั้งเดิมหรือพิมพ์นิยมของพระสมเด็จวัดระฆัง และที่แกะแบบพิมพ์ขึ้นมาใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าอยู่หัว พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ เจ้ากรมช่างสิบหมู่ และฝีมือช่างสิบหมู่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีความวิจิตรบรรจง มีความลงตัวทั้งรูปแบบและรูปทรงสวยงามเป็นอย่างยิ่ง โดยแกะจากไม้มะเกลือ หินลับมีด หินอ่อน ปูน และโลหะ (สันนิษฐานว่ามีมากกว่าหนึ่งร้อยพิมพ์) สมเด็จวัดพระแก้ว หรือพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าปัญจ สิรินี้มีมากมายหลายสิบพิมพ์ เช่น พิมพ์ใหญ่ 3 ชั้น แบบสมเด็จฯ, พิมพ์ ทรงเจดีย์, พิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์ฐานแซม, พิมพ์ฐานคู่, พิมพ์ปรกโพ, พิมพ์ไชโย, พิมพ์พระพรหมรังสี, พิมพ์พระแก้วมรกต, พิมพ์นาคปรก, พิมพ์สมาธิเรือนแก้วซุ้มรัศมี, พิมพ์ซุ้มกอ ,พิมพ์ชฏาพรม พิมพ์เกศบัว ตูม พิมพ์เศียรบาตร, พิมพ์อกร่องหูยาน, พิมพ์อรหัง, พิมพ์โบราณ เช่น พระรอดลำพูน พระลีลาเม็ดขนุน พระซุ้มกอ พระนางพญา พระผงสุพรรณ พระปิดตา พระสังกัจจายน์ และพิมพ์พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ มีทั้งแตกลายงาและไม่แตกลายงา

ส่วนมวลสารก็คัดสรรจากหลายประเทศ เช่น จีน พม่า และประเทศในแถบยุโรป ถือเป็นสุดยอดแห่งมวลสาร ในด้านการย่อยสลายมวลสารต่างๆนั้นค่อนข้างที่จะมีความทันสมัยมากกว่ายุคแรกๆ แต่การบดมวลสารนั้นยังใส่ครกตำตามเดิมแต่ก่อนกาล จึงได้มวลสารที่มีความละเอียดสม่ำเสมอ และได้จำนวนมาก ระยะเวลาในการตำนั้น ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ส่วนจำนวนการสร้างที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงอันเนื่องด้วยไม่ได้มีการจดบันทึก ไว้เป็นหลักฐาน คงเป็นการสันนิษฐานด้วยหลักเหตุผลมากกว่าซึ่งประมาณว่าจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นประถม (เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ อันเป็นที่ยึดถือแห่งจำนวนการสร้างพระของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ฯ และเป็นที่นิยมเลื่อมใสศรัทธราแก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน)

 

โพสต์เมื่อ ส. - 11 ก.ย. 2553 - 11:53.56
ความคิดเห็นที่ 3:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
NARUDOM
ตั้ง: 48 ตอบ: 316
คะแนน: 14
รายละเอียด

                                      ขอบคุณมากครับ คุณ notino  

โพสต์เมื่อ ส. - 11 ก.ย. 2553 - 23:46.32
ความคิดเห็นที่ 4:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
pariyapat
ตั้ง: 42 ตอบ: 62
คะแนน: 0
รายละเอียด

ขอบคุณมากค่ะ ที่ให้ความรู้

โพสต์เมื่อ อา. - 12 ก.ย. 2553 - 08:14.38
Top