
หัวข้อ: เห็นข่าวนี้ แล้วคิดถึงความหลัง พระท่านเจ้าคุณ นร ฯ ดัง แล้วเกือบดับ
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
http://www.thairath.co.th/content/region/127949
ลองไปอ่านดูนะครับ ไม่รู้ลิงค์ติดเปล่า โลว์เทคอ่ะผม
ย้อนนึกกลับไปช่่วง ที่ข่าวนี้กำลังดังๆ วงการพระ แทบล่มเลย
ไ่่ม่ว่า เกจิฯ องค์ใดก็ตาม พลอยฟ้าพลอยฝน คนเมินเป็นแถว
แต่ก็นั่นแหล่ะ วัฒนธรรมพระเครื่องของไทยเรา ที่ไม่เหมือนชนชาติใดในโลก ฝังหัวกันมายาวนาน รุ่นต่อรุ่น
ในที่สุดวงการ ก็คืนสภาพ เดิมได้ พระของท่าน เจ้าคุณนรฯเองก็ได้รับการแสกน กันเป็นรุ่นๆไป
เปิดโปงกันหนุกหนานบานตะไท บางรุ่น เรียกรุ่น ซุกส้วม ก้มี คือสร้างเสร็จ ไม่มีที่เก็บ ต้องเอาไปยัดไว้ในห้องน้ำ
บางรุ่น สร้างแล้วเสกโดยวิญญาน ท่านเจ้าคุณฯ 555+
รุ่นไหน บริสุทธิ์สมบูรณ์ ก็ได้นับการยอมรับ เล่นหาสะสมกันต่อๆมา พระแท้ ไม่แพ้มาร (ว่ากันยังงั้น)
พูดถึงรุ่นซุกส้วม นึก ถึง พระ รุ่นหนึ่ง ที่เคยดังขนาดคนเหยียบกันตาย
เพื่อนผมมัน เรียกรุ่น ซุกใต้เตีียง
คงจำคราว วัดปากน้ำรุ่นหก บูมแบบถล่มเมืองได้ เพื่อนผมมันก็ไม่ยอมน้อยหน้า อาศัยเงินถึง มีรถขับเอง
ไอ้นี่ เช้าถึุงเย็นถึงวัดปากน้ำ ตามล่าหาของดี แบบ ทุ่มเทจริงๆ ไปที มีพระมาอวดคราวนึงๆ ก็นับไม่ไหวแระ(นับรุ่นนับพิมพ์ก็ไม่ไหว)
วันนึงมันก็มาเล่าแบบหน้าตาเหยๆ ว่า วันนี้ไปวัด แม่ชีลากกูเข้ากุฏิ (...เฮ๊ยยยย เวงละ ลากไปทำไรวะ ในกุฏิ)
อ๋อ ขาประจำโว๊ย ( เวงกำ .... ขาประจำซะด้วย) พออีเข้าไปในห้อง อีก็โก้งโค้งก้มลง (กูจะบ้า ) ข้างเตียงของอี (เล่าต่อได้มะนี่)
เอามือควานเข้าไปใต้เตียงดึงกล่องออกมา ใบบะเริ่ม (เห้อ โล่งอก....นึกไปซะไกล) เปิดออกมา พระ ปากน้ำรุ่นหก เต็มกล่องเลยว่ะ
อีบอกอั๊วว่า พอตากแห้งเสร็จ ก็เเซะ มาเก็บไว้สำหรับ ให้ขาประจำ
ที่ต้องซ่อนไว้ใต้เตียง เพราะ คนต้องการมาก ไม่ซ่อนดีๆ คนแย่งหมด
55+ มันบอก นอกจากจะเรียก รุ่น ซุกใต้เตียงแล้ว สำหรับกู มันเป็น รุ่น สุดท้าย ว่ะ(สุดท้ายที่จะเช่า)
เรื่องฉาวๆ ของพระเครื่อง ใน ยุค ปัจจุบัน จึงไม่ใช่ของแปลก เพราะเคยเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
เ็ป็นเรื่องของ ความรัก โลภ หลง โดยแท้ ผ้าเช็ดตีนยันตระ ยังเคย ประดิษฐานคู่พระพุทธรูป ในบ้านใครหลายคนมาแล้ว
(ผมด้วย....T_T)
เล่าถึงยันตระ นี่ นึกๆก็อนาถตัวเอง สมัยนึง
เล่าให้อ่านกันขำๆ เกี่ยวกะอภินิหาร ของท่านละกานนนน
อิตอนนั้น ได้ข่่าว ท่านจะมาโปรดมวลญาติโยม ที่วัดสวนแก้ว ของท่าน อาจารย์พระพยอมนั่นแหล่ะ
ผมกะเฮีย ข้างบ้าน ไม่ยอมตกเทรน นัดกันลุยถึงวัด เลย ได้อาศัยรถเฮียเขาไป สบายเลย
แม่แก ลูกแก ตัวเฮียแล้ว ก็ผม แหกขี้ตา ตั้งกะตีสามมัง ยกพวก นั่งรถไปวัด ไกลไม่ใช่เล่น จากบ้าน แต่ด้วยความศรัทธา ถึงสู้ๆ
ต่างคนเตรียมของไป ถวายใส่บาตร ทีไม่ลืม คือ ผ้าขาว คนละสองสามผืน กะไปให้ ท่านยันตระ เหยียบ จะได้เอามาเก็บไว้บูชา
ตอนนั้นฮิตมาก ผ้าเช็ดตีนยันตระ ยกเช็ดหัวกัน เป้นมงคลมากกก
ไปถึงวัด โอ้โฮ ญาติโยม นั่งเป็นแถวยาวเหยียด วกวนไปตามทางเดินของวัด (ใครเคยไปวัดสวนแก้วคงเคยเห็นทางเดินในวัด )
ไม่รอช้า ผมกะเฮียเมียลูก รีบ หาที่ว่าง แทรกเข้าไป นั่งรอมั่ง ปูผ้าขาวพร้อม รอตีนท่าน
อะอ้าว!! คนข้างๆที่มาก่อน หันมามองขำๆ บอกว่า ท่านเดินผ่านไปแล้ว คนใกล้ๆ ก็บอกไปแล้วๆ ต่างหยิบผ้าขาวฝ่าเท้ายัตตระออกมาอวดด้วยความภูมิใจ
บ๊ะแล้ว!! อดเลยเราขับรถกันมาตั้งไกล
แต่ๆๆๆๆ...........แม่จ้าววววว
นั่นๆ ท่านพระพยอม เดินนำ ยันตระ ย้อนกลับมาทางเก่า ท่่าน เดินจ้ำพรวดๆ แบบเร่งรีบ มากๆ
เฮียกะเมียแก ประเภทจิตใจอ่อนไหวง่าย ถึงกะเปล่งวาจาด้วยความตื้นตันว่า ท่านเมตตราแรงเหลือเกินรู้ว่าพวกเราผิดหวังอุตสาห์ย้อนกลับมา
แต่ๆๆๆ(อีก) ท่านยันตระ ภายใต้การเดินนำของ ท่านพระพยอม เดินจ้ำอ้าวๆ ถึงหน้าพวกเรา ก็ไม่ได้หยุ ด แต่กลับ รีบเร่งฝีเ้ท้า ซอยถี่เลยผ่านหน้าไป
อ้าว พวกเราก็ตาค้าง มองตามท่านไป งงๆวุ๊ย นึกว่า มาโปรดพวกเรา
อ๋ออออออ.....เหอๆๆ ท่านยันตระ เดินแบบเร็วจ้ำพรวดๆ ไปถึงหน้าห้องๆหนึ่ง ก็ผลุบหาย เข้าไปในห้อง
โหยยย....ห้อง สุขา นั่นเอง สุขาๆๆๆธรรมดา
ไอ้ที่เดินเร่ง จ้ำเอาๆ คง ปวดเต็มที่ หน้าด่านใกล้แตก นั่นแระ
555+ สักพัก ก็เสร็จ ท่านก็เปิดประตูเดินออกมา ลีลาลาศเพี้ยงพญาหงส์ งามสง่าน่าเลื่อมใสเหมือนเดิม
ผิดกะ อีตอน ปวดสุขา ที่เดินแบบ พรวดๆ กลัวขี้แตก ดูไปก็ เหมือนคนธรรมดานั่นแระ
ทีสุด ท่านก็ย้อนกลับมา ฝากรอยตีนไว้กะผ้าขาว ของ อาเฮียแล้วครอบครัว รวมทั้งผมด้วย ฮิฮิ
นี่ถ้า ท่านไม่ปวดขี้กระทันหัน ผมกะเฮีย คงไม่ได้รอยตีนท่าน ไว้บูชาแหงๆ ปาฏิหารแท้ๆ เลย
กระทู้นี้คง ไม่ค่อยมีคนกล้าเม้นท์ นัก คงกลัวตกนรกนั่นเอง
ผมก็กลัวนะ แต่ เพราะ ความช่างโม้ ทำไงได้ รู้ไร ก็ชอบ มา ขยายความ แบบนี้แระ
อ่านเอาขำๆ ละกันนะ
ว่างๆ ไปแวะ เยี่ยมน้องกุมารร้านผมมั่งนะ น่ารักๆ ทั้งนั้น
ชอบลีลาการเขียนของท่าน "รินแรงรัก" มากครับ รู้สึกว่าเผ็ดในตัวและแฝงแง่คิดไว้ กล้าที่จะออกมาเขียน ชอบจริงๆครับ ขอคาระวะหนึ่งจอก ส่วนเนื้อหานั้นเป็นเรื่องโลกีย์วิสัยของมนุษย์ หากเพชรแท้ก็ยังเป็นเพชรแท้วันยังค่ำ หากเพชรลิเก(สมัยเด็กๆมีลิเกมาเล่น ผมชอบมุดไปใต้โรงลิเก เก็บเพชรลิเกที่หลุดจากชุดลิเกเวลาเขาฟันดาบกัน ด้วยความไม่รู้สีรู้สาว่าเพชรจริงเป็นอย่างไร ก็ภาคภูมิใจไปกับเพชรลิเกนั้น)และถึงแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน เพชรลิเกก็เป็นเพชรลิเกไม่มีราคาค่างวดแต่อย่างใดครับ
ท่าน ทนายน้อย น่าจะเป็น คนรุ่นเดียวกะผมนิ 55+ แบบ เคยรับรู้ข่าวสารรุ่นเก่าๆ ผ่านความจริงความลวงมาพอสมควร
ชาวนักเล่นพระ นี่ คนที่ทำใจเก่งที่สุด คือ พ่อค้ามืออาชีพ ถือคติพระดี คือพระที่ขายได้ สบายเลย มองไปที่กำไรอย่างเดียว ไม่ต้องคิดมาก
คนไม่เคยขายพระ ก่อนจะขายพระซักองค์ บางที่ต้องไปจุดธูปบอกก่อนเลย เชื่อมะ 55+
การใช้หลักวิทยาศาสตร์ หลักความจริง เข้าไปจับ บางทีก็ช่วยให้เราทำใจ ตัดอกตัดใจ ได้บ้างพอสมควร
คลายความผิดหวัง เสียดาย เสียใจ ไปได้บ้าง
แต่นั่นแระ ของแบบนี้ ไม่เคยเข็ด เจอแล้วเจออีก ทำใจไปเรื่อยๆ
คนรุ่นเก่า ไป คนรุ่นใหม่ก็เข้าแทนที่
เืพื่อนรุ่นพี่ผมคนหนึ่ง หยุดซื้อหยุดขาย พระ บอกว่า เพื่อหาความสงบ แล้วก็ที่มีก็มาก และสุดๆแล้ว
เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีความสุข เพราะพระที่เก็บไว้(เด็ดๆแพงๆ) ไม่รู้จะทำไง ลูกหลาน ไม่สนใจ
นอนตายตาไม่หลับอีก 55+

มันดีมีอีกไหม ท่าน 55+ ชอบคำว่า ผ้าเช็ดตีน จริงๆ ให้ตายเหอะ
ขอบคุณ ท่าน kuekul นะครับที่ชอบ
วันนี้ นึก ไปถึง รุ่นพี่ คนที่บอก หยุดซื้อ หยุดขาย พระซะที เพื่อความสงบสุข (ในความเห็นที่ 4)
อย่างที่เล่า ที่สุดท่าน ผู้นี้ ก็ หาความสูขจริงๆไม่ได้ ด้วยวัยใกล้ฝั่ง แต่ ดันอมพระเครืองแพงๆเด็ดๆไว้จำนวนมหาศาล
แต่ลูกหลานไม่สนใจ ทำท่า จะ มีการแตกกรุ หลังตายแหงๆ
การไดุ้คุยกํบท่านผู้นี้ ได้ความรู้แปลกๆแยะมาก ท่านช่างเล่าซะด้วย เสียดายไม่เจอกัน จะชวนมาสมัครเป็นสมาชิกเว็บพระซะเลย
เรื่องนึงที่ ผมฟังจากท่าน แล้ว เห็นว่าน่าคิด คือ เรือง ยิงไม่เข้า ยิงไม่ออก (คงกะพันชาตรี)
ทำไมพระเกจิฯเ่ก่าๆ รุ่นเทพๆ ถึงได้ ดังนักเรื่อง ยิงไม่เข้า ยิงไม่ออก
ท่านผู้เล่า นอกจากจะเป็นนักเลงพระ แล้ว ท่านยังเป็นนักเลงปืนอีก ด้วย
่ท่านมีวิเคราะห์ไว้ดังนี้
ปืนจะยิงออกไม่ออก หลักใหญ่ คือ คุณภาพของลูกปืน
ลูกปืนสมัยก่อน(รุ่นเก่า) นอกจาก การผลิตจะไม่มาตรฐาน แล้ว การเก็บรักษา มักไม่ถูกต้อง
ตอนผลิต ยัง ไม่ได้คุณภาพ ส่วนผสมดินปืน ชนวนจุดระเบิด อะไรพวกนี้ ไม่มาตรฐานพอ
ในช่วงได้ลูกปืนมา ก็อาจเก่าเก็บ ได้มาแล้ว เก็บไม่ดี เปียกชื้น วางลูกปืนไม่ถูกต้อง
เหล่านี้ ทำให้ คูณภาพ ของลูกปืน ลดลง ยิงไม่ออก เชื้อประทุ(เรียกถูกมะนี่?) ไม่ทำงาน
หรือพอเชื้อประทุทำงาน ดินปืนดันบอด ซะอีก ลั่นแล้ว ลูกปืนหล่นปุที่ปากกะบอกซะงั้น (พระเครื่องที่ลอง ก็ดัง ไป)
ผมไปดูที่เก็บปืนของท่านผู้นี้ ท่านเก็บ ลูกปืน โดยวางตั้งไว้ ให้หัวกระสุน อยู่ด้านบน
เหตุผล คือให้ ดินปืน ตกลงไปอัดอยู่ที่ก้นปลอกลูกปืนตลอดเวลา
เวลายิงจะลั่นทุกนัด
เพราะฉนั้น สมัยนี้ ดังทาง ยิงไม่ออกยิงไม่เข้า จึงยาก พระของเกจิฯรุ่นเก่าๆ ที่เคยมีชื่อเสียงด้านนี้
เจอ ปืนสมัยใหม่ กะนักยิงตัวจริง ยิงกระจุย ซะนับไม่ถ้วน (เสียของเปล่าๆ ของแพงๆทั้งนั้น)
พูดถึงนักยิง ตัวจริง ก็นึกไปถึง เรีอง แคล้วคลาด อีก นอกจาก ยิงไม่ออก ยิงไม่เข้า แล้ว ยังมี ยิงไม่โดน อีก
เรื่องยิงไม่โดน(แคล้วคลาด)นี้ ท่านผู้รู้ท่านนี้ ท่านวิเคราะห์ ไว้ แสบมากว่า
ยิงไม่โดน ก็เพราะคนยิง มัน ยิงไม่แม่น เหรอไม่ก็ ยิงไม่เป็น
คนสมัยก่อน มักไม่ได้รับการฝึกฝน การใช้ปืน ท่ายิงมือเดียวแบบคาวบอย เหรอพระเอกหนังไทย
ท่ายิงแบบนั้น เอามาใช้ยิงจริงๆ โดนยาก
ฟังผมเล่า แล้ว ฟังหูไว้หู นะครับ ไม่ได้อยากมาทำลายศรัทธาใคร
บอกแล้ว ไง เป็นคนขี้โม้ 55+
เคยดูข่าวเจ้าพ่อ ตัวกลั่น อมสมเด็จวัดระฆัง ไว้ในปาก เจอ พี่เอ็ม เข้าไป ยังตายแหงแก๋
ช่วงนั้น ชาวบ้านวิเคราะห์ กันไปสารพัด ว่า กันถึง ขนาด สมเด็จที่อม ปลอม ก็มี
พวกบ้านิยายลึกลับ ก็ว่า มีการเปลี่ยนพระปลอมมาให้เจ้าพ่ออม โดย ลูกน้องที่ทรยศ .... ว่ากันไปโน่น
แต่ให้ท่านผู้รู้ของผม วิเคราะห์มั่ง ก็คงแบบ นี้ คือ เล่น พี่เอ็ม16 โดยมือยิงมืออาชีพ
โดนโดดเหยียบหลังคารถ จ่อเหนี่ยวลงมาหมดแม็ก แบบนั้น กูว่าไม่ใช่เรื่องพระปลอม หรอก
แต่ ว่า ปืนมันจริง มากกว่า คนยิง มัน ก็ยิงเป็นจริงๆด้วย......จบข่าว
เข้ามาซุ่มอ่านบทความของท่านพี่ รินแรงรัก เจ้าค่ะ
เขียนได้พริ้วเชียว......มืออาชีพจริงๆๆ
เดี๋ยวมีเวลาจะแวะไปเยี่ยมลูกกุมารที่ร้านนะค๊าๆๆๆๆๆๆ
เป็นความคิดเห็น ( บทความ ) ที่ให้แง่คิด สะกิดใจจริงๆ ครับ
อ่านแล้ว ได้คิดได้นึก ถึง...........สัจจธรรม หลายๆ เรื่อง.................ที่น่าคิดมากๆ ครับ
ขอบคุณจากใจครับผม
มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ ถ้าพระดีๆไม่มีเสื่อมครับ
ชอบลีลา.การพิมพ์.ของพี่มากคับ อ่านสนุก..ได้แง่คิด ดี //
คุณ น้องกุ้ง ท่าน พรวศิน ท่านหลวงตา และท่าน ตี๋-ซุ้ง แวะมาอ่าน บอกว่าชอบ ซะด้วย
ดีใจครับ มีคนอ่าน แล้ว ชอบ
โม้ต่อ เรื่อง ยิงไม่ออกยิงไม่เข้า (ขยายความอีกนิด)
สมัยผมหนุ่ม หากันนัก ประสาวัยคนอง เรื่องของดี ละ ต้อง ยิงไม่ออก(มหาอุต) ออกก็ไม่โดน(แคล้วคลาด) อ๊ะๆ!! ถึงโดน ก็ ไม่เข้า(คงกระพัน)
แปลกนะ คนหนุ่มรุ่นๆ กลับไม่ค่อยสนใจ สายเสนห์ จะเห็นว่า พวกนี้ สักยันต์ หนังเหนียว หาของ แบบนักเลงใช้กันซะส่วนมาก
แต่พอย่างเข้า วัยผู้ใหญ่ หรือกลางคน ก็ จะ หันมาเน้น เรื่่องโชคลาภ หาผ้ายันต์หาของจำพวก เรียกโชคลาภ เรียกทรัพย์ ทำมาค้าขายดี เฮงๆ
พวกสุดท้ายเกือบ ใกล้ฝั่ง นี่แระ ชอบนัก (แอบๆ) เล่น ของ เมตตรามหาเสนห์ เริ่มมีเงินทองเก็บ ชักเตลิด
อย่าสงสัยครับ ว่า พวกนี้มีเงิน แล้วทำไมไม่รู้จักใช้เงินเสริมเสน๋ห์ตรงๆไปเลย
พวกนี้เขาใช้เงินเป็น ครับ ถ้าตะกรุดกามๆดอกละ100-200 บาทใช้ได้ผล (ลองใช้ให้หายข้องใจ)
เรื่องอะไรต้องควักเงินสดๆ หรือกดบัตรเครดิต ซื้อใจสาว ให้โง่ มันเปลื่องมากก
เล่นตะกรุด ซะเลย เผื่อฟลุ๊ค ถูกกว่าแยะ 555+ ประหยัดดี มีลุ้นๆ
พวกประมูลของ กามๆ ในกระดานเครื่องรางของขลัง นี่ ผมสงสัย ว่า จะวัยประมาณผมทั้งนั้น ฮิๆ
อันนี้เป็นข้อสังเกตุส่วนตัวนะครับ ใครอย่าจำไปเป็นเยี่ยงอย่าง
โม้ต่อ เรื่อง ยิงไม่ออก ออกก็ไม่โดน โดนก็ไม่เข้า ดีกว่า
ปืนและลูกปืน ในยุคนี้ เทคโนโลยี่ การผลิต พัฒนา ไปไกลมาก
แช๊ะ เปรี้ยง แช๊ะ เปรี้ยง โดนเข้า โดนเข้า ทั้งนั้น
ถ้าได้ คนยิง ที่มีการฝึกฝนการใช้อาวุธมา นัดไหนนัดนั้น หวังผลได้ทุกนัด
เคยอ่าน นิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่องนึง
จำชื่อคนแต่งไม่ได้ น่าจะเป็น ท่าน สุจิต วงศ์เทศ นี่แระ ผิดถูกขอ อภัย
เรื่องมีว่า
สมัย พระนารายณ์ ครั้งกรุงศรีอยุธยา ไทยเรา ส่งคณะ ฑูต ไปเจริญสัมพันธไมตรี กะ ประเทศฝรั่งเศส
คณะฑูตพี่ไทยเราเดินทางไปถึง ก็ได้รับการต้อนรับ จาก กษัตรย์ และ ชาวฝรังเศส เป็นอย่างดียิ่ง
ไปถึงบ้านเขาเมืองเขาทั้งที ก็ต้องมี ของไปแสดง โชว์ ให้พวกฝรั่งตาค้าง กันมั่ง
คณะฑูตไทย ขอเวที กลางแจ้ง ขนาดใหญ่พอสมควร แล้วยกคณะ ขึ้นไปนั่ง บริกรรม หมู่ สวดคาถา กันแบบเคร่งขลัง
เชิญ กษัตริย์ กะขุนนาง ฝรั่ง ทั้งหลาย มาชมกัน
หัวหน้า คณะฑูตไทย บอกให้ ทางการฝรั่ง จัด กองทหารแม่นปืน มากองหนึ่ง ให้ ประจำที่ข้างเวที เล็งปืนทุกกระบอก ไปที่ คณะฑูตไทย
ซึ่งกำลัง ทำพิธี บริกรรมคาถา อยู่บนเวที
พอให้สัญญาน ขอให้ ทหารทุกคน ระดมยิงปืน เข้าใส่ คณะฑูตไทยได้เลย.....ยิงแบบไม่ต้องนับ ไม่ต้องยั้ง
คนฝรั่งทั้งหลายแห่กันมาดู แน่นขนัด
พอ บริกรรมได้ที่ ของขึ้นครบคน หัวหน้าคณะฑูตไทย ก็ให้สัญญาน
กองทหารฝรั่งที่เตรียมปืนไว้ ก็ระดมยิง เข้าใส่ คณะฑูต บนเวที หูดับตับไหม้
สิ้นเสียงปืน ทุกคนในคณะฑูต ลุกขึ้นยืน โบกมือให้ประชาชนชาวฝรั่ง อย่าง สง่างาม
เสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหว จากชาวฝรั่ง ดังกระหึ่มขึ้น แทนเสียงปืนที่เพิ่งสงบไป
กษัตริย์ฝรั่ง ทรงลูกยืน ปรบมือให้เกียรติ คณะฑูตไทย
แล้วหันไปกระซิบ กะ ท่านเสนาบดีคนสนิทว่า "ทำตามที่ฉันสั่งใช่ไหม"
ท่านเสนาฯ ทูลว่า " พระเจ้าขา หม่อมฉัน สั่งให้แกะหัวกระสุนออกทุกนัด ก่อนจ่ายให้ททารพวกนั้น
ที่ยิงเสียงดังเปรี้ยงปร้างนั้น หามีหัวกระสุนไม่ "
งานนี้ ทางการฝรั่ง เขากลัว พลาด เกิดมี ฑูต ตายสักคน มันจะยุ่ง เลยป้องกันไว้ก่อน
5555+ เลยยังพิสุจน์ มะได้ จนบัดนี้ ว่า พี่ไทย เหนียวจริง หรือไม่จริง
เชิญอ่านบทความ เรื่อง การจัดการ กล่อง ในร้านพระ ได้นะครับ
ผมเขียนแปะไว้ที่ กระดานบทความ กำลังเลื่อนลงๆๆ จะตกหน้าไปแล้ว
ความจริงเรืองนี้เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา บางท่านบอก รู้มานานแล้ว
แต่สำหรับผม กว่าจะรู้ ก็ หมด พา่ราฯ ไปเป็นกำเลย
ไปตาม ลิงค์ นี้ ได้เลย อ่านแล้วสงสัย ถามเพิ่มเติมในกระทู้นี้ก็ได้ครับ

โม้ต่อ เรื่อง พระเรื่่่องเจ้า ดีกว่า หรือไม่ดีหว่า ? เสียวๆยมบาล จัง (ภาษาเกรียน เขาว่า พวก ปากหมาท้านรก)
คุยถึง เรื่อง ยิงไม่ออก นี่ ผม นึกไป ถึง เรื่อง ปืนแตก ซึ่งมันคาบเกี่ยวกันเกี่ยวกับการลองยิงพระเครื่อง
มีหลายรุ่นดังๆ เรียก รุ่น "ปืนแตก" คือ มีการยิงใส่ พระ แล้ว นอกจากจะไม่ออก ยัง ถึงกับ ปืนแตก อีก
มีการ ถ่ายรูป ปืนที่แตก มาโชว์กันด้วย ผม เห็น สองสามครั้ง ใน นิตยสารพระ กะ นสพ.
เท่าที่จำได้ สองสามครั้งที่เห็นภาพ (ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการณ์เดียวกันไหม) ทั้งหมด เป็นปืนประเภทลูกโม่ ทั้งนั้น
เลยชักคิดสงสัยว่า ถ้าเป็น ปืนแบบสลัดปลอกกระสุน(กระเด็น)ออก ที่เรียกว่า ออโต้ มันจะเคยมี ประวัติการยิงพระ แล้วแตกไม๊ ??
การที่ปืนแตก มัน อาจต้องวิเคราะห์ไปที่โครงสร้าง ของปืนด้วย กระมัง
กระสุนปืนลูกโม่ เมื่อยิงแช๊ะแล้วลั่น ตัวปลอกมันคาอยู่ในตัวปืน(ลูกโม่) ถ้า ไม่ระเบิดดันหัวกระสุน ออกไป ก็คงระเบิดตัวเอง กะตัวปืน ให้ชำรุด(แตก)
ไม่ใช่นักเล่นปืนซะด้วย เลยไม่แน่ใจ
เพื่อความชัวร์ต่อไปจะลองพระ ต้องเล่น ปืนออโต้ ดีที่สุด เพราะระบบมันทันสมัยกว่า คงแตกยาก แรงถีบแรงสบัดก็น้อยกว่า
กระสุนก็ใหม่กว่า พระของท่านใดผ่านการทดสอบ ก็ ดังแบบจริงๆแท้ๆไปเลย
ไม่ต้องให้พวก ปากหมาท้านรก มันคาใจ 55+
เข้ามาติดตามอ่านจ้าๆๆๆๆๆ เยี่ยมยอดจริงๆเลย
นอกจาก มหาอุตคลาดแคล้วคงกระพันแล้ว
บางคนก็ หวังจะได้ อย่างอื่นจากพระเครื่อง เช่น เมตรา มหานิยม มหาระรวย มหาโชคมหาลาภ ฯลฯ
เกจิฯองค์ได้ ได้ชื่อว่าบรรจุ วิชชา เหล่านี้ลงใน วัตถุมงคลของท่านได้ ก็เป็นที่แสวงหา เสาะหา ดิ้นรนหา ของเหล่าผู้ยังมีกิเลสทั้งหลาย( ข้าพเจ้าด้วย)
เปิดร้านพระในเว็บ ยังมีการเจิมฮาร์ทดิส ซะด้วย ของผม นี่ ต้องเรียก กุมารฯ ช่วย ประสานพลังกะ หุ่นพยนต์ พ่อท่านคล้อย (เคล็ดลับนะนี่)
ก็พอขายได้แระน่า ราคาก็ดีกว่าตะก่อน ที่ เอาไปปล่อยให้แผงพระ นิ เฟซทูเฟซ คนซื้อก็ได้ของถูก คนขายก็ได้ราคา(พอประมาณ)
พูดถึงเรื่องขายพระทางเว็บนี่ รูปภาพสำคัญมาก ภาพชัดๆ ตัดสินใจง่ายขึ้น บางร้านผมเห็นมีการวงกลม จุดชำรุด บนองค์พระด้วยให้เห็นชัดๆ น่าชมเชยมาก
คุยเรื่องเมตตรามหานิยม นี่ ผมว่าน่าแปลกนะ คือ ผู้ชายเรา หาของกามๆเสน่ห์แรงๆ เพื่อใช้กะหญิงอื่นซะงั้น555+
กะเมียตัวเอง มัก ไม่ได้ผล
เพื่อนผมนี่ ลูกอมสารพัดอาจารย์(พวกมวลสารดอกทอง ละชอบจัง) แต่เจอฝาหม้อเมียจานบินเข้าคิ้วแตก ถามมันว่า ตอนเจอฝาหม้อ มึงไม่ได้แขวนพระเหรอ
มันก็ว่า แขวนครบทั้งที่คอ ที่เอว งงเหมือนกัน ทำไม คิ้วแตก
ดูมัน เสือกสงสัยว่าทำไมไม่เหนียวซะอีก แทนที่จะสงสัยว่า ทำไม เมียไม่เมตตราร่อนฝาหม้อใส่ซะคิ้วแตก

555 ยิ่งอ่าน ยิ่งมัน ให้แง่คิดเยอะดีคับ มันส์พะยะค่ะ

... ยิ่งอ่าน ยิ่งมัน มันส์พะยะค่ะ เอาอีก เอาอีก เอาอีก ครับ..
ซู๊ด.......ด............................ด........................ยอด..........ด................................ด
ท่าน nadgtz ท่าน พลวิริโย ท่าน บ.ธนา แวะมาเยี่ยม บอกว่าชอบด้วย ขอบคุณครับ
อ่านกระทู้ขี้โม้ ผมแล้ว อย่าหมดศรัทธา นะครับ แบบท่าน ทนายน้อยท่าน(ความเห็นที่ 3) ว่า เพชรลิเก เก็บนานแค่ไหน ก็ยังเป็นเพชรลิเก ราคาก็ถูกๆ
เพชรแท้ ตกลงไปในคอห่านชักโครก ยังต้องล้วงเก็บ(ของมันแพง) เอามาล้างขัดถู ราคาก็ยังคงเดิม
ซื้อ มือถือมือสอง ระวัง แบบตกน้ำมานะครับ 90% ตกส้วมมาทั้งนั้น 55+
เรื่องที่ผมเล่า เป็นเรื่องจริงๆ (ขอยืนยัน) แต่มาเล่าแบบ ใส่สีตีไข่ ให้อ่านสนุกๆเท่านั้น
พูดถึง วิชาที่บรรจุในพระเครื่อง แต่ละ รุ่น สมัยก่อนจะเน้นเป็นอย่างๆไป
เช่่น ใน ชุดเบญจภาคี อันเป็น พระสุดยอดความฝัน ของนักเล่นพระ แต่บางคนขี้เกียจฝันเพราะ มันก็แค่ฝันๆ ที่ไม่เป็นความจริง
แต่ละองค์ ในชุดเบญจฯ ก็เน้น พุทธคุณ ไปคนละอย่าง (เกจฯโบราณ ท่าน ทำไมไม่เสกแบบเหมารวมครบๆไปในองค์เดียวก็ไม่รู้ นิ )
อย่าง สมเด็จฯ วัดระฆัง หรือ สมเด็จฯ บางขุนพรหม ท่าน เน้นไปทาง เมตตรามหานิยม
พระรอดมหาวัน ท่านเน้นไปทาง รอด ปลอดภัย
พระนางพญา ก็เน้นไปทางวาสนาบารมี
พระทุ่งเศรษฐี ก็ เน้น ไปทาง ทรัพย์สินเงินทอง มึงมีกูแล้วไม่จน ( กูมี กูขายเอาตังค์ ดีกว่า ไม่จนแน่ ฮิๆ มีแล้วไม่จนจริงๆ)
สุดท้าน คือ ผงสุพรรณ ที่ เน้นไปทาง มหาอุต คงกระพัน
เพื่อนๆ คนไหนใส่ ครบชุด เวลาเจอ โจทย์ ต้องอมให้ถูกองค์นะครับ คือต้อง อม ผงสุพรรณ
เวลายิงฟันตีกัน จะได้ หนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้า
อย่าดันไปอมของแพง แบบเจ้าพ่อที่ผมโม้ไว้ (ความเห็นที่ 6) ที่หยิบสมเด็จฯ อม เลยเจอ พี่เอ็มเข้าไปหมดแม็ก ตัวเป็นรูพรุนเลย
เรื่องพระสมเด็จฯ ของ หลวงพ่อโต วัดระฆัง นี่ ผมว่า คนไทย ไม่ว่า รวยจน ระดับไหน ก็รู้จักทั้งนั้น
ใครๆก็อยากได้ คนที่มี ก็หวงแหน อย่างสุดๆ ทั้งที่ องค์ที่ตัวมี ก็เป็นแค่สมเด็จในความฝันซะส่วนมาก
บางคนยึดมั่นเชื่่อถือ องค์ของตน แบบ ถวายหัว
ผมเคยเปิด แผงขายหนังสือ ก็จะมี หนังสือ พระเครือง จำหน่าย หลายๆฉบับเป็นธรรมดา
อย่าง ดัชนีพระ ลานโพธิ์ การันตี ฯลฯ สารพัด นส.พระนี่ ผมอ่านฟรีไม่จำกัดเวลาทั้งนั้น 55+
ความที่ขาย นส.พระ และอ่าน ฟรี เป็นตั้งๆ ใครเข้ามาร้านผม ก็จะเห็นผมนั่งอ่าน นส.พระ อยู่ สุดแท้ เล่มใหม่ออกใหม่
ซีั่งก็ออกใหม่แทบทุกวัน เพราะ ทำกันหลายเจ้า พระเครื่องของแถม นส.พระนี่ ตกค้าง อยู่ที่ผมเป็นลังๆ เลย
คนมักเข้าใจว่า ผม ดูพระเก่ง ชำนาญเรื่องพระเครือง
เลย มีคนมานั่งคุย ด้วยทุกวัน ก็เรื่องพระนี่แหล่ะ ผมเป็นคนชอบฟัง ไม่ขัดคอเออออไปหมด เลย มีขาประจำแยะ
จะมี พวก เอา สมเด็จฯ มาให้ ชมดู แยะมาก ไม่เว้นแต่ละวัน ผมว่านะ คนไทยทุกคน ต้องมีสมเด็จฯ ฝันๆ ไว้ในครอบครองทั้งนั้น
เอามาให้ชมให้ดู ถามว่า องค์นี้แท้ไหม ดีไหม
555+ ดูเป็นซะเมื่อไหร่...เวงกำๆ บอกว่าดูไม่เป็น ก็ไม่เชื่ออีก
หาว่ายักท่า หวงความรู้ อ่านหนังสือพระแยะๆ แค่ สมเด็จฯ ดูไม่เป็นไม่เชื่อหรอก
โห...แค่อ่าน นส.พระ แยะ แล้วดูสมเด็จฯได้ จะบ้าตาย
บางคน (แยะด้วย) ไม่มาแบบ ให้ช่วยดูพระแท้ไม่แท้ แต่เขาจะมีพระแท้ มาเลย( สมเด็จฯในฝัน)
ขอส่ง ความเห็น แค่นี้ ก่อนครับ กลัว คอมฯ ดับกระทันหัน เสียดายพิมพ๋มาตั้งแยะ
คอมฯ ก็เก่า คน ก็แก่ ฮิๆ
โม้ต่อ เรื่องสมเด็จฯในฝัน
เมื่อคนเชื่อว่าผมเป็นเซียนพระ(เพราะอ่าน นส.พระเครื่องแยะ....ก็เปิดแผงขายหนังสือนินา)
เลยได้ดู สมเด็จฯ ตาแฉะเลย มีคนเอามาให้ดู บ่อยๆ
สมเด็จฯ ในฝันของหลายๆคน ล้วนแต่ เป็นความหวัง ว่าจะ แท้ มีราคา มีพุทธคุณ ทั้งนั้น
บางองค์ ตกทอดมาจาก บรรพบุรุษ ปู่ยาตายายโน่น (เก่าแน่)
บางท่าน มาถึง ก็ เล็คเช่อ ยกตำราประกอบ มีภาพสมเด็จฯ ติดรางวัลงานประกวด มาเทีียบซะด้วย
เพื่อจะอธิบายให้ผมฟัง ว่า พระองค์ที่ท่านสวมคอ อยู่ แท้
พิมพ์ทรง เนื้อหา หนึกนุ่ม คราบกรุ กรอบกระจก ปูไต่ ตอกตัด ฯลฯ
ท่าน บรรยาย ภาพ พระในคอท่านประกอบรูปพระติดรางวัล เป็นฉากๆ ผมก็ได้แต่อ่าปากหวอ....ครับๆ
แปลกนะครับ ทั้งที่อ่าน นส.พระเครือง มาเป็น ร้อยๆเล่ม
มีคนมา อธิายสาูธิต รีวิว ให้ความรู้ ก็นับว่าแยะ มาก
จนป่่านนี้ ผมก็ยังดู สมเด็จฯ ไม่เป็น อยู่ดี.....โง่มากนะเรา
คนที่เอาสมเด็จฯในฝัน ที่ เขายึดมั่นว่า ใช่แน่แท้แหงๆ มาให้ดู ก็หลายคน
บางองค์ก็เป็นพระประจำตระกูล ตกทอดกันมา
แต่ส่วนมาก พวกนี้ จะมีแค่ องค์ เดียว เอามาอวดมาโชว์
มีอยู่คน สุดยอดจริงๆ แกมีมาโชว์ ถึง 9 องค์
ห้อยคอครบ แขวนโชว์ นอกคอ ซะด้วย ของแกแท้ ชัวร์ ทั้ง 9 องค์ (ฝันๆ)
เจอทีไร ต้องขยั้นขยอให้ผม ส่องพระของแก ไล่ไปทีละองค์
ถึงองค์ไหน ก็จะบรรยายประกอบ ทั้งพิ่มพ์ทรง เนื้อหา ประวัติ ฯลฯ แกจำของแกได้แม่น
บ่อยๆ ชักดูไม่ไหว เจอทีไร ให้ดูแต่พระในคอ แล้วแกก็บรรยายไม่เบื่อซะด้วย ทีละองค์ๆ
แตไม่อยากขัดคอ เลย บอกผม ชอบ องค์เดียว พิมพ์ใหญ่เนื้อจัด (ว่าไปงั้น เนื้อจัดยังไง เป็นซะทีไหน)
องค์ที่แกห้อยเป็นประธาน ตรงกลางนะแหล่ะ ดูๆส่องๆ องค์เดียวพอ
นึกในใจว่า ให้กูดูให้ตากลับ ยังไง ก็ไม่รู้หรอกว่าแท้ไม่แท้ เพราะกูดูพระไม่เป็น
แต่ทั้ง 9 องค์นี่ ถ้ามีแท้สักองค์ มึงคงไม่ต้องมา เช่าแท็กซี ขับอย่างนี้หรอกวะ
อยาก บอกมัน ว่า พระแท้ คือ พระที่ขายได้ ก็เกรงใจ
คำกล่าวว่า พระแท้ คือพระที่ขายได้ บางที่ ก็โดนแย้ง เหมือนกัน
แบบ ก็ ทำไมองค์นี้จะขายไม่ได้ ก็กูซื้อมา ถ้าไอ้นั่นขายไม่ได้ กูจะซื้อมาได้ไง
555+ จริงของมัน
งั้น เอาใหม่ พระแท้ คือพระที่วงการยอมรับ มีมาตรฐาน เนื้อหา พิมพ์ทรง ประวัติ ตายตัว ดิ้นไม่ได้
ว่าจะจบ ก็ไม่จบอีก
เพราะ มันก็ว่า วงการกูก็ยอมรับ แบบของกู นี่แระเเท้ จะมีไรมะ
โอเค มันก็แท้ ในวงการมึงละกัน แต่เอาไปขายอีกวงการนึงมะได้ จบๆ

อ่านเพลิน..เจริญใจ..ขำดี..ได้แง่มุมความคิดด้วย.....จะเข้ามาอ่านใหม่อีก..จ้าาาาาาาา
ท่าน Sunday แวะมาอีกคน ทักช้าไปนิด โทษครับ
การเป็นนักเล่นพระ ของแต่ละคนจะมี วิถีทางที่แตกต่างกัน
บางคน พัฒนา ไปในทางที่ดี บางคน ก็เข้ารกเข้าพง
ซึ่งผมว่านะ มันอยู่ที่คนหรือสิ่งแวดล้อมที่เราเข้าไปคลุกคลี ด้วย เป็นปัจจัยสำคัญ
แบบว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
เจอคนนำพาไปทางที่เป็นสากล ก็สบายไป เล่นไปถึงไม่ได้ แต่ก็มักไม่เสีย
อ้าว จริงๆนะครับ พระแท้ดีๆ แพงหน่อย ซื้อผิดราคานิด แต่ยังไง ก็ แท้ตลาดยอมรับ
ขายวันนี้ขาดทุน แต่วันหน้า ก็ยังออกตัวได้ เผลอๆกำไรๆ
พระสวยมีใบรับประกัน ถึงได้ออกตัวเร็วนักไงละครับ
เคยรู้จัก ผจก.ธนาคาร(ระดับสาขา) ท่านหนึ่ง มาคุยที่ร้านประสาคนชอบของดีด้วยกัน
ท่านนี้ มีแนวทางเล่นที่เลือกเองว่า สบายใจ ไม่แคร์วงการ
ท่านเล่นพระกรุที่กำลังฮือฮากันในช่วงนั้น เอามาอวดทีเป็นกล่อง ผมเห็นแล้ว ยังกิเลสขึ้นเลย
แต่ฟังราคาแล้ว ไม่ไหว ไม่สู้ อ่า.....หนูบายดีฟ่่า
ท่านนี้ หมดไป (สมัยนั้น) ก็ ว่ากัน ร่วมๆสองแสน บาทสำหรับ พระกรุที่ท่านเทใจให้
ต่อมา มีข่าวมีเสียงซิบซิบปากหมาบอกเล่า ว่าพระกรุนี้มีปัญหา ชักยังไงๆอยู่
เอาละซิ ก็คุยๆกันว่าท่าน รู้สึกไงเสียวๆบ้างไหม
ท่านก็ว่า โหยยยย สบายมาก พระกรุนี้ คนขายเขารับคืนทุกองค์ ถ้ามีปัญหา
ก็ดีไป เลยบอกแกล้งไปคืนดูซิครับ องค์ไหนที่ไม่สวย ท่านก็ว่า เออ ไว้ลองดู
วันต่อมา ท่านก็หน้าบานมาเชียว คุยโขมง ว่า ผมคืนไปละองค์นั้นสบายๆ คนขายไม่งอแงเลย
โอโห องค์เป็นหมื่่น คืนง่ายๆ ดีจัง ดีใจกะท่านด้วยครับ
555+บอกแล้วไม่มีปัญหา พวกขี้อิจฉามันสวดไปเรื่อย พระกรุรุ่นนี้ วงในเขาหวงจะตายใครมีก็ไม่ค่อยปล่อยหรอก
ว่า พลางก็ ควักพระองค์ใหม่มาอวด
นี่นี่ ทีเด็ดเลยคุณ องค์ที่ผมบอกไงในคอเขาอ่ะ ห่วงสุดๆ ผมเอาองค์นั้นคืนไป หมื่นสอง
เพิ่มอีก หมื่นสาม เองได้องค์นี้มาแทน ไม่รักกันจริงไม่เกรงใจเขาไม่ให้ผมหรอก....555+
ออๆๆ เฮ๊อ !!! คืนได้มาหมื่นสอง เพิ่มอีก หมื่นสาม เป็นสองหมื่นห้า ซื้อองค์ใหม่ แบบนี้ คนขายมันก็คงโง่ฉิกไหนิ
ทำไมพระกูขายมะได้แบบมันมั่งหว่า.....T_T


เพลินนะครับ จะติดตามต่อไปสำหรับบทความดีดีแบบนี้
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับท่าน Pu
ใครมีความเห้นขัดคอ ไม่เห็นด้วย ก็บอกกันนะครับ อย่าปล่อยผมโง่ (ชักอายแฮะ)
ย้อนไปถึง ท่าน ผจก.ธนาคาร ผู้เล่นพระกรุแบบไม่แคร์วงการ
ประสาคนมีเงินละครับ ซื้อเพราะชอบ มั่นใจในพุทธคุณ ชอบรูปแบบ ชอบสตอรี่ ไม่ได้คิดขายหากำไรอะไร
ม่ายเหมือนผม ซื้อก็หวังมูลค่าเพิ่มจะได้มีกำไร
หรือไม่ก้อ หวังว่าพระจะขึ้นแท่นมีค่านิยมเพิ่มขึ้นๆ อย่างน้อยไม่ขายเอากำไร แต่ก็เป็นความภูมิใจว่ามีพระหลักไว้กะเขาเหมือนกัน
พระผมบางองค์กว่าจะตัดใจขายก็ทำใจน่าดู แปลกนิ!! องค์ที่อยากขายมักขายไม่ได้ องค์ที่ไม่อยากขายละ ถามจัง.....T_T
ประสา มือขายสมัครเล่น ทำใจสู้มือขายอาชีพไม่ได้ เอาพระขึ้นคอนึกว่าหวง ที่แท้โชว์ล่อตาลูกค้า...ฮิๆ
พูดถึง ผจก.ธนาคาร ท่านนี้ ท่านเล่นพระกรุที่ว่า เพราะ ท่านจับพุทธคุณ เอาด้วย กรุนี้ ท่านว่าแรงมาก ประวัติสูงส่ง
เอ่ย ชื่อกรุไป ก็รู้จักกันทั้งนั้น....ว่าแต่จะเล่นไม๊ เท่านั้น ออกจากกรุ องค์เป็นหมื่น 55+ ช่วงนั้น ปิดตา ลป.โต๊ะ หลังยันต์ตรีใบลานผมขาย 1200 เท่านั้น
พูดแล้วน้อยใจงิ....ท่านไปซื้อหาพระกรุแนวของท่าน องค์นึงเป็นหมื่นมาอวดมาโชว์
ผมเชียร์ ลป.โต๊ะ ของผม องค์ละ พันสองพัน ไม่เคยแล เลย ใบมะขามลป.โต๊ะ 150 ปิดตาใบลาน1000+ เหรียญพัดยศ 350 ฯลฯ
ต่อมา ท่านก็ย้ายไปประจำ สาขาอื่น ไม่เจอกันอีก
ว่าถึงการจับพุทธคุณ ผมเคยเห็นมา สองแบบ ใครเคยเห็นแบบอื่น ลองมาเล่ามั่งนะครับ
คือแบบสั่น พั้บๆๆๆๆๆๆ เป็นเจ้าเข้า
กับแบบ กำหนดจิต รับรู้ แบบนี้ จะ ชา เหมือนไฟดูดเวลากำพระ
รุ่นน้องคนนึง จับพุทธคุณ แบบสั่นพั๊บๆๆ
หมอนี่ หยิบพระบนหิ้งของผม กำนั่งสมาธิ สั่้นทุกองค์ หยิบองค์ไหน สั่นทุกองค์ บางองค์ผมว่าเก๊ นะยังสั่น
พอทักเข้า ว่าพระเก๊ทำไมก็สั่น มันก็ว่า พี่ไหว้พระบนหิ้งทุกวัน ก็ต้องมีพุทธคุณมั่งแระ อืม จริงของมัน
แปลกนิ!! แต่พระในตู้่ขายผม การันตีทุกองค์ บางองค์มันกำ แล้วไม่สั่น โห....ลูกค้าเห็นจะขายออกมะนี่
ตาคนนี้ มาร้านที่ไร ต้องมากำพระในบ้านผม สั่นทุกที มาบ่อยก็ชักเบื่อ ใหม่ๆก็ดูสนุกดี นะครับ
ปัญหา คือ เคยไปกำพระในคอลูกค้าที่นั่งคุยในร้านผม แล้วเสือกไม่สั่น....วันนั้นต้องเคลียร์กันยาวเลย

โดยส่วนตัวผมเจอเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่ เสี่ย (อ.) มาบวชอยู่ที่วัดสุทัศนฯแล้ว จนเกิดกระแสการปั้นราคากันเอง ชนิดแบบมีตัว ละครเล่นกันหน้าม่านเลยที่เดียว ซื้อขายแม้กระทั่ง
ใบจองพระ ได้ใบจอง ราคา 2500 บาท เดินออกมา (หน้าม้า) ขอซื้อต่อ 3500-4000 บาท เห็นแล้วอยากเอาหัวพุ้งชนกะแพงโบสถจริงๆ สุดท้ายมันก็เป็นไปตามธรรมชาติ เท่าที่รู้มา เงิน
ส่วนใหญ่ก็หมดไปกับดารา (ผู้ชาย) ทุกที่ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองได้ว่าการ สร้างกะแส ทำให้ราคาพระเครื่อง ถีบขึ้นกันอย่างรวดเร็ว และรุดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน และปัจจุบันนี้ก็
คนอีกพวกหนึ่ง รวมตัวกันปลุกและสร้างกระแสการปั่นราคาพระเช่นกัน โดยมีเซียนพระอยู่เบื้องหลัง หรือผลประโยชน์อันมากมาย ขอยกตัวอย่างซักนิดนะครับ เช่น อาจารย์พรหม วัด
ขนอนเหนือ ในตอนนี้ มีข่าวว่าจะทำหนังสือรวมเล่ม เท่าที่ผมได้ยินมา จะทำกัน 2 ปีได้แล้วมั้ง ก็ไม่เห็นซักที เจตนาผู้สร้างคงจะดี แต่ การที่จะจัดทำขึ้นมา ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝง ก็ดีมาก
การคุยและสอบถามข้อมูล ควรจะเป็นกลาง และยิ่งเครื่องราง ตะกรุด ผ้ายันต์ ที่หลวงพ่อได้ทำออกมานั้นมีมากมาย ลูกศิษย์ที่เขียนและจารตะกรุดมีทั้งหมด 7-8 คนที่ทำให้หลวงพ่อ แต่
ทุกวันนี้การเล่นหาจะเล่นกันตามเซียน (ที่มีของนั้นเก็บไว้เยอะนั้นเอง) บ้านผมกับบ้านหลวงลุง(ลพ.พรหม) สนิทกันดีและผมก็เป็นอีกคนที่เล่นแบบเป็นกลางไม่ปั่นราคาให้เป็นไปตาม
กาลเวลา สรุปเลยแล้วกันนะเฮีย เงินเป็นตัวชิ้ขาดได้ทุกอย่าง เมื่อใครโดนอำนาจตัวนี้มาครอบงำเมื่อไรก็เสร็จทุกราย เฮียว่าจริงม๋ะ


ขอร้องละครับท่านลุง อยากอ่านต่อ
ขอบคุณ ครับ ท่าน หมูบิน ท่าน tote09 และท่าน narong ที่เเวะมาทักทาย
อย่างที่ ท่าน หมูบินว่าแระครับ ทางใครทางมันดีกว่า แล้วแต่จะเลือก และศึกษาค้นหา กัน
แต่เอาเข้าจริงๆ ทุกอย่างมันก็กลับที่่พื้นฐานเดิม นั้นคือ เงิน
ยังหนุ่มแน่นร่างกายดีๆ ก็ทำมาหากิน แขวนพระ(แม่ให้)องค์เดียวลุยได้สิบทิศ ไม่สนใจหรอกพระหลัก พระล้าน
แต่พอชักมีเงินมีทองเก็บ มีฐานะ นั่นแหล่ะ ถึงหันมา เป็นนักเล่นพระ
ส่วนมาก ผมเห็น รวยแล้วเล่นพระทั้งนั้น
พวกเล่นพระแล้วรวย นี่ มักเป็น พ่อค้า ผีนอกผีในสนาม ที่ปากกัดตีนถีบ หากินทางซื้อขายพระเลี้ยงชีพ
พอแก่กล้า ขั้นเทพ ก็รวยกันไป บางท่านระดับโครตเทพ แค่ย้าย พระสมเด็จฯ จากมือขวาของตัว มาไว้ที่มือซ้ายของตัวเอง ก็ฟันไป เป็นแสนเป็นล้านแค่วิบตา
แต่บางคนที่ผมเจอ ไม่งั้นซิ
เคยไปยืนดูไอ้หนุ่มแผงพระ แถว ตลาดอ่อนนุช ซื้อขายพระ กะคนที่เอามาขาย
พระกองบะเริ่ม ไม่มีดีสักองค์ ไม่เข้าตาคนซื้อ คนขายก็บ่นปอดแปด อยากขายอุตส่าห์ยกหิ้งมานะนั่น
ในกองมีพระสมเด็จฯ ขาวๆ หลายองค์ ถูกเขี่ยคัดออกไปก่อนเพื่อน สองตาของไอ้หนุ่มแผงพระมันก็ไม่แล
อีตาคนหอบมาขาย ก็ข้องใจว่า ทำไมไม่สนใจดูพระสมเด็จฯที่เอามาขายเลย เขี่ยออกไปกองไว้ บอกให้เก็บใส่ถุงก่อนซะด้วย
ผมยังจำคำตอบไอ้หนุ่มแผงพระ ได้ติดหูว่า " มัวหากินกะ พระสมเด็จฯ มีหวังอดตาย ".......แปลว่า ไม่ต้องส่องให้เสียเวลา ... 55+

สุดยอดดรับ ท่านรินแรงรัก ผมเห็นโลโก้ท่านผมต้องเปิดอ่านทุกที
ทำให้สงสัยว่าท่านต้อง เจิมคีบอร์ดด้วยแหง๋ๆเลย 99.99%ชัวร์ .....55555ๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีปีใหม่ ครับ ท่าน mokdahan_1
ไม่ได้เจิม คีย์บอร์ด ครับ เจิมแต่ฮาร์ดดิส ตอนแรกกะเอาน้ำมนต์ 9 วัดพรมแล้ว กลัวไฟชอร์ต ฮิๆ
คุยกันเล่นๆนะ ใช้แต่ กุมาร ชุชก นางกวัก หุ่นพยนต์ ไปตามเรื่อง
พูดถึง กุมาร แวะไปดู เว็บG ซิ ล่อกันถลอกปอกเปิก สายตรงเขาทิ่มกันหนุกหนานเลย
เอาที่โหวตพระเก๊พระแท้ มาทำลายล้างกัน แบบ เว็บG
ผมภาวนาว่าอย่าลุกลามมาเกิด ใน เว็บพระเลย สยองมาก
555+ ขนาดมันกด โหวตพระแท้ เพื่อจะด่าว่าเป็นพระเก๊ ดูมันทำกัน เราก็งงตายเลย
ย้อนไปคุย เรื่อง รุ่นน้องนักจับพลังพระ ดีกว่า(ความเห็นที่ 25)
ความจริงน้องคนนี้ นิสัยน่ารักนะครับ ไม่มีพิษภัยอะไร วัยเพิ่ง17-18 เองยังเรียนมัธยมอยู่เลย
มากำพระจับพลังก็ไม่ได้เรียกรับเงินทองอะไร พ่อแกเป็น ตร.ยศนายพันฐานะก็คงมีพอควร
ได้อาจารย์ดี สอนมาเลยมาลองวิชาอวด
ลีลาการจับพลังของแก คือ พอได้พระมากำ ก็จะเซิฟๆ ลองๆ ว่าแรงไม๊
ปกตินั่งบนเก้าอี้ พอกำพระ ถ้ามีพุทธคุณก็สั่นๆๆ แรงไม่แรง ก็ดูที่การสั่นนั่นแระ ส่วนมากสั่นพอประมาณ
แสดงว่า พุทธคุณ มากพอสมควร แบบนี้นั่งสั่นบนเก้าอี้
แต่ถ้า กำแล้วมีอาการ รีบลงจากเก้าอี้ ลงมานั่งขัดสมาธิกะพื้นละ ได้เรื่อง พุทธคุณแรงสุดๆ ระวังได้เลย
แกกำพระแน่น หลับตาปี๋เกร็งไปทั้งตัว แล้วเริ่ม สั่นตัวแรงขึ้นๆ จนแขนสองข้างกระพือแบบตีปีก ป๊าบๆๆๆๆ ตัวโยนแบบลอยขี้นกระแทกลง
บ้านสะเทือนเลยครับ ดูแล้ว คนธรรมดา ไม่น่าทำได้นะ ใครเห็นก็ทึ่งทั้งนั้น
พระของใครกำแล้วสั่นแบบนี้ ก็หน้าบานไปเลย
ปัญหาน่าเบื่อที่บ้านผมเป็นที่ ตรวจพุทธคุณของ ตาน้องแกก็คือ
ตอนแกนั่งสมาธิสั่นแบบสุดตัว คนที่มุง ก็จะเริ่มทำหน้าเหยเก มองตากัน แล้วก็ถอยออกห่างๆบางคนกลับไปเลย
ไม่ใช่อะไรหรอก ปกติแกก็ธรรมดาๆ แต่พอสั่นได้ที่ เหงื่อก็แตก
เวลาแกตีปีกป๊าบๆๆๆๆ เนื้อตัวพริ้วไหว ไปหมด ขี้เต่าครับขี้เต่า มันก็จะฟุ้งกระจายออกมา
ก็กลิ่นตัวจากจักแร้แกน่ะแระ มหากาฬจริงๆ ร้านผมเป็นตึกแถว ขนาด 4x8 ผมเดินเลี้ยงไปข้างในจนสุดทาง ยังฉุนแทบแย่
พระองค์ไหน พุทธคุณแรงแค่ไหน ดูจาก ความฉุนของขี้เต่าอิตานี่ได้เลย
โม้ต่อถึงการจับพุทธคุณอีกแบบ ดีกว่า (เดี๋ยวจะลืม)
นอกจากแบบ จับแล้วสั่นพั๊บๆ แล้ว ที่ผมเจออีกแบบ คือ แบบกำ แล้วกำหนดจิดรับรู้
แบบนี้ ถ้ากำแล้ว พระมีพุทธคุณ ก็จะ รับรู้ได้ จากอาการ ชา (คล้ายถูกไฟฟ้าดูด ... ท่านผู้จับท่านเปรียบให้ฟัง)
ถ้าพอมีพุทธคุณ ก็จะ ชาแค่มือทีกำ ถ้าแรงอีกนิด ก็ชามาถึงข้อมือ แรงมาก ก็ชามาถึงข้อศอก แรงมากขึ้นอีก ก็ชาถึงรักแร้หรือหัวไหล่
ถ้าแรงสุดๆ ก็ชาวูบ ไปทั้งตัวเลย
ลูกค้าผมท่านหนึ่งท่านจับพุทธคุณแบบนี้ มาเช่าพระทีไรต้องจับพุทธคุณก่อนทุกองค์
ท่านนี้ ชอบเหรียญ กรมหลวงชุมพร เสด็จพ่อ ร. ๕ ถ้ามีใหม่มา ท่านมักอุดหนุนประจำ ก่อนซื้อจับพุทธคุณซะตามระเบียบ
แทบทุกเหรียญชาถึงหัวไหล่ทั้งนั้น อย่างน้อยก็ชาถึงข้อศอก
วันนึงประจวบกับที่ท่านมาร้าน มีเหรียญ ร.9 ที่ระลึกออกใหม่ เลยให้ท่านจับดู
ชา ครับ เลยได้เปิดตลาดเหรียญที่ระลึก ร.9 กะท่านอีก ตั้งกะนั้นมา
มีเหรียญออกใหม่ก็เตรียมใส่ซองไว้ให้เลย
ไปไปมามามา ลองเอาเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนธรรมดา ให้ทดลองจับ ก็ชา อีก
เรียกว่าชา ทุกเหรียญ เหรียญห้า เหรียญสิบ เหรียญบาท แม้กะทั่งเหรียญสลึง ก็ชา
เลยได้ลูกค้า นักสะสมเหรียญกษาปณ์ และ กษาปณ์ที่ระลึกเพิ่มอีกคน
ใครเล่นเหรียญกษาปณ์คงรู้นะครับ ว่านักเล่นสายนี้ เก็บทุกเหรียญทีุผลิดโดยกองกษาปณ์ไทย
เก็บตั้งแต่เหรียญทองคำ ยันเหรียญห้าตังค์สิบตังค์ บางท่านเก็บลึกถึง เหรียญโบราณด้วย
ใครอื่น จะมีแรงจูงใจในการเก็บเหรียญกษาปณ์อย่างไร ไม่ทราบ
แต่ท่านนี้ เริ่มเก็บสะสมเหรียญกษาปณ์ เพราะ การจับพลังพุทธคุณ

ติดตามอ่านอยู่ตลอด ขอบคุณพี่ รินแรงรักมากครับที่ขยันพิมพ์มาให้อ่านกัน ส่วนตัวไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านนี้เท่าไหร่นัก แต่พอนึกไปนึกมา ก็จำได้ว่า สมัยตอนเด็กๆ ( เด็กมากๆ ราวๆ 6 ขวบ ) ยังจำได้ติดตา พ่อผมชอบสวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวันเห็นจนชินตา บางวันผมก็ไปนั่งเล่นกับพ่อ สวดมนต์ตามมั่งแต่ก็คงทำตามไปตามประสาเด็กเท่านั้นไม่ได้คิดอะไร แต่มีวันนึงจำได้ติดตาจริงๆครับ วันนั้น พ่อสวดมนต์และนั่งสมาธิิอย่างเคย ซึ่งหลังจากสวดมนต์เสร็จพ่อก็หยิบบางอย่างบนโต๊ะหมู่มากุมไว้ในมือ ( ไม่ทราบจริงๆว่าเป็นพระหรืออะไร ) พ่อนั่งไปซักพักก็ตัวสั่น หลังจากนั้นตัวท่านก็นิ่ง และสิ่งที่ติดตาผมมาจนทุกวันนี้ก็คือ พ่อตัวลอยขึ้นในท่านั่งขัดสมาธินั่นแหละครับ ลอยขึ้นจนหัวเกือบชนเพดานเลยครับ จำไม่ได้ว่นานแค่ไหน ซํกพักพ่อก็ค่อยๆลอยต่ำลงจนถึงพื้น หลังจากนั้นผมจำได้เลือนลางว่า เข้าไปบอกพ่อว่า พ่อทำอีกๆๆ สนุกดี พ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้ 9 ขวบ ความลับของเรื่องวันนั้นก็เลยยังเป็นความลับอยู่จนถึงวันนี้ครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับผม

ชอบครับ ... บางรุ่นออกใหม่ ๆ แพงกว่าของเก่าเสียอีก

พ่อนั่งไปซักพักก็ตัวสั่น หลังจากนั้นตัวท่านก็นิ่ง และสิ่งที่ติดตาผมมาจนทุกวันนี้ก็คือ พ่อตัวลอยขึ้นในท่านั่งขัดสมาธินั่นแหละครับ ลอยขึ้นจนหัวเกือบชนเพดานเลยครับ
เป็นอาการของ ปิติ นะครับ จะเกิดใน ขณะนั่งกรรมฐาน มี ตั้งแต่ น้ำตาไหล ตัวสั่น เห็นแสงไฟ เข้าตา หรือ ตัวลอยได้ ในอากาศ ปิติ จะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่จะไม่เหมือนกัน
ถ้าถามว่า เป็นเรื่อง พิศดารไหม อัศจรรย์ ไหม ก็ ถ้าถามคน ที่ฝึกกรรมฐาน หรือ ไปถามพระป่า พระกรรมฐาน ท่านก็จะ บอกว่า อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น มันเป็นแค่ ปิติ ยังไม่ถึงที่สุด
มันไม่เที่ยง วันนี้ ลอยตัวได้ วันหน้ามันก็ ไม่ลอยก็ได้ เพราะเมื่อนั่งกรรมฐาน ไปได้จนถึงระดับ ฌาน แล้ว ร่างกายจะตัด ขาดจาก ความรู้สึกหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะไม่รู้สึก
คำบริกรรม ก็จะหายไปหมด เหลือแต่ ความว่าง ถ้าเกิดว่า เราตายตอนเข้าสมาธิ ระดับ ฌาน จะได้ไปเกิดบน ชั้น พรหม แต่ถ้า ตายในขณะจิต เข้าสมาธิ ไม่ถึง ระดับฌาน ก็จะไป เกิดในสวรรค์
ตัวลอย มี โอกาสเป็นไปได้ อีก คือ ฝึกกสิณลม ครับ
สวัสดีปีใหม่ครับทุกๆท่าน มีความสุขสมหวังกันทุกคนนะครับ
ขอบคุณ ท่าน trustnow ท่าน nitis และ ท่าน sitmatrix ด้วยครับที่แวะมาเยี่่ยม และขอบคุณทุกท่านที่่แวะมาอ่านครับ
อ่านที่ผมโม้อาจ จะคิดว่า ไอ้หมอนี่ขวางโลก เอาแต่เรื่องแย้งศรัทธาชาวบ้านมาฝอยอยู่ได้
ก็เจอไงก็เอามาเล่าแบบนั้น ใส่มุกมั่งให้อ่านสนุกๆ
เดี๋ยวจะหาว่าผม ไม่เคยเจอเรื่องเหนือโลก มั่งเหรอไง
ก็เคยเจอกะตัวเองสองสามเรื่อง ลองอ่านดูนะครับ (แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละท่าน)
เรื่่องแรก ทีเคยเกิดกะตัวผมเลยจริงๆ เป็น เรื่อง ของแหวนมงคลสายเขาอ้อ ตามภาพเลยครับ
วันหนึ่ง (หลายปีมาแล้ว) ผมเกิดอาการปวดท้องอย่างแรงแบบว่า เกร็งไปทั้งตัว ความรู้สึกเวลาปวดสุดขีดคือ คงตายแน่
และ ก็อยากตายให้พ้นความปวดนั้นไปเลยก็ดี ปวดสุดๆปวดจริงๆเลยครับ
ถูกจับยัดแท็กซี ไปส่ง ที่ รพ.ใกล้บ้าน (ตอนนั้นผมอยู่แถวเอกมัย ก็เลยไป รพ.คามิลเลี่ยน ที่ซอย ทองหล่อ)
เดินไม่ไหว นั่งรถเข็นเข้าไป เจอหมอ ตรวจเสร็จส่งเอ็กซเรย์ ผล คือ เป็นนิ่ว ที่ ท่อเดินน้ำดี
ภาพในเอ็กซเรย์ เห็น ก้อนนิ่วคา อย่าตรงกลางท่อพอดี หมอบอก นี่แระทำให้ปวดสาหัส
ช่วงนั้นอาการปวดทุเลานิดหน่อยเพราะหมอฉีดยาระงับปวดให้ แถมให้กินยาแก้ปวดอีก(เป็นยาระงับปวดเกร็งในช่องท้อง)
หมอ บอก พรุ่งนี้เตรียมตัวผ่าตัดเลย ไม่มีทางเลือกอื่น ไปจัดการแจ้งจองห้องผ่าตัดซะ
ก็จัดการจองห้องผ่าตัด นัดพรุ่งนี้10โมงเจอกัน(เจอมีดผ่าอะดิ)...กลับบ้านเตรียมตัวไปนอน หมอว่า สักอาทิตย์
กลับมา กินไรก็ไม่ลง กินแต่ยาบรรเทาปวด แล้วนอนเลย
ผมนอนหงาย ปลงชีวิตว่าจะรอดไม๊วะกู เอามือข้างที่สวมแหวนเขาอ้อ แปะไว้ตรงท้องจุดที่ปวดสุดๆ หลับตานึกว่าตายก็ตายเลยปวดจริงๆ
ภาวนา คาถา "พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ" ไปเรื่อยๆ(คาถานี้ คุณเจ๊ ร้านพิมพ์ใจ ให้มา บอก ใช้กะ ของ สายเขาอ้อทุกชนิด)
นึกในใจว่า ให้ครุบาอาจารย์สายเขาอ้อ และหลวงปู่โต๊ะ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายช่วยที
ภาวนา ไปจนจิตเข้าสมาธิ สว่างใสนิ่งสงบ สบายเหลือเกิน ความเจ็บปวดลึกล้ำที่ท้องหายไป
แล้วก็หลับไป ก่อนตายยังมีสติปลงว่า ถ้าตายไปซะตอนนี้(ในสมาธิ) คงจะได้ไปที่ชอบๆแน่
รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมา อะ โอ๊ะ เอ๊ะ ทำไมตัวเบาๆสบายๆ ไม่ปวดท้องเลยสักกะนิด
จัดแจงแต่งตัว ไปหาหมอ ที่ รพ.ตามนัด แบบงงๆ ว่า ทำไมไม่ปวดเลยหว่า ????
ถึง รพ. เจอหมอ หมอ ก็ถาม เตรียมตัว( เตรียมใจกะเตรียมเงินค่าผ่าตัดนะแระ ฮิๆ) พร้อมยัง จะส่งเข้าห้องผ่าตัดเลย ตามคิวที่จอง
ผมก็ ครับๆๆๆ แต่ว่า ไม่ปวดแล้วนะครับ
หมอก็ อะอ้าว !!!! เป็นไปได้ไง โรคนี้ใครเจอเข้า ปวดกันดิ้น ทั้งนั้น
จัดแจง ตรวจคลำ กดท้อง ดู กดตรงจุดปวด ถามปวดไม๊ ผมก็ว่าไม่ปวด
หมอบอกไป เอ็กซเรย์ใหม่ดู
ผล คือ ก้อนนิ่ว ที่คาท่อน้ำดี หายไปแล้ว หมอก็งง บอกโอกาศแบบนี้ น้อยมาก
หมอท่านเอา ฟิมส์ เอ็กซเรย์ แผ่นเก่า ที่มีก้อนนิ่วคา มาเที่ยบกับแผ่นใหม่
ตรงจุดที่เห็นก้อนนิ่ว ตอนนี้ โล่งแล้ว ก้อนนิ่ว หายไปซะแล้ว
หมอชี้ตรงจุดที่นิ่วเคยคา ว่า คุณเห็นไม๊ รอยบวมตรงท่อน้ำดี จุดที่ก้อนนิ่วเคยคา ยังบวม(อักเสบนิด) อยู่เลย
ตกลงผมรอมีดหมอ มาได้ อย่างฉิวเฉียดจริงๆ
แบบนี้จะไม่เรียก ปาฏิหาร (ส่วนบุคคล) ก็คงไม่ได้
ยังนึกเสียวจนบัดนี้ ถ้าวันนั้นผมปากหนัก ไม่บอกหมอก่อนว่า หายปวดแล้ว
ยอมเข้าห้องผ่าตัด แบบ ตกกระไดพลอยโจน คงได้เจอมีดหมอผ่าพุงกระทิไปแบบฟรีๆ แล้ว
โม้มาแยะ ชักหมดมุก เหมือนกัน
ลองไปอ่าน เรื่องประสพการณ์แนวเหนือโลกที่ผมเจอกะตัวเอง ดูบ้างนะครับ( อ่านแล้วก็ต้องดำริ ตามวิจารณญานส่วนตัวของแต่ละคน)
เรื่องนี้ผม เขียนเป็นบทความไว้ ที่กระดาน บทความ ไปดูได้ตามลิงค์เลยครับ
http://www.web-pra.com/Article/Show/600
ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ตลอดปีใหม่นี้
ท่านพี่เขียนบทความมาได้สุดยอดเลยนะเจ้าคะ มาติดตามอ่านเจ้าค่ะ

สวัสดีตรับ พี่ริน อ่านแล้วสุดยอดเลยครับ ได้ทั้งสาระ และผ่อนคลาย เมื่อไหร่จะมีอีกครับจะติดจามครับ
ดีจ้ะน้องกุ้ง และ ท่าน ตั้งใจอยู่ ขอบคุณ ทีแวะมาเยี่ยมนะครับ
นึกได้ถึงประสพการณ์ อีกสองเรื่อง ๆนึงเกิดกะตัวผมเองเลย
มันจะ ฟลุ๊ค อะไรขนาดนั้น
ตอนนั้นได้ ปลัดขิก ของหลวงปู่ เมฆ วัดลำกระดานมันอันนึง อันค่อนข้างใหญ่มาก
เอามือกำแล้วยังโผล่ออกมาอีกตั้งสองนิ้วกระมัง(ปลัดขิกนะครับ มะช่ายนายอำเภอขิก)
คือทำบุญทอดกฐินที่วัดหรือไง ก็เลือนๆละ แต่ตอนนั้นหลวงปู่ยังอยู่ ปลัดท่านแจกกันกระจายเลย
ปลัดท่าน รูปลักษณ์คล้ายกัน แต่ขนาดมีหลายขนาด อันที่ผมได้ ใหญ่เกินพกพา เลย ร้อยแขวนไว้กะตัวกุญแจประจำบ้าน ซึ่งปนๆกันหลายดอก
และแล้วคืนหนึ่ง
ร้านผมโดนงัดครับ ผมกะครอบครัวนอนชั้นบนหลับเป็นตาย อย่างไม่น่าเชื่อ( คนเขาว่าน่าจะโดนรมยา)
ตอนเช้าลงมาเกือบเป็นลม มันขนไปเกลี้ยงเลย ที่แบบ แลกเงินได้ไวๆ และไม่หนักเกินไป
สินค้าพวก เหล้า บุหรี่ ขนหมด เงินในเก๊ะ พระเครืองฯ ไม่เหลือเลย ยังจำ แหวนตระกร้อ หลวงพ่อสายวัดท้องคุ้งได้ ผมใส่ มันสุกสวยยังกะทองคำ
ทุกทีไม่เคยถอดวันนั้น ไงไม่รู้ก่อนนอนดันถอดใส่เก๊ะไว้ข้างล่าง ..... เรียบร้อย ไอ้หัวโจร เอาไปด้วย
ที่มันแปลก มหัศจรรย์ คือ มีเก๊ะเงิน อีกที่นึ่ง ในบ้านดันไม่โดนเปิด เก๊ะใบนี้ อยู่ใต้ตู้บุหรี่ เห็นชัดๆเลย
มันเอาบุหรี่ในตู้ไปหมด แต่เก๊ะเงินที่อยู่ติดๆกันมันไปเปิด เก๊ะอื่น มันค้นกระจุย เงินซ่อนเมียไว้ยังหาย ฮิๆ
ออมสินรูปฟักทอง ที่ตั้งบูชาที่ ตี่จูเอี๊ย(เจ้าที่แบบจีน) มีเศษตังค์อยู่นิดนึงยังเอาไป
เชื่อมะครับ เก๊ะ ที่มันไม่เปิด มีพวงกุญแจรวมทั้งปลัดหลวงปู่เมฆ อันที่ว่า นั่นแระ ผมสอดคารูกุญแจอยู่ด้วย
มองเห็นเด่นชัด ของในเก๊ะ ก็ เป็นพวกเศษเหรียญสำหรับทอน(คนค้าขายจะเข้าใจ ว่า ที่มีหลายเก๊ะ เพราะ เวลาทอนเงินจะได้ไม่ต้องเดินไกล)
ถึงจะเป็นแค่เหรียญ ห้าสิบตังค์ เหรียญ สลึง เหรียญบาท แต่รวมๆ ก็หลายร้อย นะครับ ในช่วงนั้นเงินยังใหญ เหรียญสลึงยังมีค่่า ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้
แต่มันเพราะอะไร ก็ ของมันตำตาอย่างนั้น โจรกลับไม่เปิด
ในภาวะวิกฤติแบบนั้น เเค่เศษเงินที่หลงตาโจร ก็มีค่ากับครอบครัวผมเหลือจะกล่าว......
อยากจะบอกว่า เป็นเพราะคุณวิเศษ แห่งปลัด ลป.เมฆ อันนั้น ก็มีคนแย้งว่า แน่จริงทำไม ปล่อยโจรงัดเข้าบ้านได้
แบบนี้ ก็ต้องแล้วแต่จะคิดดีกว่า ของแบบนี้ เขาเรียกผ่อนหนักเป็นเบา คนเรามีกรรมเก่าต้องชดใช้ พระท่านก็ช่วยได้เท่าที่พอช่วย
ได้เศษตังค์หลายร้อย มาหมุนทำทุน ต่อชีพ ไป ก็ดีแล้ว
ประสพการณ์อีกเรื่องนึง เกิดกะรุ่นน้อง ไว้ เดี๋ยวมาโม้ต่อ
ไปดู สงครามชีวิตโอชิน ก่อนเน๊อ
มาต่อกันที่ประสพการณ์ ของรุ่นน้องดีกว่า ชักลืมๆ
ความเห็นที่แล้วโม้ถึงปลัดขิก ลป.เมฆ วัดลำกระดาน
เสียดายครับ ปลัดอันใหญ่ๆ ที่มีประสพการณ์อันนั้น
คนที่นำเข้าบ้าน ดันเอากลับไปคืนคนที่จัดกฐิน ซะนี่(แอบเอาไป) เพราะดันไปคิดว่า เอาปลัดท่านเข้าบ้านวันเดียว บ้านโดนโจรงัดซะเลย
อีกอย่างอันใหญ่มาก ผมถือโชว์ไปโชว์มา เขาเห็นว่าน่าเกลียด เฮ๊อ!!!! คนเรา ทำไรไม่บอก (เคืองจริงๆเรื่องนี้)
ตอนหลัง เลยหาแบบอันจิ๋วๆ มาร้อยพวงชุด ห้อยเอว ตามรูป ในความเห็นที่ 40 นั่นแระครับ
ลักษณะของปลัด ลป.เมฆ อันจิ๋ว มักชุบเทียนไว้ด้วย ใครหาใช้ ควรพิจารณา ข้อนี้ไว้นะครับ
ต่อเรื่องประสพการณ์รุ่นน้อง ดีกว่า รุ่นน้องคนนี้ อยู่บ้านใกล้กัน เล่นปาลูกดอก(ดาร์ท) ทีมเดียวกัน รู้จักมะครับ เกมปาเป้า นั่นแระ
นิสัยแก ก็พอใช้ได้ แต่ติดซิ่ง นิยมความเร็ว
เคยซ้อนมอไซค์แก หัวใจจะวาย ตอนโค้ง ต้องแบนตามแบบมอไซค์ซิ่ง ผม ทำไม่เป็น แบบบ้าไรให้แบน แทบติดพื้นแบบนั้น ไอ้เวงเอ๊ย...!!!!
ทำมาหากินเ่ก่งครับ รุ่นน้องคนนี้ ใจถึงด้วย เลย ออกกระบะ(มือสอง)แซงหน้ารุ่นพี่่ซะเลย
ยี่ห้อ มิซูบิชิ ตอนนั้น ขาซิ่งนิยมนัก แต่งซิ่งกัน มันโม้เปล่าไม่รุ้ ว่า ซิ่งจากโคราชถึง กทม. ครึ่งชั่วโมง เท่านั้น
วันนึงก็เกิดเรื่อง ไอ้นี่ ซิ่งกระบะ ลอดใต้ท้องรถซุง
เจอกันตรงสี่แยก ตัดกัน มันซิ่งจาก กรุงเทพฯ ขึ้นเหนือไปธุระให้พ่อมัน
ผมเห็นรูปรถมันใน หนังสือพิมพ์ บอกได้คำเดียว ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต รถกระบะกลายเป็นรถเปิดประทุนไปซะฉิบ
อีกสองสามวันต่อมา ก็เจอหน้า โอ๊ะโอ!! หน้าตาสบายๆ แค่ขาหักข้่างนึง แทบไม่มีริ้วรอยอะไรเลย
มันยิ้มกวนตีนตามแบบฉบับ โม้ใหญ่เลย ถึงสติของมันที่ตอนพุ่งเข้าหารถซุง มันกดที่นั่งหงายแบนลงทัน หลังคารถเปิงหายไปทั้งแผ่น
พอรอดท้องรถซุ่งแล้ว ก็ดึงเบรคมือให้รถหมุน เพื่อหยุด...เออๆมึงเก่ง
ของดี ของมันห้อยคาอยู่แค่องค์เดียว หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างไห้ นะเอง
รุ่นใหม่ๆนี่แระ พ่อมันลงไปไหว้พระทางใต้ ตอนตรุษจีน เลยเช่ามาแจกลูกๆ
ได้นี่ซิ่งรถวอนตายหลายที่ พ่อมันห่วงเลยให้ห้อยคอไว้(แกอ่านที่ไหนมาไม่รู้ว่า ห้อย ลป.ทวด แล้วไม่ตายโหง)
มันเปิดเสื้อให้ดู แผลๆนึง มีรอยเย็บไว้ มันบอกว่า
ทั้งตัว ขาหัก แล้วก็แผลนี่เท่านั้น
แผลเกิดจาก พระหลวงปู่ทวดที่ห้อย ฝังจมลงไปในเนื้อหน้าอกมัน คาติดเด่เลย ตอนมันไปหาหมอ ถึงรู้
ตอนชาวบ้านช่วยหามมันส่ง รพ. มันรู้สึกตัวดีแต่ไม่เจ็บ เพราะชาไปทั้งตัว
หมอต้องแคะองค์พระออกมาแล้วเย็บแผลให้
ไม่ต้องบอกนะครับ ใครเอาพระหลวงปู่ทวดรุ่นดังๆราคาแพงแค่ไหน มาแลกกะองค์นี้ของมัน มันก็ไม่แลก

ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ ท่าน เมล็ดพันธุ์พระเครื่อง.....ตรุษจีนนี้ ขอให้เฮงๆ
มะวานไปแบก นางพิม ขนาดบูชามาองค์นึง ของหลวงปู่อั๊บท่านเพิ่งสร้างไว้ ยังใหม่ๆเลย
นึกได้ เลยอยากโม้ ถึงเรื่องทำนอง......อาถรรณ์ องค์กำเนิด (ผิดพลาดทักท้วงได้นะครับ)
พวกเรา พกปลัดขิก นางเป๋อ กันบ้างไหมครับ ???? ของแบบนี้ บางทีเน้นทางกามๆ กันจนลืมไปว่า
โบราณาจารย์ ท่านสร้างของแบบนี้ เพื่อ ให้เรารำลึก ถึงผู้ให้กำเนิดเรา
ทั้งพ่อ หรือ ท่านปลัดขิก และทั้งแม่ คือ นางเป๋อ นั่นเอง
คติทางฮินดู ปลัดขิกเรียกศิวลึงค์ หมายถึงพระอิศวร เลยทีเดียว
แต่จะแพ้ ท่านโยนี(นางเป๋อ) ซึ่่งเป็นองค์กำเนิดฝ่ายมารดา เรียกว่าแพ้ทางกัน ปกติก็แพ้กันประจำ (ฮิฮิ)
ทำไมถึงเรียก ปลัดขิก รู้ไหมครับ ?
ปลัด คือ รอง เช่น ปลัดอำเภอก็ เป็นรองนายอำเภอ ปลัดจังหวัดก็เป็นรองผู้ว่าฯ หรือ ปลัดกระทรวง ก้เป็นรองรัฐมนตรี
ขิก คือ คอวอยอ นั่นเอง (มะเชื่อไปดูพจนานุกรม) ปลัดขิก คือ รองนายอำเำภอขิก 5555+
คงมะต้องบอก ว่า นายอำเำภอขิก อยู่ตรงไหน ใครมีก็หวงสุดๆ เพราะมีได้แค่อันเดียว โดนหมาคาบไป หรือเป็ดงาบไปก็หมดกัน
ส่วน นางเป๋อ นี่ผมวิเคราะห์ไม่ออกว่า มาจากคำว่าอะไร รู้แต่ว่าเป็นรูป หญิงแก้ผ้า เปิดให้เห็น จุดกำเนิดกุมาร กันจะจะ
วัตถุมงคล แบบอาถรรณ์องค์กำเนิด อีกแบบ ก็ คือ รูปนารีมีท้องกำลังคลอดทารก แบบ ที่ หลวงปู่อั๊บ ท่านสร้าง
ท่านเรียกของท่านว่า นางพิม แต่ท่านว่า ไม่ใช่นางพิม เมียขุนแผน แต่จะเป็น พิมไหนกันละ
ผมว่านะ น่าจะ เป็น พิมพา หรือ พระนางพิมพา พุทธมารดาของ พระพุทธเจ้า เพราะ ใส่เครื่องทรงแบบนางกษัตริย์
ทรงกำลังให้ประสูติ พระกุมาร โดยมีพระบาทเล็กๆโผล่ออกมาตรงหว่างพระบาทของพระนางฯ
เราเคยเรียนมา ว่า พระพุทธเจ้าแรกประสูติ ก็ ทรงย่างพระบาทได้ เจ็ดก้าว โดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารับ ทุกย่างพระบาท
การประสูติ โดยเอาพระบาทออกก่อน ก็สมเหตุสมผล เพราะต้องเอาพระบาทแตะพื้นเพื่่อก้าวออกไป เจ็ดก้าว
คนโบราณเรา ถือกันว่า หญิงท้องจะมีอาถรรณ์ มีเทพคุ้มครอง
เล่ากันว่า ขนาดหญิงท้องเดินข้ามงู งูยังหมดแรงตัวอ่อน บางตัวช็อคหงายท้องเลย
วัตถุมงคล ประเภทอาถรรณ์องค์กำเนิดนี้ คือ ปลัดขิก นางเป๋อ หรือ นางพิมพา นี้ ใครพกติดตัว เพื่อรำลึก ถึง พระคุณ พ่อ แม่ และความลำบากความเจ็บปวด
ที่ ท่านต้องเผชิญเมื่อให้กำเนิดเรามา ก็ต้องถือ เป็นมงคล อย่างสูง ใครจะพกจะบูชา ก็ไม่น่าจะตะขิดตะขวงอะไร ถ้าเจตนาดี และถูกต้อง
เคยอ่าน เรื่องสั้นหรรษา เกี่ยวกับ ปลัดขิก มาเรื่องนึงนานแล้ว
เอามาโม้ต่อ อ่านขำๆนะครับ
หลวงตาท่านนึง ท่านเป็น เกจิฯ ที่ชำนาญทางปลัด ปลัดฯ ท่านสุดยอดใครได้รับแจกไปก็มีประสพการณ์ เล่ากันไม่รู้จบ
วันนึง ไอ้ลูกศิษย์ตัวดี ที่ได้ปลัดฯ ท่านไปใช้ ก็ เข้ามากราบ ตีสีหน้าแหยๆเหมือนจะร้องไห้
หลวงตาท่านก็ทักไป เป็นไงวะเอ็งหายไปนาน
ลูกศิษย์ก็ว่า สบายดีคร๊าบบบ หลวงตา แต่ๆ...........
ว่าพลางก็ ควัก ปลัดฯ ที่หลวงตาเคยให้ไว้ ออกมา แล้วส่งให้หลวงตาดู
หลวงตารับมา ดู ร้อง เฮ๊ยย!!!!......ไรกันวะ ทำไม ปลัดข้า แตกเป็นสองซีก แบบนี้
ไอ้ศิษย์ตัวดี ทำหน้าเหมือนท้องเสียบนรถเมล์ ยกมือไหว้ แล้วว่า
คือ มะคืนนี้ ผมไปฉลองกะเพื่อน เมาพอประมาณ แล้วยกแก๊งค์ไปต่อ น้องหมอนวด คร๊าบบบบ
หลวงตา ก็ว่า เฮ๊ยๆๆๆ ปลัดข้า ไปได้ทุกที ไม่มีเสื่อม ว่าแต่ทำไมถึงแตกเป็นสองซีกแบบนี้
ไอ้ศิษย์ตัวดี ก็ว่า คือตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกับน้องหมอนวด นึกได้ถึง คุณปลัดฯ ที่หลวงตาให้ไว้
แหม.....ตั้งกะหลวงตาให้มา ทำอะไรก็ดีไปหมด หน้าที่การงานก็แจ๋ว โชคลาภก็เจ๋ง ผมก็เลย.....คิดว่า
ไหนๆ ก็ ไหนๆ น่าจะให้รางวัล คุณปลัดฯ ซักหน่อย
ก็เลยนิมนต์ว่า คุณปลัดฯจ๋า เชิญนำหน้าก่อน......ลุยโลด
แต่พอ ชักท่านปลัดฯ ออก กะจะลุยต่อ ปลัดฯ ท่าน ก็แตกอย่างนี้แระ..คร๊าบบบบ....ฮะงึดๆๆ...(สะอื้น)
จบคำศิษย์ หลวงตาท่านก็เขวี้ยงปลัดสองซีกเข้าตรงกระบาลเจ้าศิษย์ แถมยกเท้าถีบเข้าให้อีกโครมนึง
ร้องว่า ไอ้เวง แล้ว มรึงส่งมาให้กูืถือไว้ทำไมวะ.....มิหน้ากลิ่นแปลก....ถุย
หลวงตาท่าน เคืองน่ะครับ แล้วก็ แหยงมือด้วย...โธ่ เอามาของแบบนี้ ให้กำไว้ได้ ไอ้ศิษย์ก็เหลือเกิน....T_T
โม้จนข้อมูลเลอะเทอะเลย ต้องขออภัยครับ
พระนางพิมพา คือ พระชายาของเจ้าชายสิทธัตทะ (พระพุทธเจ้าก่อนทรงผนวช)
พุทธมารดา คือ พระนางศิริมายา นะครับ
ขออภัยที่มั่วไปหน่อย ข้อมูลเลยเละเทะ...อายเลย
เข้า กรูเกิล หา ข้อมูล นางพิม ก็ยังไม่กระจ่างเลยครับ
แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่นางพิม(พิลาไล)แฟนขุนแผนแน่ๆ หลวงปู่อั๊บท่านก็บอกแล้วว่าไม่ใช่
ดูจากเครื่องทรงก็ไม่่น่าใช่ สวมมงกุฏชฏา มีเครื่องทรงแบบนางกษัตริย์ แบบนี้
นางพิมแฟนขุนแผน เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา คงไม่มีเครื่องแต่งกายแบบนี้
ไปเสริชข้อมูลมาซะปวดตา ก็ยังไม่รู้จริงๆ ตัวหลวงปู่ท่านก็ว่า เป็นวิชามาจากธิเบต
ซึ่งถ้าเป็นของทางธิเบต ก็น่าจะเกี่ยวกับพุทธประวัติ ไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง
เพราะวัฒนธรรมหลัก ของธิเบตมากจาก ความเชื่อทางพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่
ถ้าเป็นพระนางพิมพา ชายาเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องเป็นตอนประสูติโอรส นาม ราหุล
ตอนนี้ก็เป็นตอนสำคัญอันเป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่เจ้าชายทรงออกบวชเหมือนกันเพื่อหาทางพ้นทุกข์ จาก การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
แต่คงไม่ใช่ พระนางสิริมหามายา พุทธมารดา เพราะ พระองค์ ทรงประทับยืนเหนี่ยวกิ่ง ต้นสาระ ขณะ ให้การประสูตรเ้จ้าชายสิทธัตทะ
และตัวเจ้าชายเองก็แหวกพระครรภ์ออกมาเอง ไม่ได้คลอดตามปรกติ
ใครพอมีภูมิรู้เกี่ยวกับ รูปหญิงท้องกำลังคลอดบุตร ที่เรียกว่านางพิม ก็มาขยายหน่อยนะครับ
ความจริง รูปอาถรรณ์ องค์กำเนิด นอกจาก ปลัดขิก นางเป๋อ นางพิม แล้ว ผมยังข้ามไปอีกอย่าง (ลืม)
คือ " อิ้น " นะเอง อิ้น ทำเป็นรูป ชายหญิงกำลังถ่ายเทความรักให้กันและกันอย่างดูดดื่ม มีหลายรูปแบบ
บางคนอาจดูน่าเกลียด แต่คิดดีๆ แล้ว ความรักเป็นสิ่งดี เกิดๆกันมาเป็นตัวเป็นตน ก็เพราะ พ่อแม่รักกัน
อิ้น โดยทั่วไป สร้างไม่หวือหวา เป็นรูปดูพอออกว่า ชายหญิงทำไรกัน ไม่น่่าเกลียดนัก
หลังๆ พวกศิลป์จัด สร้างออกมา ชักออกแนว พระธิเบต(ลามะกะ) กันสักหน่อย
ส่วนที่ออกมาแนว สัตว์เสพนาง เช่น ม้าเสพนาง ลิงหรือช้างเสพนาง ฯลฯ นี่ โดยความเห็นผมว่า
น่าจะเป็นไสยดำ สายล่าง ใครชอบไม่ชอบเป็นเรื่องส่วนตัว
เกจิฯ รุ่นเก่า ที่ผมนึกได้ว่า สร้างของขลังแบบนี้ ก็ คือ ท่าน ครูบาวัง วัดบ้านเด่น ดังมานานนม
แรกๆเลย เห็นแต่ ม้าเสพฯ หลังๆ มี ลิงเสพฯ ช้างเสพฯ งูเหลือมเสพฯ.....ไปกันใหญ่
แปลก ตรง มีแต่สัตว์ต่างๆ เสพนาง เอามาทำของขลังกามๆ
ไม่มี นาย(หนุ่ม) เสพสัตว์ เป็นของขลังมัง 55+
เคยมีแต่ข่าว ตาเถรเสพหมา ไอ้หนุ่มเสพหมู เหรอ สัปเหร่อเสพศพ อ่อ....มีพวกเสพวัวด้วย
พวกวิปริต แบบนี้ ไม่เคยนำมาเป็นของขลังเลย แปลกดีนิ.....?
แต่ไม่เอามาทำก็ดีแล้ว แค่นึกภาพ ก็ ทุเรศเหลือคณา
ภาพ พระนางเจ้าสิริมหามายา พุทธมารดา

สุขสันต์วันตรุษจีน....สิ้นความทุกข์
ประสพสุขทุกสถาน ..... งานหน้าที่
สมหวัง สมฤทัย ไปทั้งปี
โชคดี รับปีเถาะ เหมาะใจเอยยยยย.......
ปล่อยไก่ นางพิมพา ซะเซ็งเป็ดไก่ห่าน(รวมมิตรตรุษจีน)...คห. ที่ 43
ชักโม้ไม่ออก....555+
ว่าถึงนางพิมของหลวงพ่ออั๊บ ผมก็ยังเชื่อว่าเป็น พระนางพิมพา ชายาเจ้าชายสิทธัตทะ อยู่ดี
มาติดตรง หลวงพ่ออั๊บ ท่านบอกวิธีเซ่นไหว้นางพิมของท่านว่า ต้องมี เหล้าขาว ด้วยนะซิ เลยชักเขวอีก
พระนางพิมพา ภายหลังท่านก็ออกบวช สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คงไม่โปรดเหล้าขาว แน่ๆ
ว่าถึงพระเครื่อง น่าพูดถึง รสนิยม ของคนเล่นซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
เกิดจากการปลูกฝังกันมา หรือชักนำกันในหมู่เพื่อนฝูง
บางท่านก่อนมาเล่นพระเก็บพระ ก็ศึกษาอ่านหนังสือกันซะนับเล่มไม่ถ้วน จนซึมลึกข้อมูลไว้เพรียบ
บางท่าน ได้ยินพ่อแก่พ่อเฒ่าเล่าถึง เกจิๆ หรือพระกรุ ให้ฟังตั้งแต่ยังเด็กๆ ก็จำไว้
บางท่านไปเข้ากลุ่มเข้าหมู่เข้าพวกใด ก็เฮตามเพื่อนฝูงไปทางนั้น
บางท่าน เล่นหาตามแผ่นพับโฆษณาพระเครื่องก็มี......55+
รสนิยมของแต่ละท่าน จึงแตกต่างกันไป ห้ามกันมิได้ด้วย
พระที่เรารัก กับพระที่เราขาย ถึงแยกจากกันไงครับ.....พระที่รักบางองค์ราคาไม่กี่ร้อยเอง
โม้ถึงรสนิยม ของรุ่นน้องคนหนึ่ง ดีกว่า
หมอนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถีบตัวเองเข้าไปอยู่ในวง วีไอพีพระเครื่องได้ เพราะ สมอง และความใจถึงพี่งได้(กล้าซื้อ)
พระมันในเซฟ ต้องบอกว่า หลักๆของวงการหลายองค์
(ส่วนหลักๆของผมกลายเป็นจิ๊บๆในบ้านคนอื่นแทบหมดแล้ว....T_T)
รุ่นน้องคนนี้ มีพระโชว์ประจำอยู่องค์ คือ สมเด็จบางขุนพรมเส้นด้าย องค์แชมป์หลายงาน ไม่ที่หนึ่งก็ที่สอง
ใส่ตลับทองหนาปึ๊กฝีมือช่างอยุธยา(เห็นว่าต้องไปเข้าคิวจองสั่งทำซะด้วย)
แขวนด้วยสร้อยทองเส้นใหญ่สมศักดิ์ศรี แต่มันก็ไม่ได้แขวนฉาย แบบซี๊ซั๊วนะครับ ใส่ไปงานหรือแค่ออกอวด
อย่างว่าแระครับ มีก็อดอวดไม่ได้ มาร้านผมที่ไร แขวนมาให้่ส่องประจำ
ร้านมันกะร้านผมห่างกันไม่มาก พอแขวนเดินถนนมาคุยได้....55+ เคยแซวว่าให้แขวนไปเดินตลาดคลองเตยดู มันก็ขำๆ
มาที่ไรก็ส่งให้ส่องด้วยความภูมิใจ ผมก็ส่องไปขนลุกไป กลัวพระตก กูตายแน่ เหมาทั้งร้านแถมกิ๊ก ก็ไม่พอใช้คืน
หลังๆเลยบอกว่า มึงไม่ต้องถอด(จากคอ)หรอก กูส่องกะคอมึงก็ได้ กูเสียว
พระองค์นี้อยู่กับมันนานมาก(ทั้งหวงทั้งภูมิใจ) องค์อื่นเห็นมาคุยว่าแลกมั่งขายไปมั่ง
แล้ววันหนึ่ง มันก็มาพร้อมสมเด็จองค์ใหม่......วัดระฆัง...เลยทีเดียว แม่จ้าววววววว
สร้อยเส้นเดิม ตลับก็ต้องช่างอยุธยา ตามฟอร์ม ใช้ตลับร้านอื่นไม่เป็น
ผมดูสมเด็จองค์ใหม่มัน แล้วบอกตรงๆ ไม่สวยไม่งามเลย ลบๆเลือนๆ
ก็ส่องๆไปตามฟอร์ม รักษาอาการไว้ (บอกแล้วดูสมเด็จไม่เป็น..แต่ถ้ามีแบบองค์นี้ผ่านมาเข้ามือ ก็รีบเรียกแท๊กซี โน่นเลยท่าพระจันทร์555+)
อือๆออๆ ยินดีกะมันที่ได้พระระดับนี้ไว้ครอบครอง...เชื่่อฝีมือมันนะครับเงินถึงใจถึงสมองถึง...พระก็ต้องถึง เป็นธรรมดา
ถามมัน แล้ว ไม่แขวนองค์เส้นด้ายแล้วเหรอ หรือได้ใหม่ลืมเก่า....ฮิๆ
มันก็ว่า ก็เอาไปแลกองค์นี้มาไง.....อยากได้วัดระฆังมานานแล้ว แถมเงินให้เขาอีกนิดหน่อย
ผมก็ ร้อง ออออออ อ่า......ไปตามเพลง
รสนิยม เรามันต่างกันตรงนี้ เป็นผม ผมไม่เอาพระสวยๆระดับองค์เก่าองค์นั้น ไปแลกพระองค์นี้(แท้นะครับ) แหงๆ
ก็ดูสภาพ แล้ว ขี้เหร่จริงๆ แม้ศักดิ์ศรีจะสูงส่งมากกว่า ขนาดไหนก็ตาม
เหมือนเอาน้องเมเปิล(จนๆ) ไปแลกน้องตุ๊กกี๊(ตอนนี้เธอรวยโครตๆ) ยังไงยังงั้น...555
เห็นมันแขวนองค์ใหม่ มาให้ดูสองสามครั้ง ก็ถอดเก็บ ไม่เอามาให้ชมอีกเลย
ไม่รู้หวงเพราะพระแพง เหรอ แขวนแล้วทำให้คิดถึงองค์เก่า ก็ไม่รู้
อ่ะๆๆ เข้ามาติดตามอ่านของท่านพี่เจ้าค่ะ
เขียนได้สนุกน่าติดตามจริงๆเลย จุ๊บๆๆ
มีเรื่องไรก็มาเล่าอีกน๊าค๊าๆๆ รอ รอ รอ อ่านจ้า

โม้ต่อเรื่อง รสนิยม พระเครื่อง ของท่านๆที่ผมเคยรู้จักนี่ ถ้าจะยาว เพราะคบค้าพูดคุยกันมาหลายๆคน
นึกไ้ด้ถึงท่านนึง เป้นรุ่นพี่ ท่านนี้ พัฒนาได้ไวมาก เพราะสมองกะเงินถึง...ใจก็ถึง
เริ่มแรกรู้จักกันเพราะท่านเป็นลูกค้ามาซื้อหาหนังสือพระในร้าน (บ้านผมเปิดเป็นขายหนังสือสารพัด ตั้งแต่ นส.นวลนาง ยัน ดัชนีพระ...ฮิฮิ..เด็กรุ่นใหม่รู้จัก นส.นวลนางมะนั่น???)
ท่านยืนอ่านซะหลายเล่ม(คุ้มเลย) แล้วก็ช่วยอุดหนุน หนึ่งเล่ม.....แผงหนังสือชอบนะ ลูกค้าแบบนี้ เพราะยังไงก็เป็นขาประจำ แล้วก็ ยังมีการอุดหนุนกันบ้าง
คุยกันไปก็ทราบว่า สนใจอยากเก็บพระมั่ง ตอนหนุ่มๆลุยงานหาเงินซะตัวเป็นเกลียว พอช่วงนี้ ชักอยากหาอะไรทำเป็นงานอดิเรกมั่ง
ถามถึงเกจิฯดังๆช่วงนั้น ผมก็โม้ไปเรื่อยเปื่อย ข้อมูลก็อ่านๆมาแระ หลวงพ่อคุณ หลวงพ่อมี หลวงพ่อดี หลวงพ่อเมี้ยน หลวงพ่อรวย หลวงพ่อเชิญ ฯลฯ
ขาลุยจริงๆท่านนี้ พอสตาทเครื่องก็ฉิวปลิวเลย เสาร์อาทิตย์วันหยุด ขับรถไปล่าของดีตามวัด หลวงพ่อดังๆ แบบถึงวัดถึงตัว
เก็บกวาดทุกอย่างในตู้โชว์ของวัด มีไปหมื่นหมดหมื่น กลับมาแบบกระเป๋าโบ๋เบ๋ จริงๆ
แต่ได้พระกะของดีมาแทน ขนกันเป็นลังๆ ตั้งกะพระเครื่อง ผ้ายันต์ เครื่องรางนาๆชนิด เชือกผูกมือ ฯลฯ ท่านเหมาหมด
จังหวัดอยุธยา นี่ท่านขับรถซะ ยังกะ ขับในซอยบ้านตัวเอง...เพราะมีวัดอาจารย์ดังแยะ หลายวัด.....ขับกันซอกแซกเลี้ยวลดวัดต่อวัด
เรียกว่า บ้านท่านห้องๆนึง ไว้เก็บวัตถุมงคลของดี นานาวัด ยัดเข้าเกือบเต็มห้อง ยิ่งกว่าศุนย์พระบางแห่งซะอีก
ลุยหลายวัดเข้าชักเหนื่อย เบื่อ ที่สุด ก็ไปจบ ที่วัด หลวงพ่อคูณ.....หลวงพ่อคูณท่านดังยาวจริงๆ
ไม่ธรรมดาครับท่านนี้ เข้าพระเข้าเจ้าเก่ง ไปเฝ้าหลวงพ่อคูณตั้งกะเช้ามืดวันเสาร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ คิดดูเถอะว่า ทุ่มเทขนาดไหน
แค่ จะรอ ยาเส้น หลวงพ่อ แบบแบมือรับจากปากท่าน.....ทรหด จริงๆ
เหรียญหลวงพ่อคูณรุ่นดังๆ ตอนนั้น ก็ รุ่นแรก รุ่นบารมี ฯลฯ ท่านเช่าหาแบบสวยๆ แต่ที่เน้นคือ....ต้องไม่มีจาร
เพราะท่านจะเอาไปให้ หลวงพ่อจารเองจารกันเห็นๆ ท่านทนรอแบบกัดไม่ปล่อยจริงๆ เพราะความเลื่อมใส่ศรัทธา และอย่างได้ของดีสุดแบบเนื้อๆเน้นๆ
ท่านได้ของดีสะใจ ทีไรต้องแวะมาโชว์ทุกทีพร้อมของฝากจากวัด....(ชอบท่านตรงนี้แระ..ใจดีจริงๆ)
จบจาก หลวงพ่อคูณ เพราะได้ของที่มุ่งมาดครบ ตานี้ท่าน ก็หาของใหม่ตามประสา ปุถุชนกิเลสยังไม่สิ้น
โน่นเลย เล่นของหลักซะแล้ว....โชคดีที่ท่านเข้าวงถูกเจอคนดีพาเล่น กลายเป็นนักเล่นพระที่มี พระยอดๆ เจ๋งๆ ไว้ในครอบครอง
อย่างว่า เงินถึงใจถึงสมองถึง เพราะที่ได้ก็ย่อมถึง......เข้าหมู่กลุ่มพรรคพวกดีๆ ก็พาไปดี
หลักสำคัญของการเล่นพระที่วงการนิยม ผมว่า เราต้องมีแหล่งตรวจสอบสแกนพระ ที่เชื่อถือได้
ท่านไปเข้าหมู่กลุ่ม ที่ตรวจสอบแสกน พระได้ ก็เลย เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ได้ของดีๆไว้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง
จากที่เคย ไปวัดหาพระ กลายเป็นเข้าสนามหาเซียน ซะแล้วท่านนี้.....@_0
ขอบคุณ ท่าน ชมพูพร ที่แวะมอุดหนุน
พักนี้ อากาศ บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจ ไม่สถาพรเลย
ทำเอามุกฝืด ออกอาการเหมือนลิงติดฝน นั่งหลับๆตื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย
ว่าถึง รสนิยมของนักเล่นพระแล้ว คิดถึงท่านผู้รู้ของผม (ในความเห็นที่ 6 )
ท่านเล่าให้ฟังว่า ตะก่อนนี้ สมเด็จ100 ปี นี่ ท่านเข้าไปนั่งคัดเลย ในโบสถ์
พุทธาภิเษกแล้ว พระท่านก็กองไว้ในโบสถ์นั่นแหระ
พอช่วงพักเที่ยงก็รีบเผ่นจากทีทำงาน ไปวัด บอกพระก่อน แล้วก็เข้าไปนั่งคัดพระหาองค์สวยๆเลย
คัดเสร็จ ก็มาออกมาจ่ายสตังค์ทำบุญกะพระท่าน ไม่มีใครเฝ้าดูแลอะไร
โห...เป็นสมัยนี้จะเหลือเหรอ คนสมัยก่อนกับสมัยนี้ผิดกันจริงๆเรื่องความเกรงกลัวบาปกรรม
ฟังท่านเล่า แล้วน้ำลายไหล ท่านว่า ญาติมิตรเพื่อนฝูง ฝากไปเช่า คัดเอาๆ ยกมาเป็นลังๆ
ถามว่ามีเหลือมาแบ่งกันมะ 5555+ ท่านว่า แจกจ่ายไปหมดแล้ว ยิ่งช่วงมีการสวดกันเรื่องกล่องใส่พระ รำคาญเลยแจกหมด
อดเลย...เรื่่องของท่านผู้นี้มีแยะ ไว้ค่อยๆเล่านะครับ
มีเรื่องนึง ที่ทำให้ผมทึ่่งมากๆ คือ รสนิยม ในการห้อยพระของท่าน
เริ่มจากสร้อย ต้องสร้อยสแตนเลส ยี่ห้อ พุก เท่านั้น
ตลับพระ ก็ต้อง ตลับ สแตนเลส ของ พุก อีกนั่นแระ
ความสุขส่วนตัวของท่านคือ แอบหนีลูกหลานโดดขึ้นรถเมล์ นั่งไปซื้อสร้อยซื้อตลับ(เอาพระไปวัดขนาดสั่งทำ) ที่ร้าน พุก
ลูกหลานเป็นห่วงครับ วัยท่านก็ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว
ท่านนิยม ห้อยเดี่ยวครับ ห้อยนอกเสื้อ โชว์
ท่านบอกแบบปลงๆว่า คนเรามีพระเป็นร้อยเป้นพันองค์ เวลาห้อย ก็ แค่ไม่เกิน 9 องค์ อย่างผมห้อยแค่องค์เดียวเท่านั่น
เลยเอารูปตาคนนึง ที่ห้อยพระห้อยของ พร้อมๆกันทีละ เป็นร้อยๆองค์(เรียกว่ายกมาหมดบ้าน) ให้ท่านดู ถามเล่นๆว่า แล้วแบบนี้ละครับ
ท่านว่า ผมหมายถึง คนปกติธรรมดานะ ไม่ใช่ คนบ้า 5555+
ท่านว่าอีก อย่างผมต้องเรียก ห้อยพระทีละองค์ นะ ไม่ใช่ห้อยพระองค์เดียว
จริงของท่านครับ เพราะท่านจะสลับพระใส่คอทุกวัน แล้วแต่ว่าวันไหน คิดถึงอาจารย์ท่านใดก็ใส่องค์นั้น
ที่ผมทึ่ง ก็ คือ ท่านห้อยพระทีละองค์ แล้วก็เปลี่ยนพระที่ห้อยทุกวัน แต่ไม่ได้ใช้ ก้ามปู ช่วย (ก้ามปูที่มีสปริง สำหรับง้างเวลาเปลี่่ยนพระ)
มาถึง บางอ้อ เมื่อวันหนึ่ง ได้มีโอกาศไปชมคลังเเสง ของท่าน (ความเห็นที่ 6)
ได้เห็น ลูกปืนนานาชนิดและขนาด วางตั้งเอาหัวกระสุนไว้ข้างบน เรียงกันเป็นตับ ลานตาไม่รู้กี่ร้อยนัด
แต่ ที่ผมสุดจะทึ่ง ก็ คือ คลังสร้อย ของท่าน แม่จ้าวววว ....มีเป็นร้อยๆเส้น
แต่ละเส้น ใส่พระไว้เีพียง หนึ่งองค์โดดๆ เรียกว่า เวลาท่านอยากใส่องค์ให้ ก็หยิบสวมคอ ได้เลย
ทุกเส้น ก็ต้อง พุก เท่านั้น ตามมาตรฐาน ของท่าน ตลับก็ต้องพุก
คนเล่นพระ ทั่วไป มีตลับพุก สักร้อยใบในครอบครอง ก็ไม่น่าเเปลกนะครับ
ถ้ามีพระในดวงใจ ที่ต้องใส่ตลับ ถ้านิยม พุก มีพระสักร้อยองค์ ก็ใส่ตลับ พุก ร้อยใบ ไม่แปลกอะไร
แต่ คนจะมี สร้อยพุก เป็นร้อยๆ เส้น ไว้เพื่อใช้เองนี่ ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้ง ให้จริงๆ
พวกเราๆท่านๆ นี่เล่นพระเพราะอะไร เคยถามตัวเองไม๊ครับ ??
คนไม่เล่นพระบางคน ไปบอกเขาว่า นี่ องค์นี้นะ ห้าหมื่น หรือ ห้าแสน หรือห้าล้าน อาจจะเป็นสิบล้าน
พวกเขาจะทำหน้าไม่เชื่อ.....อะไรกันหว่า ? แค่ก้อนดิน ชิ้นโลหะ เล็กๆโทรมๆ นี่นะเหรอ ราคาสูงขนาดนั้น ??
แต่ถ้า ไปเปิดเว็บให้เขา ดู แสตมป์ระดับโลก บางดวง ราคา เป็นร้อยล้าน(ประมูล) เขาเชื่อครับ
ชิชิ ..... ทีกะเศษกระดาษแผ่นเท่าปลายนิ้วก้อย เก่าๆเหลืองๆ ราคา เป็นสิบล้านร้อยล้าน ดันเชื่อ....555
เราๆท่านๆ เล่นพระ เพราะอะไร ก็แล้วแต่ ปูมหลังของแต่ละคน จะเรียกว่ารสนิยมก็ได้.....บางท่านดูที่ราคา บางท่านเน้นพุทธคุณ
แต่ มีไม่น้อย ที่เก็บเพราะเนื้อหาประวัติความเป็นมา....มองในแง่วัตถุโบราณ หรือสิ่งสะสมก็ได้...แล้วแต่จะยึดหลักอะไร
จะเล่นเพราะอะไรก็เถอะ มีบางช่วงบางเวลา ที่อาจเกิดอะไรสักอย่างทำให้เรา จิตตก อย่างรุนแรง
การคาดหวัง มุ่งหวัง อะไรที่เกินเลยไปมากๆ เมื่อ พลาด ก็ ... จิตตก....
ผมเคยนะครับ ช่วงนึง ต้องการใช้เงินก้อน ก็อธิษฐานขอเอากะพระในคอเป็นพระของเกจิฯ ระดับเทพที่เคารพนับถือ
สวดมนต์ ภาวนา ขอให้ถูกรางวัลล็อตเตอรี่ รางวัลที่ หนึ่ง สักใบเถอะ หลวงพ่อ ลูกร้อนเงินคร๊าบบบบบบบ
วันหวยออกนั่งลุ้นใจสั่น จะได้เงินใช้ทันเวลาไม๊หว่า.....จวนแจ เต็มที
ไม่ถูกหรอกครับ เอ๊าละวะ ลดเป้าหมายลงมา ขอแค่ รางวัลที่สอง ละกันคร๊าบหลวงพ่อ ก็ไม่ถูกอีก
..... เซ็งโว๊ยยยยยย พระกูทั้งเด็ดทั้งดังประวัติประสพการณ์สูงส่ง ขอกันแค่นี้ช่วยไม่ได้
อย่ากะนั้นเลย ขายทิ้งซะเหอะวะ..ไม่เก็บไม่เกิบละ (ประชดชีวิต)
...เวงกำๆ พอบอกขาย ไม่ทันข้ามคืน คนเอารถมารับไปธนาคารเบิกเงินจ่ายแลกพระในคอที่บอกขาย ซะงั้น
ได้เงินก้อนมาพอดีกะที่กำลังต้องการใช้ เป๊ะๆ.......
สะใจๆ ไปเล่าให้ท่านผู้รู้ (คห.ที่ 52นั่นแระครับ) ฟัง
ว่า พระไม่ช่วยเลยขายทิ้งซะ ไม่เก็บละ ไม่เชื่อแล้ว เรื่องพุทธคุณอะไรนี่
.....555+ เลยเจอ คำเทศนาสัจจะธรรมเข้าให้ หน้าหงายเลย
ท่านว่า คนเราขอให้ถูกหวย รางวัลที่่หนึ่งกันทุกคนทั้งประเทศ พระท่านช่วยได้จริงเหรอ ถ้าท่านเสกได้คงเสกให้ รางวัลที่หนึ่ง มีสัก หกสิบล้านรางวัล คนไทยหกสิบล้านคนก็ถูกทุกคน ก็ดีนะ
ความจริงก็คือมันเป็นไปไม่ได้ อ้าวรางวัล ที่สอง ก็เหมือนกัน แค่ห้ารางวัล คนของวดนึงๆ น่าจะเป็นสิบๆล้านคน เอารางวัลที่ไหนมาแบ่งให้ทั่วๆ
ตบท้าย สุดแสบ ว่า.....
ที่คุณว่า พระไม่ช่วย แล้วเงิน ก้อนที่คุณขายพระองค์นั้นไปนั่นละ นั่นแระ พระช่วยคุณแล้ว
.....สาูธุ......

เยี่ยมจริงๆครับพี่รินแรงรัก อ่านเพลินทุกตอน นึกภาพตามนี่ ได้ฟีลจริงๆครับพี่ ^ ^
ขอบคุณครับ ท่านนิว( New_Amulet )
และขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชม ขอให้ เที่่ยวสงกรานต์กันสนุกและปลอดภัยทุกๆท่านนะครับ
มาคุยกันถึงเรื่อง จิตตก ต่อดีกว่า คราวนี้เกิดกะรุ่นพี่ คนหนึ่ง
ท่านนี้ ก็ท่านเดียวกับท่านใน ความเห็น ที่ 50 นั่นแระครับ
ที่ผมเล่า ว่า พัฒนาไวมาก จากเข้าวัดหาพระ กลายเป็นเข้าสนามหาเซียน ได้ของหลักๆหลายๆชิ้น ไว้เชยชมสมราคา
ท่านคุยให้ฟังว่า ใช้วิธีนั่งประกบเซียน รอคนมาขาย แล้วตัดกันตรงนั้นเลย ได้ของถูกดี เซียนก็ชอบ เพราะของผ่านมือผ่านตาแป๊บเดียว ก็ได้เงินใช้
อาจได้น้อยซักหน่อย แต่เร็วดี ท่านว่า เซียนมันบอกฝากไว้ที่ผมก่อน 555+
อย่างว่ามีทุนเย็นๆ ก็ทำได้ ของดีของหลัก เดี๋ยวก็มีใบสั่ง เซียนก็วนกลับมาถามหาจากท่านอีก สบายไป
แต่อย่างท่าน ออกยากเพราะเป็นพวกหวงของ ไม่ค่อยร้อนเงิน
ได้ของดีๆมาก็เอามาโชว์บ่อยๆ ลีลาท่านเป็นคนร่าเริง เสียงดัง
แค่จอดรถหน้าร้าน ก็รู้แล้วว่ามา เพราะเสียงปิดประตูรถจะดังโครม สนั่นหวั่นไหว ตามด้วยเสียงตะโกนเรียก...คุณโว๊ยยยย มาดูของดี
และแล้ว วันหนึ่ง ท่านก็มา แต่ผิดฟอร์ม มากๆ
ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาเศร้า จอดรถแล้วเดินเข้ามาแบบ เงียบๆหงอยๆ
นั่งเก้าอี้ปุ๊บ ก็ถอนใจเฮือกใหญ่ มองหน้าผม แล้วร้องคำเดียว..." หมด"
เวงกำๆ อะไรหมด....เหลื่อบดูที่คอท่าน ก็ตกใจ อ้าว สร้อยทองเส้นใหญ่พร้อมพระเลี่ยมทองหลายองค์ ไปไหนหว่า ?
จำได้ ก็ กริ่งอวโรติเกศวร รุ่นแรกเนื้อเงิน หลวงพ่อเกษม กะ กริ่งญานวิทยาคม เลี่ยมพร้อมตระกุดฝั่งแขนทองคำ ที่ท่านให้หลวพ่อคูณจารกันเห็นๆ
....ใจหายเลย โดนกระชากสร้อยหรือโดนจี้มาละนี่
ถามท่านว่า เป็นไรไปครับ แล้วสร้อยหายไปไหน
ท่านก็ว่า อ้อ ผมถอดไว้บ้านแล้วละ ถอนใจอีกเฮือก .....ขอกันแค่นี้ก็ไม่ได้ (มาอีกคน พวกจิตตก 55+)
แล้วไปนึกว่าโดนดี ซะแล้ว เสียดายแย่เลยทั้งสร้อยทั้งพระ เรื่องเป็นไงครับ
ท่านว่า...คุณเอ๊ยยย คิดดูนะ ลูกชายผมไปสอบเข้า โรงเรียนสวนกุหลาบ ผมก็อธิษฐานขอ เรื่องง่ายๆแค่นี้ พระไม่ช่วยผม
อ้าว ประักาศผลแล้วเหรอครับ ไม่ติดเหรอ....เอาน่า หาเข้าที่อื่นก็ได้
ก็ไม่ติดนะซิ ผมละมั่นใจชัวร์ๆเลย ต้องติดแน่ ขอกะพระท่านด้วย ให้ช่วยอีกแรง ดูซิ ไม่อยากเชื่่อเลย
อะไรกันวะ เคยขออะไร ก็ได้ทุกที ไม่มีพลาด ทำไมครั้งนี้ผมหวังมากๆ กลับไม่ช่วย
เวงกำๆ....คนเรา ขอได้ทุกที แสดงว่าขอสำเร็จมาหลายครั้งแล้ว มาครั้งนี้ ขอไม่ได้ เลยออกอาการซะหมดรูปหมดอารมย์
ไอ้ผมก็เป็นแค่รุ่นน้อง ไม่บังอาจไปบอกกล่าวเกินเลยกะท่านซะด้วย ต้องปล่อยให้ทำใจเอง นั่นแระ
ขอบคุณมากครับ ได้แง่คิดดีดี เยอะเลยครับ

ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ครับ ได้ทั้งความรู้จากประสบการณ์และแง่คิดต่างๆด้วยครับ

ขอบคุณครับ ท่าน เวชศรี
และ ท่าน artyhatesjazz ครับที่มาอุดหนุน
ไม่ได้อัพเดรทกระทู้ซะนานเลย เกิดอาการมุกฝืด สงสัยโม้มามากไป
ช่วงเลือกตั้ง ก็ท้องอืดท้องเฟ้อ ลุ้นนายกฯในดวงใจซะ ไม่เป็นอันทำไร อ่านแต่ข่าวทั้งวัน
ลองมาโม้กันเรื่อง เดรัจฉานวิชา กันมะครับ อ่านเอาแค่สบายๆไม่เจาะลึกอะไร
ผมโม้ไปตามประสาของผมนะ ผิดพลาดปล่อยไก่ ช่วยกันจับส่งคืนด้วย 55+
เดรัจฉานวิชา แปลง่ายๆ วิชาที่ขวาง ขวางอะไรหว่า ????
ว่ากันตรงๆ คือ ขวางพระนิพพาน ไงครับ
พระนิพพาน เป็นอุดมคติสูงสุดของศาสนาพุทธเรา วิชชาใดก็ตามที่ทำให้หนทางสู่พระนิพพานติดขัด หรือไปไม่ถึง เป็นเดรัจฉาน ทั้งนั้น
ดังนั้น ไม่ว่า จะ ไสยศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ถ้า ขวางทางพระนิพพาน ล้วนเป็นเดรัจฉานทั้งนั้น ครับ
ถ้าวิชาผูกเสน่ห์เล่ห์รัก คุณเป๋อคุณขิก หมอดู หมอผี เป็นเดรัจฉาน
ไวอาก้า เควายเจลลี ซีดีโป๊ คลิปฉาว มือถือ โยคะ แอร์โรบิค รายการ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนซ์ ก็เป็นเดรัจฉานหรือเป็นผลต่อเนื่องมาจากเดรัจฉานวิชชา เช่นเดียวกัน
จริงๆแล้ว ทุกวิชาในโลกนี้ เป็นเดรัจฉานทั้งหมดเลยแระ พวกที่เรียนสูงยิ่งสูง ยิ่งเดรัจฉาน
ดูพวกนักการเมืองบางประเภท หรือ นักวิชาการขายตัว นั่นแระ เดรัจฉานตัวแม่ตัวพ่อ เลยทีเดียวเจียว
พระเณรที่ไปเรียนต่อทางโลก ไปกวดวิชา ไปทำปริญญาเอกโทตรี ทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่ไปเรียนเดรัจฉานวิชชาด้วยกันหมดทั้งสิ้น
วิชาที่เป็นทางตรงสู่นิพพานของพระพุทธเจ้า คือ มรรคแปดอริยสัจจ์สี่ นอกนั้น ไม่ใช่
สรุป เดรัจฉานวิชชา ไม่ไ้ด้ชั่วร้ายอะไร มันอยู่ที่จุดมุ่งหมายของแต่ละบุคคล
เป็นพระเป็นเจ้า หากมุ่งพระนิพพานโดยตรง ก็ต้องหลบ หลีก เลี่ยง จากเดรัจฉานวิชชาทุกรูปแบบ ทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่แอบจิตด้วย
มุ่ง ศิล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติมรรคแปด เพื่อให้บรรลุ อริยสัจสี่(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) จึงจะถึง พระนิพพาน (ชาตินี้หรือชาติหน้า)
คนธรรมดา อย่างเราๆท่านๆ พูดไปทำไมมีอาศัย เดรัจฉานวิชชา เลี้ยงอาตมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ด้วยกันทั้งนั้น
เดรัจฉานวิชาที่เราเลือกใช้ ก็ต้อง แบบสายบน(55+) สายเทพ อันเป็นวิชาชีพหรืออาชีพที่สุจริต ค้าขาย รับราชการ หรือเช่น เปิดเว็บขายพระแท้ แบบผมเป็นต้น ฮิๆ
เดรัจฉานวิชาสายล่าง หรือสายมนต์ห่าซาตาน อาทิ ขายยาบ้า เป็นมือปืนรับจ้างยิงหัวคน เป็นนัการเมืองขี้โกง เป็นนักวิชาการขายตัว หรือปั๊มพระเก๊ขาย ฯลฯ แบบนี้ เราก็อย่าไปข้องแวะกะมัน
ชักยาว เริ่มสับสน เอาไว้แค่นั้นก่อนนะครับ ไว้มาโม้ต่อ ถึงเรื่อง เดรัจฉานวิชาสาขา ไสยศาสตร์ กัน
สงสัยกันไหมครับ ทำไม อริยสงฆ์ ระดับ หลวงพ่อเดิม หลวงปู่ศุข หลวงปู่เทพๆ ทั้งหลาย ถึงยังข้องอยู่ใน เดรัจฉานวิชา
เอาไว้มาโม้ต่อกันครับ (โม้ตามทัศนะของผมนะ ผิดถูกไม่รับผิดชอบ 55+)
สวัสดีรัฐบาลใหม่ครับ พี่น้อง ดูๆกันไป นายกรัฐมนตรี หญิงคนแรกของประเทศไทย จะ โดนข้อหา ดีแต่สวย หรือไม่ เอาใจช่วยกันหน่อย ทุกสีเสื้อนะครับ
ห่างหายจากการโม้ไปซะนาน ติดค้างเรื่อง เดรัจฉานวิชา กับพระสงฆ์องคเจ้า อยู่
ความเห็นทีแล้ว คุยไว้ว่า ทุกวิชาในโลกนี้ ถ้าขวางทางพระนิพพาน ก็ นับเป็นเดรัจฉานวิชชา ทั้งนั้น
ความจริงผมไม่น่าเปิดประเด็น นี้ขึ้นมาเลย เพราะ มนุษย์ขี้เหม็นมีชีวิตห่วยๆ แบบผม จะไปโม้เรื่องแบบนี้ เห็นว่าเกินแรงไม่เจียมบอดี้จริงๆ
เอาเป็นว่าโม้ตามขอบเขต ความรู้ที่ตัวมีแล้วกัน เพราะส่วนหนึ่งก็เพื่อตอบข้อสงสัยขัดแย้งในใจของตัวผมเอง ที่เคยมีมา
ว่า ทำไม เกจิอาจารย์ระดับเทพ หลายต่อหลายท่านยัง ข้องแวะ หรือยุ่งอยู่กับเดรัจฉานวิชา
แบบที่ เคยฟังมา อาทิ หลวงปู่ศุข ยังเสกต่อเสกแตน ได้ หรือ หลวงพ่อเดิม ยังสร้างพระรูปเหมือนตัวเอง เสกตระกรุด เสกงาแกะ เสกอะไรต่อมิอะไรสารพัด ฯลฯ
กรณี พระสงฆ์ กับ เดรัจฉานวิชา เอาเป็นข้อๆละกัน ไม่งั้น สรุปไม่ลง 55+
ข้อแรก เดรัจฉานวิชชา คือวิชชาที่ขวางทางพระนิพพาน ดังนั้น ไม่ว่า จะไสยศาสตร์สายล่างสายบนมนต์ขาวมนต์ดำ หรือ จะวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าทันสมัย ก็เป็นเดรัจฉานทั้งนั้น
ข้อสอง ทำไม พระสงฆ์์ องคเจ้า ทั้งหลายถึงยังข้องแวะ อยู่กับ เดรัจฉานวิชชากันไม่ว่างไม่เว้นองค์ อันนี้ต้องมองให้รอบด้าน องค์ไหนท่านเล่นไสยศาสตร์ จะไปว่าท่านเล่นเดรัจฉานวิชา ก็ว่าได้
ดังนั้น องค์ไหน เล่นเน็ต เล่น BB เล่นมือถือ เล่น คอมฯ ฯลฯ ก็ต้องนับว่าท่านองค์นั้น กำลัง เล่นกับเดรัจฉานวิชชาเหมือนกัน
ผมเคยจอดรถติดไฟแดงอยู่ มีรถสปอตแดงแป๊ดด แบบเปิดประทุน แล่นปร๊าดดด มาเทียบข้างๆ หันไปมอง ก็ต้องสดุ้งโหยง แม่จ้าวตาเถรเณรชี
อะไรกันวะนั่น!! พ่อเจ้าประคุณ คนขับหันมาสพตายิ้มหวาน หัวล้านเหน่งโกนใหม่ๆ ห่มจีวรเหลืองอร่าม นี่แระ เดรัจฉานวิชชาเห็นๆ
สรุป ข้อนี้ก่อน ว่า พระก็คือคนธรรมดา ที่มีสถานะสูงกว่าคนทั่วไปเพราะได้บวชเรียน การจะเล่น หรือศึกษา เดรัจฉานวิชชาใดๆ ไม่ผิด ไม่ปราชิกนะครับ
แต่ถ้าท่านมุ่งทางธรรม หวังนิพพาน การมัวหมกมุ่นกับวิชชาพวกนี้ ก็ทำให้ ท่านถึงจุดหมายทางธรรม ช้าไป หรือไปไม่ถึง
ข้อนี้ มี ข้อสังเกตุ ว่า พระจะ ปาราชิก คือ การอวดอ้างตนว่าได้ธรรม ได้อริยะขั้นนั้นขั้นนี้ โดยทั้งที่ท่านไม่ได้บรรลุธรรมขั้นนั้นจริงๆ
แต่ถ้าอวดตัวว่า เก่งนั่นเก่งนี่ เสกนั่นขลังเสกนี่ขลัง อวดว่ามีพลังจิต แบบนี้ ไม่ปาราชิก แม้ จะ ไม่จริง ก็ แค่ผิดศิล เป็นอาบัติขั้นใดก็ไปไล่ดู (ผมก็ไม่ค่อยจะรู้)
ตานี้ เรามาดูกันว่า เป็นพระเป็นเจ้า เล่นเดรัจฉานวิชชา เหมาะไหม ควรไหม ??
ข้อแรก... พระก็มาจากคนธรรมดา วิชชาต่างๆ ที่ท่านมี ก็อาจมีหรือศึกษามาก่อนบวช เป็นวิชชาติดตัว อ่านประวัติ พระเกจิฯ บางองค์ ก่อนบวชท่านก็ศึกษาคาถาอาคม จากพ่อของท่าน หรือจากญาติผู้ใหญ่ของท่าน
หรือสมัยนี้ พระก่อนบวชท่านจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยมาก็มี เมื่อบวช วิชชาหรือปริญญาเหล่านั้นก็ยังอยู่ติดตัว อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
ข้อสอง...เมื่อบวชเรียนแล้ว ศึกษาวิชชาต่างเพิ่มเติม นอกเหนือจากพระธรรมในศาสนา ได้ไม๊ ???
ได้ซิครับ ถ้าไม่ผิดศีลหรือเดือดร้อนชาวบ้าน วิชชาต่างๆสมัยโบราณ ก็จารใส่ใบลานเก็บไว้ในวัดนั่นแระครับ พระท่านว่างก็เอามาอ่านเอามาศึกษา เวลาร้อนวิชา ก็มีการลองกันบ้างเป็นธรรมดา
บางวิชา เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน ก็ ใช้โปรดญาติโยมตอบแทนข้าวที่ชาวบ้านใส่บาตร ได้ด้วย
ไม่ว่า จะ เป็นหมอยา หมอดู หรือ หมอผี พระท่านมีสิทธิ จะร่ำเรียนทั้งนั้น
ในข้อนี้ ผม ขอยกประโยชน์ของการที่พระศึกษาวิชา นอกเหนือ จากพระธรรม คือ
1. เป็นการสืบทอดรักษาวิชา ตำรา โบราณของเก่าไว้ ไม่ให้สูญหาย เพราะนี่ คือสมบัติของมนุษยชาติส่วนหนึ่ง
2. ใช้โปรด ญาติโยมรอบข้าง ผ่อนทุกข์ผ่อนโศรก ให้คนทั่วไป (เป็นการสร้างบารมีธรรมประการหนึ่ง)
ชาวบ้าน เดือดร้อน ปวดท้องผัวทิ้งลูกจะไปเกณฑ์ทหาร หรือขึ้นบ้านใหม่ ก็เข้าวัดให้พระ ช่วย ก็บรรเทาทุกข์ไปได้
3.ใช้ป้องกัน และรักษาตัวเอง เฉกเช่น พระที่ออกธุดงค์ไปในป่าลึก ชายแดนอันตราย ก็ต้องหาวิชชาไว้คุ้มครองป้องกันตัว
เรียนรู้ เวทย์มนต์กันคนกันผี เรียนรู้และรู้จักสมุนไพรนานาชนิด ไว้แก้ไข้แก้อาพาธให้ตัวท่านเอง และเพื่อนร่วมทาง ระหว่างอยู่ในไกลจากชุมชม
เห็นไม๊ครับ พระท่าน เรียนรู้วิชชาใดๆ ก็ได้ ถึงจะเรียกว่าเป็นเดรัจฉานวิชชา ก็ตาม
ข้อสังวรณ์ คือ การที่พระจะเรียน จะใช้ วิชชาใดๆก็ตาม ถ้าตะบะไม่แข็งจริง ธรรมวินัยไม่เเม่นพอ ก็สุ่มเสี่ยง กับการอาบัติ จากเบาไปหาหนัก อาจถึงขั้นปาราชิกเอาก็ได้
ตัวอย่าง เช่น ไปหลอกหรือคุยอวดชาวบ้านว่า ตนสำเร็จวิชชาหมอดูขั้นเทพ แต่ไม่สำเร็จจริง อาบัติแน่ ผิดศิลข้อสาม ไม่ถึงปาราชิก
แต่ถ้า เอาสิ่งที่ไม่จริงนั้น ไปหลอกลวงชาวบ้าน หลอกดูหมอเขาแล้วเสดาะเคราะห์ เอาเงินชาวบ้าน แบบนี้ อาบัติสูงร้ายแรง ถึงขั้นปาราชิก เลยทีเดียว
เพราะ ไปโขมยหรือโกงทรัพย์ผู้อื่น แม้แค่ 1 บาท ก็ ปาราชิก แล้ว (อันตรายมากๆสำหรับพระในข้อนี้)
พระ เกจิฯหลวงพ่อหลวงปู่ที่คนทั่วไปนับถือ ก็เพราะท่าน ไม่ได้เอาวิชชาเหล่านั้นมาหากิน ท่านบริสุทธิ์ใจ ที่จะใช้วิชชาให้เกิดประโยชน์ต่อคนทั่วไปอย่างแท้จริง
อย่างที่เราได้ยินมา อาทิ เสกต่อเสกแตนเสกกระต่ายเพื่อ กำหราบคนพาลคนเกเร หรือ เอากระลาครอบช้างทั้งตัว ฯลฯเพื่อดัดหลังสั่งสอนคนโกง
สร้างพระแจก แลกกะซุง ที่ชาวบ้านช่วยกันลากมาสร้างวัด หรือ สร้างเหรียญแจกให้บรรดาแม่ครัว ที่สละแรงงานมาช่วยงานวัด เป็นต้น
ดังนั้น การจะสร้างวัตถุมงคล ใดๆ ไม่ว่า จะ พระเครื่อง เครื่องราง ฯลฯ แม้จะนับว่าเป็นเดรัจฉานวิชชา แต่ถ้าสร้างด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ของวัด ประโยชน์ของสังคม
จึงไม่ใช่ข้อห้าม หรือต้องตำหนิ หรือมองในแง่ลบ จนเกินไป หนำซ้ำ เ็ป็นบุญกุศลอีกด้วยมากน้อยก็แล้วแต่แรงอนุโมทนาของญาติโยม
ดังนั้น จึงต้องดูที่่จิตเจตนา หวังบุญกุศล ดูที่ผลประโยชน์อันสังคมพึงได้รับ อย่าไปเคลือบแคลงว่า พระท่านเล่นไสยศาสตร์ เล่นเดรัจฉานวิชา
เอาแค่นี้ก่อนละครับ ไว้ มาโม้อีก ถ้ามีมุกใหม่ๆ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา อ่าน แวะชมครับ กำลังเตรียมเรื่องโม้ตอนต่อไป หาข้อมูลประกอบแป๊บ
เป็นเรื่่อง ของ ท่านสมเด็จพระพุทธาจารย์โต กับ เดรัจฉานวิชชา ถ้าสนใจรออ่านนะครับ

รออยู่ครับท่าน....
อิ อิ ท่านริน น่าจะจัดมวยคู่เอก ระหว่าง พระกรุ....VS.....พระกุ ( ผียัดกรู ) ก็แจ่มเลยนะท่านนะ
น้ำลดสวัสดิ์ ครับทุกท่าน
น้ำแห้งแล้ว คงได้มาเจ๊าะแจ๊ะกันใหม่ละครับ
อนาคตของประเทศนี้ แขวนอยู่กับเขื่อนจริงๆ ตั้งแต่การเมืองยันเศรษฐกิจ
หวังว่า ด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ที่พวกเราเคารพยึดถือ จะดลบันดาลให้หนักกลายเป็นเบา ถ้าเบาๆ ก็ให้สบายคลายทุกข์กันทั่วหน้าเทอญ