
หัวข้อ: ประวัติหลวงพ่อสม วัดดอนบุพผาราม จ.สุพรรณบุรี
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
ชีวประวัติ หลวงพ่อสม วัดดอนบุบผาราม
พระเกจิอาจารย์ผู้มีชีวิตยืนยาว ๕ แผ่นดิน
ชาติภูมิ
นามเดิม สม นามสกุล ยาอุไร
เกิดวันที่๒๑เดือนพฤษภาคม ปีพุทธศักราช๒๔๔๑
ณ.บ้านเลขที่ ๑๓๐ หมู่บ้านทองลุ่ม หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านกร่าง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี
โยมบิดาชื่อ นายถมยา โยมมารดาชื่อ นางบุญมา
มีพี่น้องทั้งหมด ๔ คน หลวงพ่อสมเป็นบุตรคนที่ ๒
อุปสมบท
อุปสมบทวันที่ ๑๖ เดือนสิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ ณ. พัทธสีมาวัดตะค่า (วัดดอนบุบผารามในปัจจุบัน) ตำบลบ้านกร่าง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี
พระครูธรรมสารรักษา (หลวงปู่อ้น) วัดดอนบุบผาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการผ่อง วัดยาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการโฉม วัดพังม่วง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า คงฺคสุวณณฺโณ ในช่วงพรรษาแรก หลวงพ่อสมได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อ้น ที่วัดดอนบุบผาราม ศึกษาวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่อ้น ซึ่งหลวงปู่อ้นท่านรักหลวงพ่อสมมาก ท่านถ่ายทอดสรรพเวทวิทยาคมต่างๆที่ท่านึกษามาทั้งชีวิตให้หลวงพ่อสมมากมาย
พระครูธรรมสารรักษา หรือหลวงปู่อ้น รูปนี้เก่งมากๆ พระเกจิอาจารย์ยุคเก่าในสมัยนั้นเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านมากมาย กล่าวกันว่าในยุคสมัยนั้นวัดดอนบุบผารามเปรียบเสมือนตักศิลาแห่งการเรียนรู้อีกแห่งหนึ่งของเมืองสุพรรณในสมัยนั้นทีเดียว
หลวงปู่อ้นท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ยุคเดียวกับท่านหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา ยังเคารพนับถือหลวงปู่อ้นเอามากๆ และหลวงปู่อ้นท่านยังดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีในสมัยนั้นด้วย
ทั้งยังเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากของเมืองสุพรรณบุรีในสมัยนั้น ขึ้นชื่อด้านพระเวทวิทยาคม และแพทย์แผนโบราณ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ที่โด่งดังในอันดับต้นๆได้แก่ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน , หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ , หลวงพ่อสม วัดดอนบุบผาราม ฯลฯ เป็นต้น
วันที่หลวงปู่อ้นมรณะภาพ หลวงพ่อพริ้ง วัดวรจันทร์ ยังกล่าวกับศิษย์ว่าเมืองสุพรรณสิ้นคนดีไปอีกคนแล้ว
ในงานฌาปณกิจศพท่านเป็นงานใหญ่โตมากในสมัยนั้น นับว่าเป็นงานที่รวมตัวพระเกจิพระคณาจารย์ทั่วฟ้าเมืองไทยมากมาย
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๒ หลวงพ่อสมได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เข้ม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร โดยจำพรรษาที่วัดนี้ อยู่คณะ๙ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี สอบนักธรรมชั้นตรีได้ ยังไม่ทันสอบบาลีก็ต้องเดินทางกลับวัดดอนบุบผาราม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๗
หลวงพ่อสมเดินทางกลับวัดดอนบุบผารามก็เพื่อปฏิบัติพระอุปัชฌาย์จารย์คือ หลวงปู่อ้น ซึ่งขณะนั้นอาพาธ และต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ แรม๑๔ค่ำ เดือน ๑๑ หลวงปู่อ้นก็มรณภาพด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๘ ปี
ปฏิปทาของหลวงพ่อสม
หลวงพ่อสม ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในทางปฏิบัติมาก เป็นพระที่มีเมตตาจิตต่อประชาชนเสมอเหมือนกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ท่านเป็นพระพัฒนาทั้งอาคารสถานที่ การศึกษา จนกระทั่งพัฒนาคน ส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียน อบรมศีลธรรม จริยธรรม แก่พุทธศาสนิกชนให้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพระพุทธศาสนา และประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและบ้านเมือง เรียกได้ว่าหลวงพอสมท่านเพียบพร้อมไปด้วยปฏิปทา ศีลาจารวัตร ท่านพูดจาไพเราะมาก ไม่ใช้วาจาที่ผิดจากสมณสารูป ญาติโยมมาหาท่าน ท่านจะยิ้มรับเสมอ มีความประสงค์สิ่งใดบอกท่านได้ ท่านจะช่วยสงเคราะห์ อนุเคราะห์ให้จนเป็นที่พอเหมาะพอดี หลวงพ่อสมไม่เคยใช้ว่าจาที่เปล่งออกไปซึ่งทำให้บุคคลใดเจ็บใจเลย หรือพูดสั้นๆว่า “หลวงพ่อด่าไม่เป็น”
คำสอนที่หลวงพ่อสมท่านมักกล่าวเสมอเมื่อลูกศิษย์มาหาท่านคือ
“สะทา โสตถี ภวันตุ โว จงทำดี พูดดี คิดดี จะเป็นศรีแก่ตน”
เหตุการณ์วันมรณภาพ
ยามรุ่งอรุณของวันที่ ๕ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ ตรงกับแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ซึ่งเป็นวันพระทำบุญตรุษตามประเพณีไทย ชาวบ้านต่างก็ทยอยกันมาทำบุญใส่บาตร เวลา ๐๗.๑๕ น. ภิกษุสามเณรลงสู่ศาลาการเปรียญ และพร้อมกับนั่งบนอาสนะสงฆ์แล้ว ทายกก็ได้ดำเนินศาสนพิธี
ขณะนั้นหลวงพ่อสมท่านอาพาธอยู่ที่กุฏิ หลวงพ่อสมได้ยินเสียงพระกำลังให้ศีลอยู่บนศาลาใหญ่ ท่านจึงถามพระมหาสมทรงซึ่งอยู่ปฏิบัติรับใช้ในที่นั้นว่า “วันนี้เขาทำอะไรกัน” พระมหาสมทรงก็ตอบว่า “วันนี้เป็นวันพระสิ้นเดือน๔ เขาทำบุญกัน” และแล้วหลวงพ่อสมก็ตอบมาทันควันว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันตายวันนี้แหละ” ทุกคนที่นั่งตรงนั้นทั้งพระมหาสมทรงและ หลวงพ่อเป๋ (บิดาของหลวงพ่อวิชัย วัดหนองเพียร พระเกจิอาจารย์ผู้สืบทอดสายหลวงพ่อสมในปัจจุบัน) ที่ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อสมอยู่ ต่างก็ตกตะลึง สักครู่หลวงพ่อสมพูดว่า “นำพระมาให้ที จะแจกแก่ทุกคนที่อยู่ในที่นี้” ลูกศิษย์จึงหยิบเหรียญรุ่นเสมาน้อย ปีพุทธศักราช๒๕๒๘ ใส่พานมาถวายท่าน หลวงพ่อสมจึงหยิบเหรียญแจกแก่ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นทุกคน เสร็จเรียบร้อยแล้วท่านจึงพูดว่า “อยากเข้าห้องน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด” พูดเสร็จแล้วท่านก็ลุกขึ้นยืน มือทั้งสองยันกับเตียงพยุงตัวให้ลุกขึ้น จัดแจงจะออกเดินไปห้องน้ำ พระมหาสมทรงจึงบอกว่า “หลวงพ่อไม่ต้องเดินเองหรอก ผมจะประคองหลวงพ่อไป” ท่านก็ยินยอมให้พระมหาสมทรงกับหลวงพ่อเป๋พาท่านไปเข้าห้องน้ำ หลวงพ่อสมท่านชำระสิ่งปฏิกูลภายในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ท่านก็สรงน้ำฟอกสบู่ถูตัวจนเกลี้ยงเกลาดีแล้ว ท่านก็ออกจากห้องน้ำ โดยมีพระมหาสมทรงและหลวงพ่อเป๋ประคองมา ท่านมานั่งบนเตียงนอนของท่าน ท่านบอกว่า “ช่วยเช็ดตัวฉันให้แห้งด้วย” พอเช็ดตัวท่านแห้งดีแล้ว ครองจีวรเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อสมจึงบอกว่า “จะนอนแล้วนะ” พระมหาสมทรงก็ประคองให้ท่านนอน
มรณภาพ
หลวงพ่อสมท่านก็นอนเหยียดเท้าทั้งสองตรง เอามือทั้งสองมาวางทับกัน เอามือขวาทับมือซ้าย ประดุจดังว่าท่านเข้าสมาธิ แล้วท่านก็นอนหลับตาทั้งสองอย่างสนิท จากนั้นท่านก็หายใจแผ่วเบาลง และอ่อนลงเรื่อยๆ แล้วหลวงพ่อสมท่านก็สงบนิ่งโดยที่ไม่มีอาการหวั่นไหวกายสะเทือนแม้แต่สักนิดเดียว ประดุจดังเทียนที่สว่างไสว พอหมดไส้และหมดไขแล้วดับไปเองฉันนั้น ในเวลา ๐๗.๕๐ พอดี
สิริอายุ ๙๑ ปี ๑๐ เดือน ๑๕ วัน ๗๑ พรรษา

ดีครับ ช่วยๆกันเผยแพร่บารมีหลวงพ่อ
เยี่ยมครับ


เยี่ยมครับพี่

เยี่ยมมากๆครับ และเป็นแรงใจช่วยกันเผยแพร่หลวงพ่อสมครับผม