
หัวข้อ: คุยกันสนุกครับ เรื่องหวงวิชา
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

พอดีว่าตั้งแต่ย้ายมาเพิ่งว่างพอไปสนุกกับชาวบ้านได้บ้าง ว่าแล้ววันนี้(เสาร์)ก็จัดแจงเดินลงเขาไปเล็กน้อย ยังอยู่ที่เดิมกิจกรรมยามว่างของชาวบ้าน กัดปลากัด ได้คุยนั่งเล่นสนุกดีแท้ แย่นิดหน่อยตอนจ่ายเงิน(เสียไม่พัก) พอดีว่ามีโอกาสได้เจอลุงอยู่ท่านนึง ท่านจำได้ว่าผมพอดูพระได้บ้าง จึงได้คุยสนทนากันและท้ายที่สุดก็ไปส่องพระกันที่บ้าน นั่งรถลงเขากันไปสักครู่ก็ถึง พูดคุยกันอย่างสนุก โดยมีลูกชายของลุงมาร่วมวงด้วย จนกระทั่งลูกของลุงถามผมขึ้นมาว่า จ่าเป็นเซียนพระจริงๆหรอ เพราะผมเห็นแต่พวกเซียนพระมัน ชอบหวงวิชา ไม่ค่อยพูดอะไร ชอบว่าพระคนอื่นแล้วกดราคากัน พวกผม(ชาวบ้าน)แถวนี้ไม่มีใครชอบและไม่เอามันแล้ว ผมจึงตอบกลับไปว่า ผมก็แค่คนที่ชอบและสะสมเท่านั้นครับ เพราะเราเป็นทหารมันก็ต้องมีของดีติดตัวไว้บ้าง(เมื่อก่อนดันเอาไปขายแลกเหล้าไว้มาก พอมีลูกชายเพิ่งรู้สำนึกว่ามันหาไม่ได้แล้ว) และอีกอย่างคุยกันมันก็แลกเปลี่ยนความรู้ ผมเองก็ใช่รู้จักพระทุกองค์ครับ เมื่อตอบกลับไป ลูกชายลุง จึงพูดกลับมาว่า มิน่าหล่ะไม่หวงความรู้เลย ผมจึงได้คุยต่อว่า ครั้งนึงคำถามนี้ผมก็เคยถามครูของผม ที่ท่านเมตตาสอนเรื่องพระให้ว่า ครูสอนให้ขนาดนี้ไม่เก็บไว้บ้างหรอครับ ถ้าสักวันนึงมีลูกศิษย์เก่งกว่าจะทำอย่างไง ครูท่านยิ้ม แต่แทนที่จะตอบมาตรง ๆ ท่านกลับเล่านิทานให้ฟังแทน อยากฟังไหม ลูกของลุงตอบว่าอยากฟัง
ในสมัยก่อน ที่เมืองจีน มีอาเหลียงกับอาเฟยเป็นเพื่อนกัน เขาทั้งคู่ได้ไปเรียนที่เดียวกัน อาเหลียงเป็นคนที่หวงวิชามาก เนื่องด้วยเขากลัวว่าถ้าหากอธิบายความรู้ที่เรียนมาจากอาจารย์ ให้เพื่อน ๆ ที่ไม่เข้าใจ ให้เข้าใจ ไม่แน่ในอนาคตคนผู้นั้นจะเก่งกว่าตนก็ได้ อาเหลียงจึงไม่คุยและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเมื่อเพื่อน ๆ มาถาม ผิดกับอาเฟย เขากลับอธิบายสิ่งที่อาจารย์สอน จนเพื่อน ๆ เข้าใจโดยไม่ปิดบังสิ่งใดเลย และในบางครั้งอาเฟยก็ชวนเพื่อน ๆ ศึกษาและถกปัญหาต่าง ๆ ด้วย และคำถามที่ยกมาถามนั้นอาเฟยก็มักจะเป็นคนแรกที่ตอบได้ด้วย อาเฟยก็ไม่มีความคิดที่จะปิดบังสิ่งใด เขายังอธิบายให้เพื่อน ๆ ทุกคนเข้าใจด้วย เรื่องนี้สร้างความงุนงงให้กับอาเหลียงมาก อยู่มาวันนึง ทั้งคู่ได้มีโอกาสคุยกัน อาเหลียงจึงได้ถามอาเฟยว่า อีกไม่นานก็จะสอบจงหงวนแล้ว นายไปสอนคนอื่นเขาอย่างนี้ไม่กลัวว่าเขาจะเก่งกว่าหรือเพราะตอนสอบทุกคนที่นี่ก็คือคู่แข่งทั้งนั้น อาเฟยได้แต่ยิ้มแล้วไม่ว่าอะไร จนเมื่อสอบจงหงวนแล้วประกาศผลมา อาเฟยก็สอบได้ที่หนึ่งโดยมาอาเหลียงเป็นที่สอง แต่คะแนนกลับห่างกันลิบลับ อาเหลียงจึงไปถามอาเฟยว่าทำได้อย่างไง เพราะเขาเห็นแต่อาเฟยคอยแต่สอนและอธิบายให้กับเพื่อน ๆ ในห้องที่ไม่เข้าใจเท่านั้น อาเฟยก็ตอบคำตอบมาที่เรียบง่ายที่สุด ก็ตอนที่ฉันสอนและอธบายให้เพื่อน ๆ ฟังไง นั่นหล่ะคือตอนที่ฉันทบทวนตำรา เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้แล้ว เราก็ไม่สามารถอธิบายเขาให้เข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้การที่ฉันได้อธิบายความรู้นั้น ๆ ให้เพื่อน ๆ จนเข้าใจ จึงไม่ต่างอะไรกับการทบทวนตำราและทำความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมาพร้อม ๆ กัน
ครูท่านจบเรื่องเล่าเท่านี้แล้วหันมาคุยกับผมต่อ เข้าใจไหมหล่ะ คนเราน่ะมันต้องศึกษาหาความรู้ไว้ตลอด การที่เราไม่หวงความรู้แล้วแลกเปลี่ยนกัน มันไม่ใช่แค่ทำให้เราได้รู้จักคนเพิ่มเท่านั้น เราก็ได้ความรู้จากคนที่เราคุยด้วยเช่นกัน เพราะบางครั้งการศึกษาพระในสายที่เราไม่ถนัดเราก็พลาดได้เหมือนกัน การที่เราไม่หวงความรู้ในสิ่งที่เรารู้ คนที่คุยด้วยเขาก็ไม่หวงที่จะบอกสิ่งที่เขารู้เหมือนกัน จึงเหมือนกับการทบทวนและแลกเปลี่ยนความรู้กัน จงจำไว้นะ ถ้าไม่รู้ก็อย่าอวดรู้ ถ้ารู้ก็อย่าหวงวิชา แล้วความรู้จะมาเองขอเพียงแค่พูดคุยเท่านั้นเอง
หลังจากเล่าเรื่องนี้เสร็จแล้วผมก็ได้คุยกับทั้งคู้ต่อจนเย็นแล้วจึงกลับขึ้นเขาครับ การพักผ่อนของผมเมื่อวานนี้ทำให้นึกเรื่องดี ๆ นี้ได้ จึงขอเอามาแบ่งปันนะครับ แล้วก็ตอนที่จะจบตอนก็นึกถึงเรื่องเก่าไม่มากได้อีกเรื่องนึง จึงขอเล่าไว้เป็นอุธาหรณ์นะครับ เป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่อวดว่าเก่งเป็นเซียนพระนะครับ
เมื่อสองสามเดือนที่แล้วผมได้พบกับ คน ๆ นึงที่หาพระจากบ้านไปปล่อยให้คนอื่น บางทีก็เอาไปปล่อยที่สนาม(ถ้าจำไม่ผิดลักษณะนี้น่าจะเรียกว่าผีสนาม) ผมกับหัวหน้าได้เดินทางไปที่วัดแห่งนึงเพื่อพักผ่อนและพูดคุยเรื่องพระ(วัดนี้มีพระที่ชอบพระเครื่องอยู่เยอะครับ) โดยนั่งกันอยู่หลายคนและมีพระวางอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนเพื่อศึกษาและเปลี่ยนความรู้กัน อยู่ ๆ คนนี้ก็เดินเข้ามา มาส่องพระและสวดพระเสียยับทีเดียว เรื่องนี้ผมก็ดูไม่พอใจแต่หัวหน้าผมยังยิ้มเฉย ๆ อยู่ ผมจึงไม่พูดอะไรมา เพราะพระที่วางส่วนใหญเป็นของหัวหน้า เขาไม่พูดผมจึงพูดไม่ได้ หลังจากเขาสวดเสร็จก็เริ่มการโฆษณาเสนอพระของเขาทันที เรื่องมันก็เกิดขึ้นเมื่อตอนเอาพระ หลวงพ่อล้าน วัดขนาย ออกมา(ขอไม่บอกรู่นนะครับ) มาคุยว่าเป็นรุ่นกรรมการสร้างน้อย พร้อมกล่องติดจีวรมาด้วย และอะไรอีกต่าง ๆ ผมฟังแล้วสะดุ้ง ก็จะตอบกลับไปว่ามันเก๊ร้อยเปอร์เซ็น แต่ไม่ทันเสียแล้ว หัวหน้าผมที่ยิ้มอยู่ตลอดพูดมาคำว่ารุ่นนี้มันไม่มีสร้างมาแบบนี้ พอได้ยินหัวหน้าผมพูดเช่นนี้เข้า แทนที่จะรับฟังบ้างกลับมากล่าวหาวาหัวหน้าผมไม่รู้จริง มันมี.......(ว่าไปตามเรื่อง) หัวหน้าผมก็ปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง ๆ ที่สร้างมาแบบนี้ อีกอย่างรุ่นกรรมการก็สร้างมาแค่ 19 ชุดเท่านั้น(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ พอดีจำไม่ค่อยได้) มีการตอกโค๊ตชัดเจน คน ๆ นี้ก็ยังดื้อเถียงต่อว่ามันมี จนเริ่มมีปากเสียงกันหนักขึ้น จนในที่สุดเรื่องก็จบลงในคำพูดที่ว่า ผมจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามันมีสร้างมาแบบไหนบ้าง ก็ในเมื่อรุ่นนี้ผมเป็นกรรมการการจัดสร้างเอง และเป็นคนหาวัตถุดิบเอง โค๊ตที่ตอกผมก็เป็นคนคุมทหารไปตอกเอง ผมจะจำได้ได้เลยหรือไงว่าสร้างอะไรออกมาบ้าง หลังจากที่ได้คุยกันในวันนั้น ผมก็ไม่ได้เห็นคน ๆ นี้ที่วัดอีกเลย (ดันไปเถียงกับสายตรงหลวงพ่อ เลยโดนตอกกลับ) นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านที่ศึกษาเรื่องพระให้รับฟังไว้นะครับ การแลกเปลี่ยนความรู้มันมีความสำคัญ อย่าเถียงว่าของข้ามันแท้เพียงอย่างเดียว แต่ควรรับฟังผู้อื่นบ้าง วันนี้ขอคุยเท่านี้นะครั ขอบคุณครับ

เยี่ยมครับ เขียนได้ยาวแต่อ่านลื่นใหลมาก เหมือนหนังจีนกำลังภายใน มีทั้งบุ๊นทั้งบู๊
แต่สวนตัว ถ้าผมเจอคนแบบที่ท่านเล่า ผมจะไม่เถียงนะ จะปล่อยให้มันรู้แบบผิดๆ ตอกฝาโลงไปจนวันตายเลย 555

เอวังฯ...ด้วยประการฉะนี้....อิฉันเคยพูดไว้ในกระทู้เก่าๆว่า..." บนโลกใบนี้ไม่มีเซียนที่มีลมหายใจ " มีแค่รู้มากหรือรู้น้อยเท่านั้น...และที่เจอส่วนใหญ่ตามสนามพระขนาดเล็กๆ จะมีผู้รู้น้อยที่ชอบทำเป็นรู้มากซะเยอะ...และที่สำคัญ..ดันไปแนะนำคนที่ไม่รู้พากันออกทะเลด้วยกัน.บางครั้งได้ยินเค้าคุยกันมันอยากจะเข้าไปร่วมวงคุยด้วยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน...แต่ติดที่เป็นผู้หญิงเดี๋ยวเขาจะว่าเอาเหมือนที่เคยโดนมา..เป็นผู้หญิงนี่...เล่นพระมากี่ปี..เคยเห็นเคยรู้หรือเปล่า...แล้วก็มองแบบว่า...ข้านะรู้..ดูขาด...นับแต่นั้นก็ไม่เคยเป็นผู้พูดอีกเลย..ฟังเค้าคุยกันอย่างเดียว..นอกจากคนที่รู้จักหรือยอมรับว่าผู้หญิงก็ดูพระเป็น.............เฮ้อ...เห็นแล้วเหนื่อย



วิชา ความรู้ บางอย่าง บางระดับ ต้องเลือกครับ ว่าผู้รับสมควร หรือพร้อมที่จะรับมันรึยัง
เห็นเพื่อนๆห้วยพระ(สายร่ม สแตนเลส สายหนังฯลฯ)สังเกตุมองดูแล้วเท่ ชายชาตรี โอ๊ย!ที่หิ้งพระที่บ้านน่าจะมี กลับมาค้นหาบนหิ้งพระ
ผ้าเช็ดหน้ามัดห่อไว้ยกขึ้นหนักอึ้ง(พ่อเก็บสะสมไว้)เปิดผ้าเช็ดหน้าที่ห่อไว้แล้วเลือกหาองค์ที่ชอบ มีทั้งพระผง พระเหรียญ ด้วยความที่ยังไร้เดียงสา
ก็หยิบเอาองค์เหรียญที่มีหู มีห่วงมาห้วยคอ สายสร้อยสายร่ม เอาแบบเพื่อนเพื่อเข้ากลุ่มได้.....ขอพ่อ....
หลวงพ่อผางพ่อข้าบอก(อวดเพื่อน)
สมัยก่อนการห้วยพระไม่ค่อยอัดกรอบพระ มายังไงก็ใส่แบบนั้นเลย บางทีเหงื่อออกคราบสนิมเขียวติดหน้าอก กว่าจะล้างออกต้องใช้เวลาเหมือนกัน
ที่สำคัญพระเหรียญที่ห้อย จากที่เห็นหน้าเป็นรูปเป็นร่าง ก็เลือนลางสึกกร่อนเหมือนสภาพพระที่ใช้งานมาแล้ว(ราคาตกตามสภาพ)
ปัจจุบันนี้ พระเครื่องเป็นวัตถุมีค่า จึงเกิดการเลียนแบบ(วิธีหาเงิน)ของแท้ ของเทียมก็เลยเป็นปรากฏการณ์เล่าขานกันมาพร้อมกับพุทธคุณปาฏิหารย์
ที่เจ้าของพระมีประสบการณ์มาราคาซื้อหายิ่งเพิ่มมูลค่า หายากยิ่งแพง
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของแท้? เกิดปรากฏการณ์ผู้รู้ที่เรียกว่าเซียนพระ มีการพิมพ์หนังสือ นิตยสารพระเครื่องออกสู่ท้องตลาดเล่มแล้วเล่มเล่า
ติมตามตอนต่อไปเร็วๆนี้