บางประเด็น!.. กับการศึกษา - webpra

หัวข้อ: บางประเด็น!.. กับการศึกษา

กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

บางประเด็น!.. กับการศึกษา
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 1
หนุ่ยพุทธบูชา
ตั้ง: 188 ตอบ: 863
คะแนน: 367
รายละเอียด

 

  มีบทความอยู่บทหนึ่ง ผมอ่านแล้วตรงใจมาก ก็เลยจะขอนำมาเขียนเล่าต่อเป็นแบบย่อๆ จับเอาประเด็น! สำคัญมาให้อ่านกัน


 - การเรียนระดับชั้น ป.1-ป.6 ส่วนใหญ่ จะให้เด็กได้รับคำแนะนำสั่งสอนให้มีจินตนาการ รักชาติ เพื่อน รักวัฒนธรรม หลายประเทศจึงไม่ได้สอนวิชาการอะไรมาก จะให้เด็กอยู่กับธรรมชาติ เล่นกับเพื่อนให้รู้จักการปรับตัวในสังคม ให้มีการรวมกลุ่มกัน ทำกิจกรรมระหว่างนักเรียนชั้นต่างๆ เพื่อให้มีการปรับตัวเข้ากับมนุษย์ที่มีอายุเท่ากัน อายุมากว่า และอายุน้อยกว่า ให้รู้จักมีความรับผิดชอบต่อตนเอง

 - บางประเทศแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีก้าวไกลขนาดไหน แต่โรงเรียนชั้นประถมก็ยังให้เด็กหญิง เรียนการเรือน-เย็บปัก-ถักร้อย เด็กชาย เรียนการช่างพื้นฐาน ทั้งช่างไม้ ช่างยนต์ ให้รู้จักเครื่องกลประเภทต่างๆ เพื่อต่อไปเขาเหล่านั้น จะได้จัดการงานบ้านและช่วยเหลือตนเองได้

 - หลายประเทศ พยายามยืดอายุนักเรียนชั้นม.ปลาย ให้เข้ามหาวิทยาลัยช้าออกไป 1- 4ปี เพื่อให้เยาวชนเหล่านั้นมีโอกาสได้ออกไปสัมผัสโลก ค้นคว้าหาตัวตนว่าแท้จริงตนชอบอะไร? ถนัดด้านไหน? เมื่อจบม.ปลายต้องออกไปรับจ้าง ทำงานหาประสบการณ์ 1-3ปี ก่อนที่จะเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา ในรัฐ อิสราเอล เด็กสาวต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี เด็กชาย 3 ปี แล้วจึงจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ บางมหาวิทยาลัยยังต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวในโลกกว้างอีก 1 ปี จึงจะรับเข้าศึกษาต่อ

 - เมืองไทยเดี๋ยวนี้... มีหลายสถาบันฯ ประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนชั้น ม.4 เข้าไปลงทะเบียนเรียน ในชั้นมหาวิทยาลัยได้ แทนที่เด็กชั้นม.4 – ม.6 จะได้มีประสบการณ์จากห้วงช่วงอายุของตน และเรียนวิชาทั่วไป ที่เด็กระดับชั้นม.ปลาย ควรได้รับ เด็กเหล่านั้นกลับมุ่งแต่..กวดวิชา อ่านตำราของชั้นปริญญาตรี เมื่อจบม.6 ไปไล่เก็บต่ออีกไม่กี่วิชาก็จบปริญญาตรี ในปัจจุบันนี้ มีผู้จบปริญญาตรีด้วยอายุไม่ถึง 20 ปี เป็นจำนวนมาก ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเรียนหนังสือเก่ง จบการศึกษาไว แต่ ขาดประสบการณ์ชีวิต เมื่อมาทำงาน มักจะมองโลกได้ไม่รอบคอบ วิตกวิจาร

 - หลายประเทศเริ่มกลับไปใช้ ประโยคที่ว่า ครูเป็นศูนย์กลาง ครูเป็นพระเอก ครูเป็นตัวอย่างผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต ครูเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง มีระเบียบวินัย เป็นผู้ถ่ายทอดได้ดีอย่างมีศิลปะ โดยรัฐบาลมีปฏิญญาทุ่มเทกับการผลิตครู สร้างสวัสดิการให้ครู

 - หลายประเทศ..สร้างพระเอกหรือต้นแบบชีวิตของเยาวชนอย่างน่าเศร้า ด้วยการยกย่องคนมั่งมี ผู้ดำเนินชีวิตอย่างผิดๆ โดยเฉพาะ สื่อละครทั้งหลายที่มีอิทธิพลต่อสังคม ที่พระเอก นางเอกต้องเป็นไฮโซฯ ใช้รถยนต์ราคาแพง มีวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือย แม้ไม่มีงานทำ แต่ก็ไม่เจอชีวิตที่ลำบากยากเข็ญ ทำให้เยาวชนคนในประเทศนั้นๆหลงคิด ลอกเลียนความเป็นพระเอกที่ผิดๆ

 - ในบางสังคมจะประณาม สื่อละคร สื่อภาพยนตร์ ที่สนใจแต่เรื่องกามกิเลส ต้นเหตุของความใคร่-กำหนัด-ความเพลิน-ความอยาก-ความเร่าร้อน หมกมุ่นด้วยอำนาจความใคร่ในกาม เพราะถือว่าเป็นการหล่อหลอมเยาวชนที่ผิดเพี้ยน ผิดกับอีกหลายๆประเทศ ที่นิยมยกย่องผู้ที่สร้างตนเองอย่างมีระเบียบวินัย มีความขยันหมั่นเพียร และที่สำคัญที่สุดคือ มีคุณธรรม

 - หนึ่งในมายาคติที่คนไทยส่วนหนึ่งที่หลงผิดก็คือ หลงว่า ประเทศของเรามีการศึกษาดีที่สุด ครูบาอาจารย์และผู้รับผิดชอบทางด้านการศึกษาส่วนหนึ่งชอบอ้างว่า นักเรียนไทยไปคว้ารางวัลฯเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง จากการแข่งขันทางวิชาการของนักเรียนทั่วโลก ซึ่งโดยแท้ที่จริงไม่ใช่ว่าเราเป็นที่1 ที่2 ที่3 แต่เป็นการได้ลำดับคะแนนถึงขั้นมาตรฐานจัดกลุ่ม ประเภทเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง มายาคติอันนี้ ทำให้เราทะนงหลงตัว อย่างไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง แล้วก็คิดว่าที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มีมาตรฐานสูงสุดของโลกอยู่แล้ว

 - หลายประเทศ...นิยมให้นักเรียน นักศึกษาของตน ทำงานในระหว่างเรียน เป็นการยิงปืนนัดเดียว นกตกลงมาทั้งฝูง ได้เงินไปใช้จ่ายในการศึกษา ได้ประสบการณ์ในการทำงาน ผู้ประสพความสำเร็จทางธุรกิจในหลายประเทศ จึงมักเป็นผู้ที่จบการศึกษาใหม่ๆ หรือบางครั้งก็ไม่สำเร็จการศึกษา ในส่วนของเรา มักเอาปริญญาเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจประสบการณ์  ซึ่งอาจจะเข้าสู่... ยุคอันตราย

 - บริษัทใหญ่ๆหลายแห่งในโลกนี้ ไม่สนใจคนเรียนหนังสือเก่งแล้ว แต่สนใจบัณฑิตจบใหม่ ที่ภูมิหลังเคยทำกิจกรรม เป็นผู้นำกลุ่ม เคยออกค่ายอาสา เป็นพวกที่เล่นกีฬาเป็นทีมมาก่อน เพราะพวกที่เล่นกีฬาเป็นทีมมักจะเป็นผู้มีวินัย ส่วนใหญ่เป็นนักบริหารจัดการที่ดี

 - ผู้บริหารการศึกษาและผู้คนในสังคมไทย ต้องกล้าตัดเนื้อร้ายในวงการการศึกษาออกไป สถาบันการศึกษาจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย ที่ไม่ค่อยได้เรียนอะไรกันเลย มีแต่การอภิปรายหน้าชั้นเรียน สอบตกก็ทำรายงานส่ง ส่วนใหญ่ไปเรียนเพื่อหาคอนเนคชั่น อาจารย์ก็ไม่ใช่บุคคลที่เข้มแข็งทางวิชาการ เปิดห้องสอนแพร่กระจายขยายสาขาไปทุกจังหวัด ทำกันเป็นกลุ่มเป็นสาย ผู้คนมีวิทยฐานะโดยไม่มีความรู้อย่างแท้จริง.

 - ในหลายประเทศ..การสอบเพื่อจบม.ปลายทำเป็นมาตรฐานกลาง ข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ สอบตกก็ต้องไปเรียนใหม่ ไม่มีการทำรายงานบุคคลหรือรายงานกลุ่ม การศึกษาจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่

- ในหลายประเทศ..วันเปิดเทอมวันแรก ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา บรรดานักการเมืองหรือบุคคลชั้นนำอื่นๆ จะไปยืนรออออยู่หน้าโรงเรียนเพื่อ..อำนวยอวยพรให้นักเรียนประสพความสำเร็จ มีการมอบช่อดอกไม้ ร้องเพลงให้กำลังใจ มีการถ่ายทอดสดในสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง

 - บางประเทศอย่างสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้ ถึงกับหยุดงานกันไปทั้งประเทศในวันที่นักเรียนเข้าสอบมหาวิทยาลัย เพราะถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต ผู้คนทั้งประเทศจะจำได้ว่า วันไหนเป็นวันเปิดเรียน วันใดเป็นวันเข้าสอบมหาวิทยาลัย แต่ในสังคมไทยท่านลองไปถามดูเอาเถิดว่า ปีนี้ วันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นวันใด จะมีน้อยคนมากที่จะทราบ การศึกษาที่เข้มแข็งของเกาหลีใต้ทำให้ประเทศที่เคยอดอยากยากแค้นในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 กลายเป็นประเทศแถวหน้า

- หลายประเทศที่ประสพความสำเร็จในการพัฒนาพาชาติของตน พุ่งไปเด่น เป็นสง่าในเวทีโลก จะแบ่งคนของตนร้อยละ 60- 70 ไปเรียนสายอาชีวะ แต่ทว่า..ประเทศไทยของเราไม่ใช่ เยาวชนคนส่วนใหญ่มุ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เพราะ ความที่เข้าง่าย เรียนง่าย จบง่าย!

     ถึงเวลาหรือยัง? ที่ต้องปฏิวัติการศึกษา...

***** เครดิต จากนสพ. ไทยรัฐฯ ฉบับวันที่ 1มค.56 คุณ.นิติ นวรัตน์ ผู้เขียน. *****


  การเรียนการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญครับ. การศึกษาต้องสร้างปัญญา คนมีปัญญาสร้างอาชีพฯ นำพาชาติไปสู่ความเจริญฯ มั่นคง

เงินกู้.. สองล้านล้าน.. ระหว่าง รถไฟ..หัวกระสุน กับ ปฏิวัติการศึกษาฯ ผมเลือก..การศึกษาฯครับ.

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 01:15.58
ความคิดเห็นที่ 1:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 2
วังเทวี
ตั้ง: 100 ตอบ: 858
คะแนน: 289
ร้านค้า:
รายละเอียด

ตอนเรียนประถมถึงมัธยม ผมใช้หนังสือแบบเรียนเก่าของพวกพี่ๆ ซึ่งพวกพี่ๆก็รับต่อมาจากพวกน้าพวกอาอีกที ใช้ต่อๆกันมาหลายรุ่น และพวกเราก็เป็นคนดีในสังคมและมีชีวิตอยู่ได้ จากตำราเล่มเดียวกัน

ตอนที่เป็นครู(ปี2520-2542)หนังสือแบบเรียนของเด็กเปลี่ยนทุกปี อ้างว่าไม่ทันสมัย เล่มเก่าใช้ไม่ได้ปีเดียวทิ้งเลย ปีต่อๆมา หนังสือนั้นๆก็จะมีนามสกุลต่อท้ายเป็น ฉบับใหม่ ฉบับปรับปรุง ฉบับปรับปรุงใหม่ ฉบับเรียบเรียงใหม่ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าเก่าซักเท่าไหร่ จุดประสงค์คือ ต้องการขายหนังสือ ผู้ปกครองเลยต้องจ่ายค่าหนังสือมากๆทุกปี เป็นการรวมหัวกันของสำนักพิมพ์กับกรมวิชาการ บางทีนักวิชาการที่เขียนตำราก็ทำงานอยู่ในกรมวิชาการนั่นแหละ

อีกประการคือตัวผมเองมาเป็นครู เพราะโง่ๆเซ่อๆ อยากเรียนอิเลคโทนิค แต่สอบเข้า เทคโนโลยี่พระจอมเกล้าไม่ได้ อยากเป็นหมอก็คงเป็นได้แค่หมอดู อยากเป็นวิศวะแต่สมองกรรมกร ครูเป็นทางเลือกสุดท้ายครับ 

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 08:15.21
ความคิดเห็นที่ 2:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 2
ศีตะปันย์
ตั้ง: 35 ตอบ: 1428
คะแนน: 157
ร้านค้า:
รายละเอียด

ถ้าเอาเงินมาถมการศึกษาของไทย....อีกเท่าไรก็ไม่พอครับพี่หนุ่ย

เชื่อผมสิครับ.......จากการที่เป็นเรือจ้างอยู่ ระบบการศึกษาของไทยนั้น

 

คนที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่คิดกันแต่เรื่องเงิน อำนาจ บารมี ตำแหน่ง.......มีนิดเดียวเท่านั้นที่คิดเรื่องความรู้ของเด็ก

ทุกเรื่องที่เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทย.......ในปัจจุบันล้วนเพื่อสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น

 

แต่ไม่มีเพื่่อเด็กนักเรียนหรอกครับ......ปฏิรูปไปก็เสียทั้งเงินและเวลา เชื่อผมดิครับ

ผมเป็นเรือจ้างอยู่ทุกวันนี้.....เรือก็เก่า ผุพังไปตามเวลา รอเวลาจอดเทียบท่าเลิกใช้งานเท่านั้นครับ

 

ส่วนพี่วังเทวีกับผมคงตรงกันข้ามเลย.....ผมเรียนไทย-เยอรมัน ตั้งแต่ปวช. - ป.ตรี

เพราะอยากเป็นวิศวกร.......เป็นเอ็นทาเนียร์มาจนเบื่อ ถึงมาเป็นเรือจ้างนี่แหละครับ

 

แต่ยังไงแล้ว สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ................รัก ชอบ ศรัทธาวัตถุมงคล เหมือนกันครับผม

 

 

 

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 13:07.32
ความคิดเห็นที่ 3:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 1
ramin_sukimm
ตั้ง: 30 ตอบ: 148
คะแนน: 62
รายละเอียด

ถ้าถามผมนะครับพี่ ๆ ผมว่าระบบการศึกษาเรามันแปลก ๆ อย่างสมัยผม  เรามี มานะ มานี  ให้อ่าน  ได้ทั้งภาษาไทย  ทั้งความสนุกและคุณธรรม ครบเลยครับ  แต่ผมลองมาอ่านหนังสือของหลาน ๆ ในปัจจุบันนี้แล้ว  ก็ยอมรับว่าเนื้อหาดี  ได้ความรู้  แต่มันเหมือนขาดอะไรไปก็ไม่รู้ครับ  ส่วนเรื่องการสอบของมัธยมปลายก็เหมือนกัน  ถ้าจำไม่ผิด  ตอนนี้มันมีการสอบเก็บคะแนนกลาง  ก่อนที่จะเอ็นใช่ไหมครับ  เรื่องนี้พวกเพื่อน ๆ ผมหลายคนที่เคยเกด้วยกันมาเขาก็บ่นกันพอดูครับ  เพราะในสมัยนั้น  เราเป็นวัยรุ่นที่ค่อนข้างเกเร  ตามประสาพวกวัยทางโค้ง  แต่พวกเราหลาย ๆ คนก็เริ่มรู้ประสากันตอนที่จะเริ่มเอ็นนั่นหล่ะครับ(ของผมติดจ่าตอน ม.4 )  เพราะเมื่อเราใกล้จบกันเราก็ต้องเริ่มมองอนาคตของเราแล้วครับ  ถึงแม้ว่าเพื่อนผมบางคนจะเอ็นไม่ติด  แต่พวกเขาก็มีการมีงานที่ดีทำทุกคนครับ  บางคนเป็นเถ้าแก่เสียด้วยซ้ำไป  ด้วยเหตุนี้การสอบเก็บคะแนนของ ม.ปลาย  ในปัจจุบัน  ถ้ามันมีในสมัยนั้น  พวกผมคงไม่มีใครได้เอ็นหรอกครับ  สมัยนี้มันไม่มีที่ให้สำหรับเด็กนอกกรอบเลย  การศึกษาของบ้านเราห่วงแต่การทำคะแนน  ลืมไปหรือป่าวว่าเด็กบางคนก็รับได้  บางคนก็แหกคอกไปเลย  แล้วเด็กที่แหกออกไปหล่ะครับ  พวกเขาจะไปไหน  เพราะครั้งนึงผมก็เคยเป็นเด็กกลุ่มนั้นมาก่อน  ขอบคุณครับ

 

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 19:14.07
ความคิดเห็นที่ 4:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 2
ปิยผล
ตั้ง: 27 ตอบ: 131
คะแนน: 24
รายละเอียด

พี่หนุ่ยครับ โดยส่วนตัวเห็นด้วยในเรื่องของการปฏิวัติการศึกษา ปรับเตรียมตั้งแต่ต้นทางเลยครับ  แต่การพัฒนาประเทศก็มีความสำคัญ ถ้าเป็นไปได้ดำเนินการควบคู่กันไป ทั้งสองอย่างก็น่าจะดีนะครับพี่หนุ่ย

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 21:27.42
ความคิดเห็นที่ 5:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 1
united
ตั้ง: 160 ตอบ: 556
คะแนน: 106
รายละเอียด

ขอคิดด้วยอีกหนึ่งคนนะครับ(เดี๋ยวจะคิดว่าเป็นแต่หวย)ขอย้อนเวลากลับไปที่ชั้นประถมในสมัยที่ผมเริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาปีที1ย้ำนะครับชั้นประถมศีกษาปีที่1(ป.1)ระบบการศึกษาสมัยนั้นที่จำไม่ผิดคีอ7-3-2แปลว่า เรียนชั้นประถมมี7ชั้นแบ่งเป็นประถมศึกษาตอนต้น1-4พอจบป.4นักเรียนต้องแข่งขันสอบขึ้นป.5แล้วเรียนต่อจนถึงป.7  5-7เรียกว่าประถมศึกษาตอนปลาย สมัยนั้นถ้าใครสอบไม่ได้(ร.ร รัฐบาล)ถ้าพ่อแม่มีอันจะกินก็ไปสมัครเรียนที่ร.ร ราช(เสียค่าเทอม)ถ้าพ่อแม่ยากจนหาเช้ากินเช้าหาค่ำกินค่ำไม่มีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนก็ไม่ได้เรียน บางคนก็ไปบวชเป็นเณรศึกษาทางธรรม บางคนก็ช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่ก่อนวัยอันควร  ระบบการศึกษาเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ  บ้านเมืองวุ่นวาย ปฎิวัติบ่อยๆ 14 ตุลาคม 2514 ผมยังจำแม่น ผมเรียนป.1ยังเคยเล่นตุ๊กตาที่นักศึกษาถือไม้หน้าสาม ต่อสู้กับรถถังช่วงที่ทหารปฎิวัติ เปลี่ยนแปลงครั้งแรกที่ผมจำได้คือหลังจากที่ผมสอบขึ้นชั้นป.5ได้ รุ่นต่อมาไม่มีการสอบอีกเลย หมายความว่าจบป.4ขึ้นชั้นป.5ได้เลย   และเปลี่ยนคำว่าประถมศึกษาปีที่1-4เป็นประถมปีที่1-4  ต่อมาผมจบป.7ต้องไปแข่งขันสอบขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่1แล้วเรียนถึงปีที่3เรียกว่า มัธยมศึกษาต้อนต้น  แต่นักเรียนที่เรียนชั้นป.6กับได้สอบขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมปีที่1 ผลการเรียนในการวัดผลก็ต่างกัน รุ่นมัยมศึกษา(ม.ศ)คิดผลการเรียนเป็นเปอร์เซ็นต์ รุ่นมัธยม(ม)คิดผลการเรียนเป็นเกรด เรียน1-3เท่ากัน แต่(ม.ศ)เรียน4-5 แต่(ม)เรียน4-6    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ(สมาธิสั้นครับ)

 

โพสต์เมื่อ อ. - 26 มี.ค. 2556 - 21:37.17
ความคิดเห็นที่ 6:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 1
korawish
ตั้ง: 98 ตอบ: 390
คะแนน: 94
รายละเอียด

ผมว่าการศึกษาไทยจะไม่ไปไหน ถ้าเรามุ้งแต่สอนวิชาเรียนแต่ไม่สอนวิชาคน

การศึกษาไทยก็ยังคงที่เพราะครู บางส่วนมุ้งทำผลงานเพราะอยากได้ ชำนาญการพิเศษ (ได้เงินเพิ่มขึ้น)

การพัฒนาการศึกษาไม่ก้าวหน้า เพราะผู้บริหาร โกง 
........จริงๆๆ เลยครับ  
โรงเรียนใหญ่ๆๆ นักเรียน 2500 คนขึ้นไป ได้งบประมาณ 20ล้าน ขึ้น ...

และที่สำคัญ คนที่เป็นผู้นำประเทศ กรมกองต่างๆๆ ก็ควรที่จะปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างด้วย ครับ

โพสต์เมื่อ พ. - 27 มี.ค. 2556 - 01:03.29
ความคิดเห็นที่ 7:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
หนุ่ยพุทธบูชา
ตั้ง: 188 ตอบ: 863
คะแนน: 367
รายละเอียด

ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิก ที่เข้ามาอ่าน และ ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ทุกท่านครับ.

 ตัวผม..อาภัพเรื่อง วุฒิการศึกษาฯ ครับ (เรียนมาน้อย) ผมเคยเขียน Back to School เมื่อ 6 กค. 55  http://www.web-pra.com/Forum/Topic/Show/61541/Page/1  อีก 6 เดือนต่อมา  ก็มีคอลัมนิสต์ ที่มีชื่อเสียง มีความรู้สูง เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ( ลง นสพ.ไทยรัฐ ) ซึ่งออกมาแนวทางเดียวกัน แต่... ชัดเจนฯ และ ครอบคลุมเข้าใจง่าย! มากกว่า

  ซึ่งผมก็อ่านแล้วและใช้เวลานานมากกว่าจะลงตั้งเป็นกระทู้ เผยแพร่อีกทางหนึ่ง  เจตนาก็เพื่อ...ให้เพื่อนๆสมาชิกแตกประเด็นออกมา ต้องการสะท้อนความคิดของเพื่อนๆ  ต้องช่วยกันครับ เพื่อ เยาวชน-ลูกหลานของเรา

  ทุกความคิดเห็น เป็นประโยชน์ทั้งนั้นครับ ผม +1 ให้กับทุกท่านมาช้า..มาเร็ว!.. ผมให้หมด เพื่อ.. การศึกษาที่ดี.. มีคุณภาพของลูกหลานเราครับ.

 

โพสต์เมื่อ พ. - 27 มี.ค. 2556 - 02:06.27
ความคิดเห็นที่ 8:
คะแนน ความคิดเห็นที่มีประโยชน์: 0
หนุ่มเหนือ
ตั้ง: 49 ตอบ: 990
คะแนน: 275
ร้านค้า:
รายละเอียด

ในฐานะที่ในช่วงหนึ่งของชีวิต เคยเป็นครูอัตราจ้าง อยู่ในโรงเรียนเล็กๆ กันดารแห่งหนึ่งในภาคเหนือ

 

อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติมากครับ ไปที่ใหนในท้องถิ่น ก็จะมีคนให้ความเคารพ และให้เกียรติ เพราะครูเป็นผู้สอนวิชาความรู้ให้แก่ลูกหลานของเขา

ตอนเข้ามาทำอาชีพครูใหม่ๆ อุดมการณ์ต่างๆ พลั่งพลู แต่พอเข้าไปในระบบจริงๆ รู้เห็นอะไรหลายๆ อย่างอุดมการณ์ก็เลือนหายไป 


เื้นื่องจากการเป็นครูน้อย มันไม่รวยครับ เงินเดือนได้ตามวุฒิ ไม่พอกินหรอกครับใหนจะต้องส่งเสีย พ่อ แม่ ใหนจะ ค่านมลูกอีก

ดังนั้น พอผู้ใหญ่ได้กำหนด นโยบายขายฝันหรือช่องทาง ก้าวหน้า เช่นทำผลงานวิชาการ ตัวชีวัดต่าง เพื่อเลื่อนระดับไปยังขั้นที่สูงกว่า

ครูจะเฮกันไปทำ แต่การทำผลงานแต่ละครั้ง ก็ย่อมต้องใช้เวลาซึ่งหลายๆ ครั้งเบียดบังเวลาในการเตรียมการสอนให้แก่เด็ก

ทำให้เวลาที่สอนจริงๆ อาจจะไม่เต็มที่เต็มความสามารถ 

 

ดังนั้นจึงขอให้ครูไทย ที่มีความรักในการสอนมีอุดมการณ์ ที่จะสร้างสรรค์ สังคม เลิกหลงทางได้แล้วครับ กลับมาหาเด็ก มาช่วยกันสร้างพวกเขาให้เป็นคนดี กับสังคมเถอะครับ

โพสต์เมื่อ พ. - 27 มี.ค. 2556 - 13:33.35
Top