
หัวข้อ: การจับกระแสพุทธคุณพระเครื่อง
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
คุณคงเคยได้ยิน ได้เห็นหรือมีประสบการณ์บ้างหรือไม่ เกี่ยวกับการเช็ค การจับกระแสพุทธคุณพระเครื่อง ซึ่งเป็นปัญหาโดยต้องใช้ปัญญา
และวิจารณญาณ ในการรับชม รับฟัง บางครั้งตั้งคำถามในใจว่า หลอก หรือชัวร์ มั่วนิ่มหรือเปล่า พุทธคุณจับสัมผัสได้หรือ แล้วถ้าสัมผัสได้
จะมีอาการอย่างไร หมายความว่าอย่างไร ใครมีประสบการณ์ก็เล่าสู่กันฟังครับ

ส่วนตัวเลยครับเคยจับพระบ้างองค์แล้วขนลุกยันหนังศรีษะ น่าจะมีผลังงานอยู่ในองค์พระองค์นั้น แต่เป็นความเชื้อส่วนบุคลนะครับใครมีเรื่องราวมาแบ่งปันกันได้เลย

โอ้ว....ผมเจอเยอะเลย.....แต่ไม่ใช่กับตัวนะ...แต่ไปดูเขาทำ................มันส์มาก....ในใจก็สงสารคนที่เป็นเจ้าของพระ โดนผู้มีพลังวิเศษหลอก ที่ผมชอบมากตรงที่เขาช่างสรรหาคำบรรยาย นี่ถ้าเขียนเป็นเรื่องเป็นราว สร้างเป็นละคร ช่อง 3, 5, 7, 9 ของบ้านเราชิดซ้ายตกเหวไปเลยครับ
ต่างจังหวัดยังมีอยู่เยอะที่เช่าพระโดยการจับพลัง ส่วนวิธีขั้นตอนทำกันยังไง เชื่อว่าถ้าคนที่สนใจคงหาวิธีและหาดูไม่ยาก..
แต่อย่างหนึ่งที่ควรจะต้องทราบไว้โดยทั่วกันคือ..การเช่าซื้อพระเครื่องทั่วไปตามหลักสากลในวงการพระเครื่อง ไม่ได้ยึดถือการจับพลัง เป็นการตัดสินว่าพระนั้นแท้หรือไม่..
เห็นมาหลายรายครับ เช่น เช่าพระสมเด็จไว้แสนเจ็ด เก็บใส่เซฟไว้เกือบสามสิบปี กระแสพุทธคุณแรงมาก เอาไปจับพลังทีไร ช็อตจากฝ่ามือ วิ่งขึ้นมาหัวไหล่ ทะลุไปสมองโน้น..วันหนึ่งอยากจะขายพระองค์นั้น ขายได้จะแบ่งให้ลูกๆ ไปทำทุนก่อร่างสร้างตัว ตอนบอกขายก็ตั้งความหวังไว้เยอะ ว่าจะได้เท่านั้น ถ้าเขาต่อก็จะขายเท่านี้ สุดท้ายไม่ต้องเล่าต่อ คงนึกกันออกนะครับ เฉพาะเจ้านี้ ครบชุดเบญจภาคี รวมสมเด็จจิตรลดา และพระดังๆอีกเพียบ สรุปว่า จับกระแสพลังดีทุกองค์ แต่ขายไม่ได้แม้แต่องค์เดียว
ยังมีอีกหลายตัวอย่างครับ เล่ากันไม่หวัดไหว อยากจะบอกแค่อย่างเดียวคือ.ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำ ให้เป็นสากล ทำแบบที่คนส่วนมากเขายอมรับกัน กรณีของพระเครื่อง ถ้าคุณเข้าทางผิด แล้วไม่มีคนชี้แนะ คุณเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป ไม่สนใจหลักสากล จะต้องงมงายอยู่เนิ่นนานมากโดยไร้ประโยชน์
สุดท้ายบุตรหลานนั่นแหละที่จะบอกความเป็นตัวตนของคุณได้ในอนาคต .. เมื่อเขาเอาสมบัติที่คุณทิ้งไว้ให้เข้าสู่หลักสากล..แต่คุณอาจไม่มีโอก่าสรู้ได้ว่า เขาว่าอะไรคุณ..
หลงทางเสียเวลา เก็บพระไม่เข้าท่าเสียอนาคต..สวัสดีครับ

อย่าไปอะไรมากครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
เคยไปจับมาหลายที่ครับ ไม่มีที่ใหนที่ทำให้ผมเชื่อ 100 % ซักที่ครับ

ครับ...เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วไม่ไกล้ไม่ไกลเราที่ ตลาดคลองเตยเรานี้แหละ กำลังเป็นขุ่นส่องเลย อิอิอิ เข้าไปดูจับพลังกัน เสียเงินค่าจับนะครับ ฮาๆๆๆ สมัยนั้นก็ องค์ละ 30 - 50 แล้วแต่พระครับ
เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเห็นก็เข้าไปมุงดูด้วย เป็นเรื่องตื่นเต้นครับ เห็นจับอยู่ 2 องค์ (ช่วงนั้นครับ) เป็นสมเด็จวัดอะไรไม่ทราบได้ คนจับสั่นน่าดูเลยหละ ดูไปก็ยิ้มไปเพราะนึกสนุก และรู้จักกับเจ้าของพระ หลังจากที่เขาตรวจพลังกันเสร็จแล้วเลยลองขอพระจากเพื่อนคนนั้นจับดู ฮาๆๆๆ แรงจริงๆครับ ค่าขอจับพระองค์นั้นเพื่อนตีเอาใว้ 500 บาท ฮาาาๆ แล้วเมื่อก่อนหน้านี้เพื่อนยังไปจ้างเขาจับ
พลังอยู่เลย 50 บาท ฮาๆๆๆ
นึกย้อนกับเมื่อวันนั้นยัน วันนี้...ก็...ฮาๆๆๆๆอยู่เลยครับ ฮาๆๆๆๆ
ถ้าจะให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ ให้เข้าใจกัน เปรียบเทียบระหว่าง พลัง กับ คลื่นความถี่ ที่มี เครื่องส่งและเครื่องรับ เป็นการเชื่อมต่อ
- เครื่องส่ง..ส่งสัญญาณความถี่เท่านี้.. เครื่องรับที่สามารถรับความถี่นั้นได้เท่านั้น! ถึงจะจับและรับความถี่นั้นได้ เครื่องรับชนิดอื่นก็ไม่สามารถรับได้..
- พระเครื่องฯที่ได้รับการปลุกเสกฯ - อธิฐานจิต จากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี รักษาศีล 227ข้อ! รักษาพรมจรรย์ จนได้ฌาณสมาบัติ
ผมก็อยากทราบเหมือนกันว่า ชาย-หญิง ฆารวาสทั่วไป(อย่าไปคิดถึงศีล 227ข้อเลย) จะรับได้ถึงพลังแห่ง..พรมจรรย์นั้นหรือ?
ฉันใด?.. ก็ ฉันนั้นครับ..
การส่งพลังจากผู้มีฌาณสมาบัติ ผู้รับสัญญาณได้.. ก็ต้องมีฌาณสมาบัติที่เสมอกันเท่านั้น
แล้วฆารวาสผู้จับพลังนั้น เราคิดว่าเขาจะมีฌาณสมาบัติเท่าเทียมกับบรรพชิตผู้รักษาศีลเชียวหรือ?.. ผมมีข้อคิดเท่านี้แหล่ะครับ.
เห็นด้วยกับคุณปลายทางครับส่วนตัวผมเองห้อยพระเป็น พุทธานุสติ เป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ทำความชั่ว
ในพุทธศาสนามีคำสอนอยู่อย่างหนึ่ง คือ อุปาทาน ทำให้เกิด ภพ
อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น
ภพ คือ ความมีความเป็น
แปลความคือ ที่มีที่เป็น เพราะยึดมั่นถือมั่น
คนกลัวผีจึงเห็นต้นกล้วยเป็นผีตานี อิอิ
พุทธศาสนาจึงสอนให้ ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่มีไม่เป็น เพราะความมีความเป็นจะส่งผลอื่นๆตามมา จนทำให้เกิดความทุกข์ครับ
วัตถุทั้งหลายที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมานั้น บ่อยครั้งที่ได้รับความนิยมแล้วก็ค่อยๆลดค่าความนิยมลง เพราะมันเป็นหลักเศรษฐศาสน์คือ เมือขึ้นสูงสุดแล้วก็ลดต่ำลง ความต้องการของคนเราไม่มีวันที่สิ้นสุด มีการแข่งขัน มีการพัฒนาสิ่งที่ดีกว่า เหนือกว่า ผู้บริโภคจึงหันไปจับเอาสิ่งที่ดีกว่า ในสังคมประเทศไหนๆจะเป็นลักษณะนี้ตลอดไป
แต่สังคมพระเครื่องนั้น ต่างจากสิ่งที่กล่าวมาอย่างสิ้นเชิง ความนิยมกลับเพิ่มขึ้นพร้อมกับมูลค่าที่สามารถเทียบค่าเป็นเงินเป็นรายได้อย่างน่าประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น จึงไม่แปลกเลยที่ของเก๊มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องเป็นอีแอบ ที่แอบหารายได้จากค่านิยมของสังคมประเทศ ครับการจับกระแสพุทธคุณก็เป็นวิธีแนวทางหนึ่ง ที่เป็นความสามารถส่วนตัว เป็นพรสวรรค์ที่ เป็นเคล็ดลับจากฟ้า ที่ยากแก่การอธิบาย อ่านต่อฉบับหน้าครับผม...united