
หัวข้อ: "เพื่อนส่งให้ในไลท์"
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

แม่ของผมชอบทำอาหาร...
คืนหนึ่ง หลังจากที่แม่ทำงานหนักมาทั้งวัน แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ
ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้าพ่อ และผม ผมก็รอว่าพ่อจะพูดอย่างไร.....
แต่...พ่อไม่พูดและตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า แม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...
ผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ...อร่อยมากจ๊ะ..."
คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ และไปถามพ่อว่า พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ
พ่อกอดผมไว้ และ ตอบว่า....
"แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้1ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดต่อว่ากันต่างหาก ที่ทำร้ายกัน"
ชีวิต เต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคน ก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ลืมวันเกิดภรรยา วันครบรอบวันแต่งงาน เหมือนกับคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ.....
การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และการเลือกที่จะยินดี กับความต่างกันของแต่ละบุคคล
เป็นสิ่งสำคัญ ในการสร้างชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว
ชีวิตสั้นเกินกว่า จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจว่า เราได้ทำผิด กับคนที่เรารัก และ รักเรา
มีความสุขกับชีวิตนะครับ
เพราะ....มันมีวันหมดอายุ....
คนส่วนใหญ่... ชอบมองหาความผิดของคนอื่น โดยยึดถือ.. ความพอใจของตนเองเป็นประเด็นหลัก!
เวลาไม่พอใจกัน..ทะเลาะกัน.. ต่างฝ่ายก็จะหยิบยกแต่..ความผิดของฝ่ายตรงข้าม ออกมาห้ำหั่นกันและกัน
คนส่วนน้อย... กลับมองหาส่วนดี..จากการกระทำที่ผ่านมาของคนอื่น
เวลาไม่พอใจกัน.. เริ่มจะทะเลาะกัน.. ก็จะมองก่อนว่า เวลาที่ผ่านมา.. เขามีความดีอะไรอยู่บ้าง
อยู่ที่มุมมองครับ. มองที่ส่วนเสีย..ก็..สูญเสีย..ไม่สบายใจ มองที่ส่วนดี.. ก็มีแต่สุข.
" ขอโทษ ดีกว่า.. โทษคนอื่น เมื่อรู้ตัวว่าผิด ขออภัย! ดีกว่า... แก้ตัว! เมื่อรู้ว่าพลาด "
ให้ข้อคิดเตือนใจดีมากครับคุณดอน ทำให้ผมคิดถึงเรื่องหนึ่ง ขออนุญาตินำเสนอไปด้วยกันเลย
เรื่อง พ่อทำอะไรถูกเสมอ
มีครอบครัวหนึ่งเลี้ยงควายไว้เยอะมาก วันหนึ่งภรรยาจึงให้สามีนำควายตัวนึง ไปขายในตลาด
เขารอตั้งแต่เช้าจนเย็น ก็ไม่มีใครมาซื้อควายตัวนั้น ข้างๆเขามีชายอีกคนนำมะม่วงใส่เข่งใหญ่มาขาย ที่บ้านของชายนั้นก็มีมะม่วงเยอะมากเช่นกัน
เมื่อขายควายไม่ได้ ชายนั้นก็คิดว่า ลูกๆของพวกเขาต้องอยากกินมะม่วงแน่ๆ เพราะที่บ้านไม่มีมะม่วง เงินก็ไม่มี เขาจึงเอาควายแลกกับมะม่วงเข่งนั้น
ผู้คนในตลาดพากันหัวเราะเยาะในความโง่ของเขา ต่างพากันพูดว่า " พนันกันได้เลย ถ้าไอ้นี่กลับไปบ้าน เมียมันต้องเอาไม้เพ่นกระบาลแน่ รับรองทะเลาะกันบ้านแตกแน่"
ชายนั้นบอกว่า เขายินดีรับพนันเท่าไหร่ก็ได้ว่า เมียของเขาไม่มีวันโกรธเขา และจะไม่ต่อว่าอะไรในการกระทำของเขา
ผู้คนในตลาดจึงรวมเงินกันเป็นเงินจำนวนมาก รับพนันกับควายทั้งหมดของเขา แล้วพากันตามไปที่บ้านของชายคนเลี้ยงควาย
เมื่อไปถึงบ้าน ภรรยาก็ถามว่า " พ่อขายควายได้เงินมาเท่าไหร่"
เขาก็บอกว่า "ขายควายไม่ได้ เลยเอาควายไปแลกมะม่วงมาเข่งนึง"
ทันใดนั้น ภรรยาก็กระโดดกอดหอมแก้มเขา แล้วพูดว่า " พ่อรู้ได้ยังไงว่า พวกเราอยากกินมะม่วงมานานมากแล้ว ดีจังเลย มะม่วงที่เหลือ แม่ก็จะกวนเก็บไว้กินนานๆ"
ลูกๆของชายนั้นก็ดีใจกันยกใหญ่ พากันเข้ามากอดหอมพ่อของพวกเขาด้วยความยินดีมาก
ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ แต่ชายคนขายควายก็ชนะพนัน และได้เงินเป็นจำนวนมาก
5555555

สะกิดใจอย่างแรงครับ รักษาน้ำใจด้วยคำพูดคนในครอบครัวสำคัญมาก +1
นิทานสมัยก่อนสอนใจคนได้ดีมาก ๆ ให้ข้อคิด เช่น นิทานชาดก นิทานอีสป นิทานร้อยบรรทัด ฯลฯ และวิชาหน้าที่พลเมืองศีลธรรม วิชาประวัติศาสตร์ ปัจจุบันไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด พวกนักวิชาการพวกด๊อกเตอร์ทั้งหลายเขียนตำราขายแทรกค่านิยมตะวันตก ยึดถือกำไร-ขาดทุนเป็นตัวตั้ง ผลิตเพื่อยัดเยียดให้เยาวชนรับในสิ่งที่ผิด ๆ ให้ยอมรับชะตากรรมที่พวกได้เปรียบทางสังคมกำหนด แม้แต่การทำนา ทำไร่ ทำสวน ยังว่าจ้างชาวต่างชาติในรูปของผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา มาสอนคนไทย มันถูกต้องตรงตามความจริงเพียงไรกันครับ

...คำพูดดีเป็นแรงพลักดัน สามารถสร้างโลกได้จริงๆครับ....
...คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ สามารถบีบคั้นคนให้ตายได้...ขงเบ้ง พูดจนจิวยี่ถึงกระอักเลือด...
รักครอบครัว, เพือน,ผู้ไต้บังคับบัญชา, วาจาเป็นปิยมิตรครับ...

โบราณท่านถึงได้กล่าวเอาไว้ว่า "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท..." "พูดดี เป็นศรีแก่ปาก....(ไม่ต้องต่อนะครับ..แหะ..แหะ..)" ดังนั้น พูดดีเข้าไว้รับรองได้ว่าเป็นต่อ..เป็นมงคลแก่ตัวเองแน่นอน..ไปที่ไหน..อยู่ทีไหน..รับรองไม่ใครเขารังเกียจ ดูตัวอย่างนักการเมืองฝีปากดีซิ แรกๆ...จนจะตายชัก พอได้พูดเชลียร์นายบ่อยๆเข้าหน่อย เงินทองไหลมาเทมา จากเคยกินแต่เหล้าขาว มาเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นกินไวน์ขวดละแปดหมื่น..ซะแล้ว..เหอะ..เหอะ... ปากเสียอีกแล้วผมนี่...จบดีกว่า

ลองอ่านเรื่องนี้ดูครับ
--------------------------------
เนื้อหามีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งระหว่างที่สองแม่ลูก กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาด ก็ไปเห็นเจ้าเด็กหัวโขมยตัวน้อย ที่ถูกชาวบ้านตามจับมาได้หลังจากเข้าไปขโมยยาธาตุในร้านขายของชำ
เมื่อแม่มองดูหน้าขโมยแล้วก็พบว่า เป็นลูกชายของแม่ค้าที่รู้จักมักคุ้นกัน จึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยการจ่ายสตางค์ค่ายาธาตุให้กับเจ้าของร้านชำ และเมื่อถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ทราบว่าแม่ของเด็กกำลังไม่สบายอย่างหนัก แต่ด้วยความที่ไม่มีเงิน และอยากจะรักษาแม่ให้หาย จึงต้องทำแบบนี้
พอฟังจบ แม่จึงซื้อยาแก้ปวดและส้มให้เด็กผู้ชายไป 1 ถุง พร้อมบอกว่าคนไม่สบายทานส้มเยอะ ๆ จะได้หายไว ๆ อีกทั้งถ้าคราวหลังต้องการเงินทองไปรักษาแม่แล้วขาดเหลืออย่างไร ก็ให้มาบอกตนได้
เหตุการณ์คราวนั้น สร้างความประหลาดใจให้กับลูกสาวของแม่เป็นอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด แม่จึงให้ความช่วยเหลือเจ้าหัวโขมยถึงเพียงนั้น แต่แล้วคำตอบที่ได้รับจากแม่ก็คือ "ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะมันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
"จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น.แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
20 ปีหลังจากนั้น ลูกสาวของแม่เรียนจบปริญญาตรีแล้วครับ เธอเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงตัวและแม่ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อเธอพบว่าแม่กำลังป่วยอย่างรุนแรงด้วยอาการเนื้องอกในสมอง
เธอดิ้นรนหาทางรักษาแม่ทุกวิถีทาง สุดท้ายแพทย์ที่ให้การรักษา ก็แนะนำว่าต้องเข้ารับการผ่าตัดจากแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เธอกับแม่จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และแพทย์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยการผ่าตัดเนื้องอกในสมองของแม่ในทันที
ระหว่างที่เธอกำลังรอการผ่าตัดอยู่นั่นเอง เธอได้ทราบข้อมูลจากเพื่อน ๆ ว่า การผ่าตัดเนื้องอกในสมองนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงมาก บางครั้งอาจะสูงถึงห้าแสนบาทด้วยซ้ำไป
ความที่เพิ่งเป็นบัณฑิตจบใหม่ เงินเดือนเริ่มต้นเพียงหมื่นกว่าบาท ทำให้เธอกลัดกลุ้มนัก ว่าจะนำเงินที่ไหนมารักษาแม่ของเธอ
ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ผู้ดูแลให้แม่พักผ่อนอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่ง แล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับบอกว่า เดี๋ยวจะมีหนังสือแจ้งยอดค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลไปที่บ้าน ถึงตอนนั้นก็มาจ่ายสตางค์ที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหนังสือแจ้งค่าใช้จ่ายไปที่บ้าน แต่พอได้เปิดอ่าน ก็ต้องประหลาดใจที่ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าประสานงานของโรงพยาบาลเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
ทั้งสองแม่ลูกจึงพากันไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบดูว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดในการแจ้งค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือไม่
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้พบกับนางพยาบาลท่านหนึ่ง เธอบอกว่า “คุณหมอที่รักษาคุณป้า ฝากจดหมายนี้เอาไว้ให้ค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณหมอแจ้งกับโรงพยาบาลว่า ท่านจะรับผิดชอบเองค่ะ”
แม่ลูกทั้งสองรับจดหมายมาเปิดอ่าน ถึงกับหน้าตาคลอเบ้ากับเนื้อความด้านในที่เขียนเอาไว้ว่า
'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 มมทบาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'
+1ทุกความเห็นเลยครับ แต่ละเรื่องสอนใจได้ดีมากๆ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆครับ
ปล. เรื่องสุดท้ายอ่านจบแล้วน้ำตาจะไหลครับ
ลองชมนะครับhttp://www.youtube.com/watch?v=Os_kNd-_agk
"ท่านต้องเป็นผู้ให้ก่อน ท่านจึงจะเป็นผู้ได้รับ" จงคิดเสมอว่า เราให้อะไรกับสังคมบ้าง อย่าคิดแต่เพียงว่าสังคมให้อะไรกับเราบ้าง

ขอบคุณเรื่องเล่าดีๆ ขอบคุณอาวุโสสามท่าน ขอบคุณพี่ๆ และเพื่อนๆ ที่ร่วมแชร์ ขอบคุณครับ.

โดนใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเรื่องของท่านเจ้าของกระทู้ คุณdorn80
ขออนุญาต +ให้กับเรื่องดีๆ ของทุกท่าน ที่นำมาแบ่งปันครับ
สังคมไทยจะอยู่กันอย่างเกิ้อกูล เป็นเหมือนญาติมิตร ปรารถนาดีให้กัน ต้องเริ่มจากสิ่งดีๆ แบบนี้ เป็นพื้นฐานของจิตใจครับ
ครับ คนดีๆในสังคมของเรา ยังมีอีกแยะ การช่วยเหลือคน โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ที่ยากจน และขาดโอกาสในชีวิต ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่
เขาเหล่านั้น เลือกเกิดมาไม่ได้นะครับ !

ซึ้งๆครับไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่เราจะเริ่มใหม่อีกสักครั้งกับคนที่เรารักและรักเราครับ +++ ๑
ด้วยความเคารพ

+1ครับ
ถ้าทุกคนพูดแบบพ่อคนนี้ คิดแบบนี้ ผมว่าประเทศไทยน่าอยู่มากครับ