
หัวข้อ: บ่นกันสนุกครับ
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

วันนี้อาจจะห่างพระเครื่องไปบ้าง ต้องขออภัยนะครับ พอดีวันนี้มีความสงสัยในเรื่องบทสวดมนต์ จึงเดินทางไปหาพระอาจารย์สอบถามให้คลายสงสัย
“อาจารย์ครับ สวดมนต์แล้วได้ผลจริงไหมครับ”
บทสวดมนต์มันก็มีส่วนช่วยได้ แต่บทบางบทก็มีไว้ให้ทำมากกว่า
“ยกตัวอย่างได้ไหมครับ”
อย่างหัวใจเศรษฐีไง เห็นคนท่องกัน อุ อา กะ สะ ลองถอดความมาดูก็จะได้ว่า
อุ มาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา คือ พร้อมด้วยความขยัน หมั่นเพียร ในการประกอบสัมมาอาชีพ หรือจำง่ายๆว่า ขยันหา
อา มาจากคำว่า อารักขสัมปทา คือ การเก็บรักษาทรัพย์สินที่ได้มา โดยชอบธรรม หรือจำง่ายๆว่า ขยันเก็บ
กะ มาจากคำว่า กัลยาณมิตตา คือ การคบหาสมาคมกับคนดี มีคุณธรรม มีน้ำใจและเป็นเพื่อนที่ไมาพาไปผลาญทรัพย์ หรือจำง่ายๆว่า เลือกคบ
สะ มาจากคำว่า สมชีวิตา คือ การใช้จ่ายอย่างประหยัดพอเพียง ใช้ชีวิตสมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย หรือจำง่ายๆว่า เลือกใช้
สรุปคือ ขยันหา ขยันเก็บ เลือกคบ เลือกใช้ แค่นี้ก็พอมีพอกินแล้ว อาตมาเห็นแต่คนท่อง ๆ กัน พอกลางเดือนสิ้นเดือนก็ซื้อหวย หวังให้ถูกเพราะท่องคาถาแล้ว ถึงแม้จะงงว่าทำไมต้องท่อง แต่ก็เห็นว่าไม่มีใครรวยกันเลย
“แล้วมีตัวอย่างอื่นอีกไหมครับ”
ก็หัวใจนักปราชญ์ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีนะ สุ จิ ปุ ลิ
ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้
1.สุ ย่อมาจากคำว่า สุตตะ แปลว่า การฟัง
2.จิ ย่อมาจากคำว่า จิตตะ แปลว่า การคิด
3.ปุ ย่อมาจากคำว่า ปุจฉา แปลว่า การถาม
4.ลิ ย่อมาจากคำว่า ลิขิต แปลว่า การเขียน
โดยทุกคนสามารถนำทักษะทั้ง4 นี้ไปปฏิบัติได้ จะทำให้เป็นนักปราชญ์หรือบัณฑิตที่เก่งได้
“คุยเรื่องหัวใจคาถากันแล้ว ที่ผมท่องว่า อิ สวา สุ หล่ะครับมันมาจากตัวไหนกัน”
หัวใจพระรัตนตรัย อิ สวา สุ (อณุโลม) สุ สวา อิ (ปฎิโลม)
อิ มาจาก บทพระพุทธคุณ ๕๖ คือ อิติปิโส....
สวา มาจาก บทพระธรรมคุณ ๓๘ คือ สวาขาโต....
สุ มาจาก บทพระสังฆคุณ ๑๔ คือ สุปะฎิปัณโน....
รวมกันคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์แห่งพระรัตนตรัย และรวมคุณแห่งเลข ก็จะได้ ๑๐๘ เท่ากับบทอิติปิโสรัตนมาลา ๑๐๘
จะกล่าวได้ว่าถ้าท่องแล้วมีความเชื่อในคาถานั้นความสำเร็จก็จะเกิดได้ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเข้าใจในสิ่งที่ท่อง และสามารถปฏิบัติตามได้ ก็จะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
หลังจากสนทนากันอีกสักครู่จึงได้ขอลากลับจากวัดไป พร้อมความรู้ที่เกือบครึ่งฝากคืนไว้ที่วัดเพราะกลัวอาจารย์จะไม่มีไว้สอนใคร
เรื่องต่อมามาเล่าเรื่องที่จะว่าแปลกก็แปลกกันสักนิดกันดีกว่า พอดีเมื่อไม่กี่ปีมาแล้ว ได้รับการรบกวนจากญาติสนิท ให้ปล่อยพระสมเด็จให้หน่อย ผมยังไม่เห็นองค์จริง แต่จากปากคำที่บอกมาก็พอบอกได้ว่า เจ้าของพระเชื่อว่าเป็นพระแท้แน่นอน คำถามต่อมาก็คือ ถ้ามั่นใจว่าแท้ทำไมไม่ลองปล่อยไปดูเลย เพราะพระแท้ต่อให้ถูกกดราคาก็ไม่น่าจะกดมากมายนัก คำตอบที่กลับมาก็คือ ไปที่ไหนเขาก็ตีว่าปลอม งงหล่ะสิที่นี้ ครั้นพอหาวันหยุดอันแสนน้อยนิดได้(ตอนนั้นอยู่หาดใหญ่ ให้เดินทางไปปราจีนบุรี) ก็เดินทางไปหา พอไปเห็น ใช่ทันทีครับ อย่าว่าแต่เซียนพระเลย ผมเป็นแค่เสี้ยนพระก็ตีเก๊ไว้ก่อนเลย ก็พระของพี่ท่าน เล่นลงรักดำทั้งองค์ปิดทองอีกต่างหาก ไม่ใช่ปิดธรรมดานะ ปิดทองคำเปลวแท้แบบเคลือบรักเลย ทองอร่ามสวยบาดใจ ที่สำคัญ ดูจากรอยที่รักแตกตามธรรมชาติแล้ว ลงรักสองชั้นอีกต่างหาก เอาหล่ะงานนี้ปวดหัวแน่นอน เจ้าของพระบอกร้อนเงินจริง ๆ เป็นของที่ได้มาจากมรดก ยังไงก็มั่นใจว่าแท้ หลังจากตั้งสติได้สักพัก เลยมองว่า จะปล่อยแน่หรอเพราะเจ้าของเดิมทำไว้แบบนี้ น่าจะรักของชิ้นนี้มาก ที่สำคัญตา(เจ้าของพระคนเดิม) เขาก็ไม่เคยให้ใครดูด้วยซ้ำไป เพราะผมเคยขอดูมาแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นองค์นี้เลย คำตอบที่ยืนยันมาก็คือ จำเป็นเพราะถ้าไม่มีเงินก็จะถูกยึดที่สวนซึ่งเป็นมรดก พระถึงแม้จะหวง แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้เราอยู่รอดได้ ต่อให้เสียพระไปแต่รักษาที่ไว้ได้ ก็ไม่น่าเสียใจเท่าไหร่ หลังจากคิดอยู่พักใหญ่ จึงได้ไปปรึกษากับคนรู้จักให้ช่วยแนะนำทางออกให้บ้าง ในที่สุดก็ได้นายหน้ามาคนหนึ่ง ได้ตกลงนำพระมาที่กรุงเทพฯ พาไปที่แผงพระ ให้ช่างที่เจ้าของแผงจ้างมา เปิดรักใต้องค์พระให้ ผมไม่เห็นวิธี แต่ทำเสร็จแล้ว ก็เห็นเนื้อเดิม หลังจากหลายคนช่วยส่องก็ยืนยันว่าแท้ หลังจากนั้นผมก็ได้ให้ญาติติดต่อกันเองกับนายหน้า ซึ่งได้ปล่อยไปแล้วแถวภาคเหนือ ในราคาที่สูงพอควร ทุกวันนี้ที่สวนก็ยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อตรุษจีนปีที่แล้ว มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้าน ญาติท่านนี้ ก็ยังบ่นเสียดายพระอยู่ไม่หาย แต่ประโยคหลังที่พูดจากเสียดายมันก็ทำให้ผมยิ้มได้ พระท่านถ้าท่านไม่อยากอยู่กับเรา ต่อให้เอาช้างมาฉุด ท่านก็ไป ทุกวันนี้ประโยคนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิดเหมือนเดิม
คราวนี้เรามาไกลพระเสียเลยแล้วกัน เมื่อต้นปีปลายเดือนกุมพาพันธ์ มีคำสั่งให้อยู่ที่เกาะสมุย เออ...จะพูดอย่างไงดีหล่ะ ให้หยุดได้ตามวาระ แต่ไม่อนุญาตให้ออกจากเกาะ เจออย่างนี้เข้าไปมึนเลย ว่าแล้วไม่เป็นไร อยู่บนเขาเลยก็ได้ เพราะสมัยนี้เรามีอินเตอร์เน็ต ไม่เงียบเหงาเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว ขอพูดอย่างไม่อายเลยว่า เมื่อสิบปีก่อนอยู่บนเขาในตอนนั้นแค่สองเดือนเท่านั้น แค่เห็นหมาตัวเมียก็ยิ้มแล้ว มันช่างเป็นความรู้สึกที่เหนือคำบรรยายจริง ๆ มาปีนี้อยู่สบาย ๆ มีข้าวหลวงกินทุกวัน ลงจากเขาเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม มาในสภาพแบบคนหลงป่ามาเลยทีเดียว เพราะอยู่บนเขาไม่ต้องเข้าแถว ผมเผ้าหนวดเนิดไม่มีโกน รุงรังไปหมด ตอนลงมาถึงที่ราบรุ่นน้องที่เพิ่งจบมาเข้ามาถามว่า “พี่ครับ ทำอย่างไงถึงได้มีหนวดขนาดนี้ครับ”
งงกับคำถามเล็กน้อย ก่อนตอบว่ามันเป็นเอง ถามทำไมหรอน้อง
“มันเถื่อนดีครับพี่”
ตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะเตะน้องดีไหม เด็กอะไรชอบให้ตัวเองดูเถื่อน ๆ เสียอย่างนั้น
ว่าแล้ว ก็ไม่สนใจ ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นแค่เสื้อคอวีสีขาว กางเกงลายพลางทหาร รองเท้าคอมแบท รีบขี่มอเตอร์ไซต์ไปซื้อหนังสือที่ห้าง ก่อนเข้าห้างแวะธนาคารหน้าห้าง ก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ มีแต่คนมอง พอเดินในห้างได้สักพัก ก็มีตำรวจมาสองคน มาบอกว่า มีคนแจ้งว่ามีคนแต่งกายเลียนแบบทหารอยู่ในห้าง ทางผมเลยมาตรวจสอบ ฟังแล้วงงพักนึงก็เราทหารนี่หว่า พอตำรวจขอดูบัตรข้าราชการก็เปิดกระเป๋า ความโชคร้ายมาเยือน ดันลืมเอาบัตรข้าราชการมาด้วย ตำรวจเจ้ากรรมก็ทำตามหน้าที่เชิญตัวไปนั่งรอที่โรงพักทันที ว่าแล้วก็ไปโรงพักอีกแล้ว(คราวก่อนรับของโจร) ก่อนไปได้โทรศัพท์ไปบอกที่สถานีรายงานให้ แจ้ง ผบ.ท่าน โทรศัพท์บอกผู้กำกับเพื่อยืนยันตัวตนให้ด้วย จะได้กลับได้ แต่พอไปถึงสถานีสักครู่เดียว ได้รับความเมตตาจากท่านรองมายืนยันและมารับด้วยตัวเอง ก่อนกลับท่านก็บอกว่า ความจริงแค่โทรมาบอกก็ได้ แต่นี่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์เลยก็ได้ ที่มีข้าราชการถูกจับข้อหาแต่งกายเลียนแบบข้าราชการ ผมฟังทั้งตลกทั้งอายเลยที่เดียว ขอบอกว่างานนี้ไม่ได้โกรธตำรวจเพราะเขาทำตามหน้าที่ แต่อยากจะเจอหน้าคนแจ้งความจริง ๆ ว่าเขาคิดอย่างไงถึงได่แจ้งความอย่างนั้น
เรื่องสุดท้ายเราวกกลับมาที่พระสักนิดก็แล้วกัน ปีที่อยู่หาดใหญ่ได้ไปเดินดูตลาดพระที่นั่นด้วยพอดีไปเจอพระสมเด็จอยู่องค์หนึ่ง ถูกแซะเม็ดด้านข้างที่พระกรรณทั้งสองข้างออก ด้วยความสงสัยจึงได้หยิบขึ้นมาดู ก็คาดว่าน่าจะเป็นหลวงพ่อโต่ง วัดเภตรา ฯ จึงได้ถามเจ้าของแผงว่าทำไมถึงแซะเม็ดด้านข้างออก เจ้าของเห็นดังนั้นก็ทราบว่าเรารู้จัก จึงถามว่าแล้วน้องรู้ว่าเป็นพระที่ไหนหรอ ผมก็บอกแค่ว่าหลวงพ่อโต่ง (น่าจะเป็นสมเด็จสาวหลง) หลังจากนั้นจึงถามราคา เจ้าของเปิด ห้าร้อย ผมตอบไปว่าทำพระเสียแล้ว ร้อยเดียวพอ ต่อราคากันจบที่สองร้อย พร้อมกับเสียงบ่นของเจ้าของแผงว่าไม่น่าแซะเม็ดออกเลย เรื่องนี้เล่าให้ฟังเพื่อต้องการบอกว่า เวลาได้พระที่ไม่ทราบที่มามาไว้ อย่าได้ทำพิเรนด้วยการแต่งพระนั้นเลยนะครับ เพราะพระองค์นั้นอาจมีราคามากในท้องถิ่นอื่นก็ได้ อย่างองค์นี้ ถ้าสมบูรณ์ราคาน่าจะถึงพัน ผมได้มาก็เอาไปให้กับรุ่นพี่ที่ชอบพระสายนี้ ท่านก็บ่นว่าเสียของ แต่อย่างว่าหล่ะครับ มันได้ถูก สุดท้ายฝากรูปสมเด็จสาวหลงหลวงพ่อโต่งไว้ให้ดูนะครับ บ่นรอบหน้าเห็นมีคนมาตั้งกระทู้เรื่องความเชื่อว่าบ้าไหม เอาบ่นจากผมไปเลยครับรอบหน้า ทำน้ำมันพราย ของแท้ทำอย่างไง คำบ่นของคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ครับ


ผมอยากเห็นรูปพี่ตอนไว้หนวดเคราครับ [ ตอนตำรวจเชิญไปโรงพัก ] +++ ๑
ด้วยความเคารพ

บ่นได้ มันส์ ดี ครับ
อ่านจบแล้ว อยากเจอ สมเด็จลงรัก สองชั้นซัก องค์