
หัวข้อ: ความหมายของยันต์ด้านหลังของเหรียญหล่อหลวงปู่ทวดรุ่นปาฏิหาริย์สองโพธิสัตว์
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
เรามาศึกษาความหมายของยันต์ด้านหลังของเหรียญหล่อทั้งสองชนิด หลวงปู่ทวดรุ่นปาฏิหาริย์สองโพธิสัตว์

เรามาค่อย ๆ ไล่เรียงไปแบบช้า ๆ พร้อม ๆ กันนะครับโดยเริ่มจากยันต์หมายเลขหนึ่งตามรูปในโบรชัวร์ด้านบน
1) หัวใจตรีเพชร หรือไตรปิฎก“มะอะอุ” หมายถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ที่มาของ พระคาถาหัวใจพระไตรปิฎก
มะ (แทนพระพุทธ มาจาก มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ)
อะ (แทนพระธรรม มาจาก อะกาลิโกเอหิปัสสิโก)
อุ (แทนพระสงฆ์ มาจาก อุชุปะฏิปันโน สาวะกะสังโฆ)
ซึ่งมิได้เรียงเรียงแบบของฮินดู (อุอะมะ) ในพระคาถาแห่งพระหัวใจ ชื่อว่า หัวใจตรีเพชร
และสามารถเปลี่ยนมาใช้เป็น หัวใจพระไตรปิฏก โดยให้
มะ (แทน พระมหากัสสะปะ)
อะ (แทนพระอานนท์)
อุ (แทนพระอุบาลี) ผู้ซึ่งเป็นพระผู้เริ่มสังคายนาพระไตรปิฏก
รวมความแล้วเป็นหัวใจพระไตรปิฎกทั้งนั้น
เป็นคาถาใช้ได้ทุกทาง ครอบจักรวาลใช้ดีทุกด้าน ป้องกันอันตราย และทางคงกระพันชาตรี ทางโบราณเกจิอาจารย์ต่างๆ ถือกันว่ายันต์บทนี้เป็นยันต์ที่เด่นในทางแคล้วคลาดและเป็นเมตตามหานิยมสูงมาก และเป็นคาถาที่ใช้คู่ กับ"นะโมพุทธายะ"ซึ่งขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งแทบมิได้
1) หัวใจตรีเพชร หรือไตรปิฎก“มะอะอุ” หมายถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ที่มาของ พระคาถาหัวใจพระไตรปิฎก
มะ (แทนพระพุทธ มาจาก มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ)อะ (แทนพระธรรม มาจาก อะกาลิโกเอหิปัสสิโก)อุ (แทนพระสงฆ์ มาจาก อุชุปะฏิปันโน สาวะกะสังโฆ)
ซึ่งมิได้เรียงเรียงแบบของฮินดู (อุอะมะ) ในพระคาถาแห่งพระหัวใจ ชื่อว่า หัวใจตรีเพชรและสามารถเปลี่ยนมาใช้เป็น หัวใจพระไตรปิฏก โดยให้มะ (แทน พระมหากัสสะปะ)อะ (แทนพระอานนท์)อุ (แทนพระอุบาลี) ผู้ซึ่งเป็นพระผู้เริ่มสังคายนาพระไตรปิฏกรวมความแล้วเป็นหัวใจพระไตรปิฎกทั้งนั้น
เป็นคาถาใช้ได้ทุกทาง ครอบจักรวาลใช้ดีทุกด้าน ป้องกันอันตราย และทางคงกระพันชาตรี ทางโบราณเกจิอาจารย์ต่างๆ ถือกันว่ายันต์บทนี้เป็นยันต์ที่เด่นในทางแคล้วคลาดและเป็นเมตตามหานิยมสูงมาก และเป็นคาถาที่ใช้คู่ กับ"นะโมพุทธายะ"ซึ่งขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งแทบมิได้
2) หัวใจกรณียธาตุ“จะ ภะ กะ สะ”
"จะ" มาจาก "จชทุชชนสังสัคคัง"หมายถึง จงละเว้นการคบคนชั่วเสีย
"ภะ" มาจาก "ภชสาธุสมาคตัง" หมายถึง หมั่นคบหาสมาคมด้วยบัณฑิต
"กะ" มาจาก "กรปุญญมโหรัตตัง" หมายถึง ให้สร้างบุญ(ให้ทาน)ทั้งกลางวันและกลางคืน
"สะ" มาจาก "สรนิจจมนิจจัง"(หลักไตรลักษณ์) หมายถึง ให้ระลึกถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขารเป็นนิจ
มีคุณวิเศษด้านทางด้านเมตตามหานิยม
2) หัวใจกรณียธาตุ“จะ ภะ กะ สะ”
"จะ" มาจาก "จชทุชชนสังสัคคัง"หมายถึง จงละเว้นการคบคนชั่วเสีย
"ภะ" มาจาก "ภชสาธุสมาคตัง" หมายถึง หมั่นคบหาสมาคมด้วยบัณฑิต
"กะ" มาจาก "กรปุญญมโหรัตตัง" หมายถึง ให้สร้างบุญ(ให้ทาน)ทั้งกลางวันและกลางคืน
"สะ" มาจาก "สรนิจจมนิจจัง"(หลักไตรลักษณ์) หมายถึง ให้ระลึกถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขารเป็นนิจ
มีคุณวิเศษด้านทางด้านเมตตามหานิยม
3) อิติปิโสนพคุณ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง อะระหัง
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง วิชชา จะระณะ สัมปันโน
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สุคะโต
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง โลกะวิทู
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง สัตถา เทวะมะนุสสานัง
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง พุทโธ
โส ภะคะวา อิติปิ อะระหัง ภะคะวาติฯ
คาถาบทนี้ ใช้ได้ ๑๐๘ ประการ ขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เมื่อมีทุกข์ภัยเกิดขึ้นในบ้านเรือนตน ท่านให้ภาวนา ๑๔ คาบ, สะเดาะก้างปลาติดคอ ท่านให้ภาวนา ๙ คาบ, ปัดเป่าถอนพิษสัตว์กัดต่อย ท่านให้ภาวนา ๙ คาบ, ถ้าจะทำเสน่ห์มหาละลวยให้นำแป้งกระแจะหอมผสมกับนํ้าอบ เสกด้วยคาถาบทนี้ ๒ คาบ แล้วนำมาเจิมหน้าผาก ๓ จุด, เสกหมากกินเป็นเสน่ห์มหานิยมเมื่อเข้าหาขุนนางทั่วไป ท่านให้ภาวนา ๙ คาบ, เสกใส่ของหรือหมากให้คนที่เรารักหรือคนที่รังเกียจเรากิน จะรักใคร่ยิ่งขึ้น และจะหายโกรธกลับมารักใคร่เรา ท่านให้เสก ๙ คาบ, เสกใส่หมากให้คนถูกผีเข้ากิน ผีจะบอกชื่อเรา ท่านให้เสก ๗ คาบ เสกกล้วยให้เด็กขี้โรคกิน ๗ คาบเลี้ยงง่าย หายจากโรคภัย, เสกข้าวสารหว่านภูตปีศาจ ท่านให้เสก ๗ คาบ เสกนํ้าหรือขันหมากหรือของกิน ๓ คาบ ให้คนกิน รักเราคิดถึงเรามากยิ่งขึ้น ท่านว่าให้ปรารถนา หมั่นภาวนาบริกรรมให้ขลังเถิด ป้องกันได้ ๑๐๘ ประการแล
4) พระวินัยปิฎก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระวินัย เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับศีลหรือสิกขาบท (บทบัญญัติ) ตลอดจนพิธีกรรมและธรรมเนียมของสงฆ์ อันเป็นกฎระเบียบที่พระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีสงฆ์จะต้องปฏิบัติ รวมถึงพุทธประวัติบางตอนและประวัติการทำสังคายนา มีทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๕ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า อา ปา มะ จุ ปะ (หัวใจพระวินัย) ได้แก่
๑ คัมภีร์อาทิกรรม ว่าด้วยอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส อนิยต และต้นบัญญัติ ในสิกขาบท ต่าง ๆ
๒ คัมภีร์ปาจิตตีย์ ว่าด้วยอาบัติปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นอาบัติอย่างเบา
๓ คัมภีร์มหาวรรค ว่าด้วยพุทธประวัติตอนปฐมโพธิกาล และพิธีกรรมทางพระวินัย
๔ คัมภีร์จุลวรรค ว่าด้วยพิธีกรรมทางพระวินัยต่อจากมหาวรรค ตลอดจนความเป็นมาของภิกษุณี และประวัติการทำสังคายนา
๕ คัมภีร์ปริวารวรรค ว่าด้วยข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย
5) พระสุตตันตปิฎก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระสูตร เป็นหมวดที่ประมวลพระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรม และเรื่องเล่าต่าง ๆ อันยักเยื้องตามบุคคลและโอกาส เป็นธรรมที่แสดงโดยใช้สมมุติโวหาร คือยกสัตว์ บุคคล กษัตริย์ เทวดา เป็นต้น มาแสดง มีคำสอนทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๕ นิกาย เรียกโดยย่อว่า ที มะ สัง อัง ขุ (หัวใจพระสูตร) ได้แก่
๑ ทีฆนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรขนาดยาว จำนวน ๓๔ สูตร
๒ มัชฌิมนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรขนาดปานกลางจำนวน ๑๕๒ สูตร
๓ สังยุตตนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรที่จัดเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า สังยุตต์ มีชื่อตามเนื้อหา เช่นเกี่ยวกับแคว้นโกสล เรียกว่า โกสลสังยุตต์ เกี่ยวกับ มรรค เรียกว่า มรรคสังยุตต์ มีจำนวน ๗,๗๖๒ สูตร
๔ อังคุตตรนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรที่จัดหมวดหมู่ตามจำนวนข้อของหลักธรรม เรียกว่า นิบาต เช่น เอกกนิบาต ว่าด้วย หลักธรรมที่มีหัวข้อเดียว จนถึงหลักธรรมที่มี ๑๑ หัวข้อ เรียกว่า เอกกทสกนิบาต ในนิกายนี้มีจำนวนพระสูตร ๙,๕๕๗ สูตร
๕ ขุททกนิกาย ประกอบด้วยภาษิตเบ็ดเตล็ด ประวัติและนิทานต่าง ๆ
6) พระอภิธรรมปิฎก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระอภิธรรม เป็นหมวดที่ประมวลพุทธพจน์อันเกี่ยวกับหลักธรรมที่เป็นวิชาการว่าด้วยเรื่องของปรมัตถธรรม (มี ๔ ประการ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน) (สภาวธรรม) ล้วน ๆ ยกตัวอย่าง เช่นเมื่อกล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ส่วนที่เรียกชื่อว่า นาย ก นาย ข นั้นเรียกโดยสมมุติโวหารเท่านั้น ดังนั้น ธรรมะในหมวดนี้จึงไม่มีเรื่องราวของบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย
พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ (หัวใจพระอภิธรรม) ได้แก่
๑ คัมภีร์ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้เป็นหมวดเป็นกลุ่ม เรียกว่า กัณฑ์ มี ๔ กัณฑ์ คือ
๑) จิตตวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจำแนกจิตและเจตสิกเป็นต้น
๒) รูปวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจำแนกรูปเป็นต้น
๓) นิกเขปราสิกัณฑ์ แสดงธรรมที่เป็นแม่บท (มาติกา) ของปรมัตถธรรม
๔) อัตถุทธารกัณฑ์ แสดงการจำแนกเนื้อความตามแม่บทของปรมัตถธรรม
๒ คัมภีร์วิภังค์ แสดงการจำแนกปรมัตถธรรมออกเป็นข้อ ๆ แบ่งออกเป็น ๑๘ วิภังค์ เช่น จำแนกขันธ์ (หมายถึง ขันธ์ ๕ อันประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ ก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป็นเจตสิก ส่วนวิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต ดังนั้น ขันธ์ ๕ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นั่นเอง) เรียกว่า ขันธวิภังค์
๓ ธาตุกถา แสดงการจัดหมวดหมู่ของปรมัตถธรรมโดยสงเคราะห์ด้วย ธาตุ (ธรรมชาติที่ ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน)
๔ คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ ๖ ประการและแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัติอัน เกี่ยวกับบุคคล
๕ คัมภีร์กถาวัตถุ ว่าด้วยคำถามคำตอบประมาณ ๒๑๙ หัวข้อ อันถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรมวินัย
๖ คัมภีร์ยมก ในคัมภีร์นี้จะยกหัวข้อปรมัตถธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ ๆ
๗ คัมภีร์มหาปัฏฐาน แสดงเหตุปัจจัยและแสดงความสัมพันธ์อันเป็นเหตุ เป็นผลที่อิงอาศัยซึ่งกันและกันแห่งปรมัตถธรรมทั้งปวงโดยพิสดาร
สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือ ธรรมะหมวดที่ ๓ ในพระไตรปิฎกที่สอนให้รู้จักธรรมชาติอัน แท้จริงที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายอันได้แก่จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมาย อันสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ธรรมชาติทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนี้รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม หากแปลตามศัพท์ คำว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่า ธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันยิ่ง ธรรมที่อยู่แท้จริงปราศจากสมมุติ เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงปรมัตถธรรมล้วน ๆ โดยไม่มี บัญญัติธรรม (สมมุติโวหาร) เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงอยากให้ทำความเข้าใจไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรม นั้นต่างกันอย่างไร
7) คาถาหัวใจธาตุ ๔
เป็นคาถาธาตุสิ่งมีชีวิตที่ว่า "นะ มะ พะ ทะ" หรือ น้ำ ดิน ไฟ ลม นั่นเอง ใช้ทางคงกระพัน ทั้งนี้จะนิยมบริกรรมหรือเขียนควงเป็น ๔ บท คือ
๑.นะ มะ พะ ทะ
๒.ทะ นะ มะ พะ
๓.พะ ทะ นะ มะ
๔.มะ พะ ทะ นะ
8) หัวใจพระไตรสรณคม หรือ หัวใจยอดศีล“พุท ธะ สัง มิ”
มาจากบทสวดพระไตรสรณคมณ์ ก่อนที่เราจะอาราธณาศีล ดังนี้
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ดีทาง ป้องกันภัย คงกระพัน เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ค้าขาย แคล้วคลาด ปลอดภัย
9) คาถาหัวใจพระสังคหะ
จิ เจ รุ นิ อิ สะ เย นะ วิกรึงคะเร
คาถาหัวใจพระสังคหะ (คาถาตรึงคาถา) คาถานี้ เสกตรึงคาถาอื่นๆซึ่งเราภาวนาไว้แล้วเกรงว่าจะไม่ขลังให้ขลังขึ้นหรือจะใช้ภาวนา เมื่อตกอยู่ในท่ามกลางภยันตรายก็วิเศษนัก อยู่ยงคงกระพัน หอก ดาบ เขี้ยว งา อาวุธทั้งปวงใช้ได้ผลจริง ประเสริฐนักแล
10) หัวใจพระเจ้า 5 พระองค์“นะ โม พุท ธา ยะ”
ที่มาของ พระคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ เป็นการเขียนโดยใช้ตัวย่อนามพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ คือ
นะ หมายถึง พระกุกกุสันโธ ใช้เขียนแทน ธาตุน้ำ ซึ่งเรียกว่า อาโปธาตุ
โม หมายถึง พระโกนาคม ใช้เขียนแทน ธาตุดิน ซึ่งเรียกว่า ปฐวีธาตุ
พุท หมายถึง พระกัสสปะ ใช้เขียนแทน ธาตุไฟ ซึ่งเรียกว่า เดโชธาตุ
ธา หมายถึง พระสมณะโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ใช้เขียนแทน ธาตุลม ซึ่งเรียกว่า วาโยธาตุ
ยะ หมายถึง พระศรีอริยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป หลัง พ.ศ.๕๐๐๐) ใช้เขียนแทน อากาศธาตุ
ดีทาง มีพุทธคุณครบทุกด้าน เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตราย มหาเสน่ห์ มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย เป็นสิริมงคล ป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ เป็นคาถาหลักเสริมให้คาถาและยันต์อื่นเกิดปาฏิหาริย์ เป็นอักขระวิเศษเรืองอานุภาพสูงสุด
11) คาถาพระเจ้า 16 พระองค์
นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ
อะ นะ อะ กะ อัง อุ มิ อะ มิ มะ หิ สุตัง สุ นัง พุทธัง อะ สุ นะ อะ
สรรพคุณคาถาพระเจ้า 16 พระองค์
ใช้สวดภาวนาสำหรับลงอักขระตะกรุด เรื่องรางของขลังต่าง ๆ นา ๆ
เพื่ออิทธิฤทธิ์ ช่วยป้องกันภูตผี ปีศาจต่าง ๆ