
หัวข้อ: " สำรวม "
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
" สำรวม " ของผมหมายถึง.. การฉันภัตตาหารของพระภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีย์ สมณะชี พราหม์ ที่นำเอาอาหาร หวานคาว ที่รับบิณฑบาตมาได้ นำมาใส่รวมในบาตรแล้วฉันอาหาร
รสชาติของอาหารคาว ขนมหวาน ที่รวมกันมันไม่อร่อยลิ้นสักเท่าไหร่หรอก.. แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มได้..มีแรง..มีกำลังที่จะปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องยึดติดกับ.. รูป,รส,กลิ่น,สี อันเป็นหลักธรรมของพระศาสดาผู้ซึ่ง ตัด-ลด-ละ-กิเลส-โลภะ-โทษะ ให้ทุเลาเบาบางลง
ผมมีเกร็ดประวัติ เรื่องราวเกี่ยวกับภัตตาหารของ..ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ซึ่งก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระภิกษุฯ ท่านได้รับราชการฯในวัง ในรัชสมัยฯ ของพระบาทสมเด็จฯพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.6) จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยานรรัตนราชมานิต
การบวชของท่าน.. มาจากการบวชเพื่อ.. ถวายเป็นพระราชกุศลฯแด่..องค์รัชกาลฯที่ 6 ที่ได้เสด็จสวรรคตสู่สวรรค์คาลัย
ซึ่งในระหว่างที่ยังเป็น " นวกภิกขุ(พระบวชใหม่)อยู่นั้น พระภิกษุนรรัตนก็ได้ปฏิบัติตน เยี่ยง! นวกภิกขุทั้งหลาย คือ การออกรับบิณฑบาต , การออกนอกวัดไปไหน-มาไหน เพียงแต่...ฉันภัตตาหารวันละหนึ่งเวลา และ เป็นอาหารมังสวิรัต
ต่อมา..ท่านเห็นว่า..การออกบิณฑบาตนั้นไม่สู้จะเป็นประโยชน์นัก จะเป็นการไปตัดลาภพระภิกษุรูปอื่นๆ เพราะทราบว่ามีหลายคนตั้งใจจะใส่บาตรเฉพาะกับท่าน และ ภัตตาหารที่ได้จากการบิณฑบาตมา.. ก็ไม่ได้ขบฉัน (ท่านฉันมังสวิรัต) ท่านจึงงดบิณฑบาต แต่..ได้ให้ทางบ้านจัดนำอาหารมังสวิรัตมาถวายเท่านั้น
พอย่างเข้าพรรษาที่ 5-6 ท่านก็เปลี่ยนจากอาหารมังสวิรัต มาเป็นอาหารที่ท่านคิดตำหรับขึ้นเอง เป็นตำหรับที่ท่านเล็งเห็นว่า.. มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ และ ท่านก็ฉันแบบนั้น จำเจอยู่ชนิดเดียว!..แบบเดียว! จนตลอดชีวิตของท่าน
อาหารที่พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ฉันในระยะ 35 พรรษาหลังนี้ มีผู้โจษขานกันไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเป็นอาหารจากสำนักพระราชวังส่งมาบ้าง! บ้างก็ว่าเป็นข้าวคั่วบ้าง! เป็นรำบ้าง! ซึ่งเป็นการกล่าวกันไป โดยที่อาจจะไม่รู้ความจริง หรืออาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์..
** อาหารที่ท่านฉันนั้น นายตริ จินตยานนท์ (น้องชาย) และครอบครัวเป็นผู้ปรุงถวาย เสร็จแล้วได้ให้ลูกชายนำมาถวายที่วัด ในเวลา 8.00น. ซึ่งเป็นเวลาที่พระภิกษุนรรัตนจะลงทำวัตรเช้า **
อาหารที่ท่านฉันนั้นประกอบด้วย..
1. มะนาว ผลขนาดกลาง แกะเอาแต่เนื้อแยกเป็นกลีบๆ 6-9 กลีบเพิ่มจำนวนตามขนาดของผลมะนาว
2. ใบไม้สีเขียว ใช้ใบไม้ที่รับประทานได้ ตำละเอียดขนาดก้อน เท่าหัวแม่มือ โดยปกติจะใช้ใบฝรั่ง เพราะที่บ้านปลูกต้นฝรั่งไว้ แต่บางคราวก็ใช้ใบไม้อื่นๆเช่น ใบสะเดา ใบกระถิน ใบมะม่วง ใบมะเฟือง ใบมะยม ใบมะดัน ใบก้ามปู ฯลฯ
3. อาหารกวน ใช้แทนเป็นกับข้าว ประกอบด้วย ถั่ว 5 อย่าง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง อย่างละเท่าๆกันต้มให้้เปื่อย โม่ให้ละเอียด ใส่กะทะกวน ผสมเกลือ น้ำตาลทรายแดง น้ำมะขามเปียก ชิมรสให้กลมกล่อม กวนจนแห้ง การกวนครั้งหนึ้งๆจะเก็บเอาไว้ใช้ถวายได้ 1 อาทิตย์
4. ถั่วเขียวและข้าวสาร ส่วนผสมเท่ากัน โม่ให้ละเอียด ผสมน้ำกวนในกะทะจนสุก ใช้แทนข้าว
5. มันเทศ ล้างสะอาดไม่ปอกเปลือก ตัดเป็นชิ้นๆพอใส่ลงกล่องได้ นึ่ง 9 คำ
6. กล้วยน้ำว้า
7. ของหวาน คือ ขนมกวนแห้งๆ เช่น. ถั่วกวน เผือกกวน มันกวน ข้าวตู
ภาชนะใส่อาหาร เป็นกล่องอลูมิเนียม รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีฝาปิด ขนาดกล่อง สูง 1นิ้ว กว้าง 6 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว
การจัดวางอาหารลงกล่องจะจัดลงตามส่วนดังนี้ ใช้ใบตองรองกล่องก่อน แบ่งกล่องเป็น 3 ช่องเท่าๆกัน
ช่องซ้าย.. วางมันเทศนึ่ง 9 ชิ้น
ช่องกลาง.. วางมะนาวลงตรงกลาง > กลบด้วยใบไม้ตำ > กลบด้วยอาหารกวนตามข้อ 3 (กับข้าว) > แล้วกลบด้วยถั่วเขียวผสมข้าวสารตามข้อ 4. (ข้าว)
ช่องขวาตอนบน.. วางกล้วยน้ำว้าปลอกเปลือกแล้ว ตัดแบ่งไม่ให้ขาดผลละ 3 ท่อน 2 ผล
"........" ตอนล่าง.. วางขนมหวาน ข้อ 7. จำนวน 9 คำ
เสร็จแล้วตัดใบตองปิดอาหารที่จัดทำ แล้วปิดฝากล่อง ชั้นแรก..ห่อด้วยผ้าสีเหลือง แล้วห่อด้วยผ้าพลาสติดสีขาว อีกชั้นหนึ่ง แล้วใส่ลงในถุงพลาสติกรัดด้วยยางให้เรียบร้อย ส่งถวายให้ทันเวลา 8.00 น.ทุกวัน (เป็นช่วงที่ท่านเดินทางกลับจากทำวัตรเช้าที่พระอุโบสถ กลับไปกุฏิ) ถ้าไปไม่ทันหรือเลยเวลาไปแล้ว ท่านจะไม่อยู่รอ.. จะเดินกลับไปกุฏิทันที และ ไม่รับถวายของที่กุฏิ ทุกกรณี!
ท่านจะฉันอาหารประมาณเวลา 10.00 น. ช้อนที่ท่านใช้เป็นช้อนที่ทำด้วยกะลา..
จากอาหารที่ท่านฉันจำเจ ตลอด 35 พรรษาเศษฯนี้ จะแสดงให้เห็นว่า ท่านเน้น!เพื่อความคงอยู่ของสังขารเท่านั้น! ไม่ได้ปราถนาในรสชาติความเอร็ดอร่อยของอาหาร ซึ่งผิดกับสามัญชนโดยทั่วไป ที่พยายาสรรหาอาหารมาบำรุงบำเรอความอยาก..ที่เรียกร้องให้เปลี่ยนรสชาติอยู่เสมอ
และนี่..คือ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต พระภิกษุฯผู้มีคุณธรรมวิเศษฯ สมควรที่เรา.. เหล่าสาธุชนคนดีให้ความเคารพฯ กราบไหว้อย่างสนิทใจ ขอขอบคุณ..
เครดิต!...จากหนังสือ..อัตตชีวะประวัติ..ของท่านเจ้าประคุณ ธมฺวิตกฺโก ภิกขุ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวิหาร.
สุดท้าย.. ยังมีอีกไหมครับ. ปัจจุบันนี้ ที่ทำแต่ไม่พูดทั้ง.. บรรพชิต แล.. ฆารวาส สวัสดี!!!
ขอบคุณ คุณหนุ่ยครับ ที่กรุณาเผยแพร่วัตรปฎิบัติของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่น่ากราบไหว้บูชาครับ
เสริมของคุณFinallyนิดนึงครับ คงจะพิมพ์ตกไป น่าจะเป็นคำว่า ตถาคตา
ตถาคตา หมายความว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง
พระพุทธเจ้าทรงใช้คำเรียกตัวเองว่า ตถาคต หมายความว่า ผู้เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง
กล่าวตามที่ครูบาอาจารย์ มีท่านพุทธทาสภิกขุ พระปัญญานันทภิกขุ เป็นต้น ท่านได้สั่งสอนเอาไว้ครับ

ชื่นชมทั้ง 3 ท่านครับ โดยเฉพราะท่านเจ้าของกระทู้ที่นำเสนอสิ่งดีๆมาเล่าสู่กันฟังครับ..
finally:
ผมค้นมาจาก google ครับ ท่าน วังเทวี
ต้องขอโทษคุณfinally เป็นอย่างมากครับ ผมพิมพ์ดูในGoogleแล้ว คำว่า ตถตา มีจริงอย่างที่คุณFinallyบอกไว้ครับ
และเป็นคำที่มีความหมายเดียวกันกับ ตถาคตา คือ กล่าวโดยสรุปหมายความว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง
ขอบคุณมากครับ ผมได้คำใหม่อีกคำ อิอิ