
หัวข้อ: อย่าประมาทในชีวิต
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
อย่าประมาทในชีวิต ควรสร้างบุญไว้เสมอ โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี |
permalink |
จงเตือนใจไว้เสมอว่า ถ้าประสงค์ความสุข
ความเจริญ โภคสมบัติ จงหมั่นสร้างบุญ
สร้างกุศลไว้ อย่างสม่ำเสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง
ตามกำลังศรัทธา
เพราะเราไม่อาจจะรู้ได้ว่า อดีตชาติเราได้สร้างบุญ
หรือสร้างบาปไว้มากน้อยเพียงใด และผลของกรรมใด
จะส่งผลก่อนหรือหลัง เพื่อความไม่ประมาทจึงควรจะ
สร้างบุญกุศลเป็นการเพิ่มเติมไว้เสมอ
ถ้าอดีตทำไว้มากแล้ว ก็จะยิ่งมีมากขึ้น
ย่อมให้ผลก่อนที่มีกำลังน้อยกว่า
อันเป็นกฎธรรมชาติของกรรม
ฉะนั้น ด้วยความไม่ประมาท
จงระลึกไว้ว่า ถ้าตนเองไม่สะสมไว้แล้ว
ใครที่ไหนจะช่วยเจ้าได้ เจ้าจะมีอะไรไว้เป็นทุน
เดินทาง เวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ที่ยังต้องผจญต่อไป
ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่
จงระลึกไว้เสมอว่า เจ้าสะสมเตรียมตัวไว้เดินทาง
แล้วหรือยัง จะรอให้คนอื่นทำไปให้นั้น จะมั่นใจดีเท่า
กับเราเตรียมหา ไปเองหรือ
“การทำบุญ ได้แก่ การให้อาหาร ยา เงิน แก่พ่อแม่ ถวายแด่พระสงฆ์ ถวายแด่วัดครับ”
“ทางโลกก็คือ ต้องมีเงินเก็บไว้ยามฉุกเฉิน เจ็บป่วยหนัก อุบัติเหตุครับ”
ที่มา เวปพลังจิตครับ

บุญ ในพุทธศาสนา หมายถึง สิ่งที่ดี สิ่งที่ทำแล้วสบายใจ และต้องสบายเราสบายเขา ไม่ใช่สบายเราเดือร้อนเขา หรือเดือดร้อนเราสบายเขา เดือดร้อนเราเดือดร้อนเขา
ที่ตั้งแห่งบุญได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล การกระทำตนให้เจริญ
ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียง การให้ทานแก่พระสงฆ์และวัด
ควรเชื่ออย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เขาบอกอะไรมาก็เชื่อ
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
การเชื่อนั้นเปรียบเสมือน การกินเกลือ จึงจะรู้ว่าเกลือนั้นเค็ม เค็มเป็นยังไง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น

โอ......ครับ
คุณแม่ของผมท่านเป็นคนไม่ประมาทครับ.
ทุกครั้งที่ท่านได้เงินจากลูกๆ ท่านจะแบ่งเงินของท่านเอาไว้ ดังนี้..
1. เก็บส่วนหนึ่งเอาไว้ไปทำบุญเวลาไปวัดต่างๆ (สะสมเอาไว้ก่อนไม่หวังหรือรอให้ลูกๆทำบุญอุทิศไปให้)
2. เก็บส่วนหนึ่งเอาไว้จ่ายค่าฌาปณกิจศพ (ท่านบอกว่าเมื่อท่านตาย..เงินส่วนนี้จะได้ไม่ทำให้ลูกๆเดือดร้อน..ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้)
3. เก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ (จะได้มีเงินไปซื้อยา..ไปหาหมอ)
4. เก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเอาไว้ช่วยเหลือลูกๆ..ยามเดือดร้อน (แม่ให้ยืมก่อน..ไม่คิดดอกเบี้ย)
5. เก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเอาไว้ซื้อทอง(ช่วงบาทละ1หมื่น.ท่านก็เลิกซื้อเก็บ) ** ท่านเก็บเล็ก..ผสมน้อย..รวมๆแล้วถึง 4บาทแน่ะ! **
6. เก็บเงินเอาไว้ซ่อมแซม-ซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวบ้าง.. ซื้อแป้ง-สบู่-ยาสีฟันบ้าง ซื้อขนมกับข้าวที่คนเขาเร่เข้ามาขายบ้าง
ท่านจะบอกผมเสมอว่า
" เมื่อมีโอกาสได้ทำบุญ.. ต้องทำบุญสะสมไว้บ้าง! แม่จะได้ไม่ต้องรอ..หรือหวังให้ใครที่ไหนทำไปให้ ถึงหรือปล่าวก็ไม่รู้ สู้ทำเองตอนที่ยังมีชีวิตยังมีมีสติครบนั่นแหล่ะ..ดีที่สุด.."
บุญ ที่แท้จริง ต้องทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ โดยไม่หวังผลตอบแทน
เช่น เห็นปลาติดโคลนน้ำแห้ง ปลาอาจตายได้ เราสงสารปลา เอาปลาไปปล่อยลงในน้ำ แบบนี้เป็นบุญอันบริสุทธิ์
เห็นคนอนาถาหิวโหย เราให้อาหารแก่เขา เพื่อเขาจะมีเรี่ยวแรง ต่อสู้ชีวิตได้ แบบนี้เป็นบุญอันบริสุทธิ์
เห็นวัดหรือโรงเรียนในชนบท ขาดแคลนอาคาร หรือวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น เราบริจาคเงินทำบุญ หรือจัดกฐิน ผ้าป่าไปช่วย แบบนี้เป็นบุญอันบริสุทธิ์
การทำบุญเพื่อหวังผลตอบแทน เช่นหวังเก็บสะสมไว้ภายหน้า เอาไว้เป็นทุนใช้ในภายหน้า แบบฝากออมสิน เป็นการทำด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ หวังผลประโยชน์เพื่อตน แบบนี้ไม่เป็นบุญอันบริสุทธิ์
เป็นช่องทางที่นักบวชหลอกให้ทำ อ้างว่าเป็นบุญสะสมไว้ แต่ผู้ได้ผลประโยชน์จริงคือนักบวชเหล่านั้น เห็นกันอยู่มากมายว่า นักบวชพวกนี้ มีรถเบนซ์ มีเงินฝากธนาคารเป็นล้าน คนทำบุญต้องไปรอรับกันถึงชาติหน้า แต่นักบวชพวกนี้ ได้รับได้ใช้ ให้พี่น้อง ครอบครัว กันในชาตินี้วันนี้เลย
พวกเราต้อง สร้างปัญญา ฉลาดรู้เท่าทัน จึงจะได้ชื่อว่าเป็น พุทธศาสนิกชน อันแท้จริง
ศีล สมาธิ ปัญญา
จุดมุ่งหมายในพุทธศาสนาลงเอยด้วย ปัญญา
จึงควรมีปัญญา เข้าใจธรรมชาติตามความเป็นจริง เป็นคำสอนอันเป็นแก่นของพุทธศาสนา