-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
หมวด พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525
พระอู่ทองออกศึก แจกทหารจงอางศึก





ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระอู่ทองออกศึก แจกทหารจงอางศึก |
อายุพระเครื่อง | 58 ปี |
หมวดพระ | พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525 |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | ส. - 20 ส.ค. 2565 - 21:16.42 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | อ. - 23 ส.ค. 2565 - 15:26.36 |
รายละเอียด | |
---|---|
พระอู่ทองออกศึก แจกทหารจงอางศึก ... ท้ายเรื่อง มีบทความ...ที่จะตอบคำถามได้ ว่า ทำไม่ หลวงพ่อ มุ่ย ถึงขลังมาก (ไม่แน่ใจ เนื้อที่่จะพอหรือเปล่า..) "พระอู่ทองออกศึก" เป็นพระเครื่องที่นำเนื้อพระโบราณที่ชำรุดแตกหักจากกรุต่าง ๆ มาบดเป็นส่วนผสมหลัก อาทิเช่น พระผงสุพรรณ จากกรุวัดพระศรีมหาธาตุ, พระกรุวัดพระรูป, พระกรุวัดสำปะซิว, พระกรุวัดบ้านกร่าง, พระกรุถ้ำเสือ, พระกรุวัดบางยี่หน และพระเนื้อดินชำรุดแตกหักของพระเกจิอาจารย์ เท่าที่จัดหาได้จากในเขตเมืองสุพรรณ,อู่ทอง อีกมากมาย พุทธลักษณะคล้ายพระผงสุพรรณ แต่เป็นพระปางสมาธิ ด้านหลังเป็นรูปองค์พระปรางค์ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำวัดพระศรีมหาธาตุ และเป็นสถานที่พบพระผงสุพรรณ และพระเนื้อชินพิมพ์ต่าง ๆ ยอดนิยมของวงการฯ เนื้อพระมีทั้งสีดำ สีเทา และสีแดง ครั้งแรก นำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองสุพรรณบุรี วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยมีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังนั่งปรกปลุกเสก ๖๙ รูป ดังมีรายพระนามต่อไปนี้ ๑. หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี ๒. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี ๓. หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ๔. หลวงพ่อคำ วัดหน่อพุทธางกูร จ.สุพรรณบุรี ๕. หลวงพ่อใจ วัดวังยายหุ่น จ.สุพรรณบุรี ๖. หลวงพ่อเปลื้อง วัดสุวรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี ๗. หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย จ.สุพรรณบุรี ๘. หลวงพ่อดี วัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี ๙. หลวงพ่อโต๊ะ วัดลาดตาล จ.สุพรรณบุรี ๑๐. หลวงพ่อเจริญ วัดธัญเจริญ จ.สุพรรณบุรี ๑๑. หลวงพ่อบุญ วัดโคกโคเฒ่า จ.สุพรรณบุรี ๑๒. หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง จ.สุพรรณบุรี ๑๓. หลวงพ่อเก็บ วัดดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ๑๔. หลวงพ่อดี วัดท่าเจริญ จ.สุพรรณบุรี ๑๕. หลวงพ่อเหมือน วัดไทรย์ จ.สุพรรณบุรี ๑๖. หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์เจริญ จ.สุพรรณบุรี ๑๗. หลวงพ่อเจิม วัดกุฎีทอง จ.สุพรรณบุรี ๑๘. หลวงพ่อเลียบ วัดช่องลม จ.สุพรรณบุรี ๑๙. หลวงพ่อวิจิตร วัดบ้านทึง จ.สุพรรณบุรี ๒๐. หลวงพ่อแขก วัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี ๒๑. หลวงพ่อสุบิน วัดท่าช้าง จ.สุพรรณบุรี ๒๒. หลวงพ่อนาถ วัดศรีโลหะ จ.กาญจนบุรี ๒๓. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ๒๔. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี ๒๕. หลวงปู่โต๊ะ วัดสระเกษ จ.อ่างทอง ๒๖. หลวงพ่อสนิท วัดศิลาขันธ์ จ.อ่างทอง ๒๗. หลวงพ่อสาย วัดท้องคุ้ง จ.อ่างทอง ๒๘. หลวงพ่อไวย์ วัดบรม จ.อยุธยา ๒๙. หลวงพ่อต่วน วัดกล้วย จ.อยุธยา ๓๐. หลวงพ่อชม วัดเขาดิน จ.อยุธยา ๓๑. หลวงพ่อทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา ๓๒. หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย จ.อยุธยา ๓๓. หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา ๓๔. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา ๓๕. หลวงพ่อนก วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ๓๖. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม ๓๗. หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ๓๘. หลวงปู่เพิ่ม วัดสรรเพชญ จ.นครปฐม ๓๙. หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา จ.นครปฐม ๔๐. พระอารย์เจียม วัดไร่ขิง จ.นครปฐม ๔๑. หลวงพ่อสุด วัดกาหลวง จ.สมุทรสาคร ๔๒. หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร ๔๓. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะองค์ จ.สมุทรสาคร ๔๔. หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร ๔๕. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี จ.สมุทรสาคร ๔๖. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ ๔๗. หลวงปู่นาค วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ๔๘. หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง กรุงเทพฯ ๔๙. หลวงพ่อทูรย์ วัดโพธินิมิตร กรุงเทพฯ ๕๐. หลวงปู่เพิ่ม วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ ๕๑. หลวงพ่อผ่อง วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ ๕๒. หลวงพ่อหวล วัดพิกุล กรุงเทพฯ ๕๓. หลวงพ่อบุญนาค วัดเศวตฉัตร กรุงเทพฯ ๕๔. หลวงพ่อผล วัดหนังบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ๕๕. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ๕๖. หลวงพ่อเฮง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ๕๗. หลวงพ่อบุญมี วัดกลางอ่างแก้ว กรุงเทพฯ ๕๘. หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม จ.ราชบุรี ๕๙. หลวงปู่สิมมา วัดบ้านหมอ จ.สระบุรี ๖๐. หลวงพ่อโอด โคกเดื่อ จ.นครสวรรค์ ๖๑. หลวงพ่ออ๋อย วัดหนองบัว จ.นครสวรรค์ ๖๒. หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ ๖๓. หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ จ.ชัยนาท ๖๔. หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี ๖๕. พระอธิการถนอม วัดนางพญา จ.พิษณุโลก ๖๖. หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ๖๗. พระอาจารย์สำราญ วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี ๖๘. หลวงพ่ออบ วัดถ้ำแก้ว จ.เพชรบุรี ๖๙. หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งแรกแล้ว กองบัญชาการทหารสูงสุดโดยคำสั่งของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เดินทางมารับมอบ พระอู่ทองออกศึก จำนวน ๒๕,๗๐๐ องค์ เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารอาสาสมัครรุ่น " จงอางศึก " ที่กำลังจะเคลื่อนพลเดินทางไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม นอกจากนี้ ทางวัดยังนำพระที่เหลือประกอบพิธีพุทธาภิเษกอีกสองครั้ง ในวันที่ ๒-๑๐ มี.ค. ๒๕๑๑ และวันที่ ๑๓ เม.ย. ๒๕๑๑ ก่อนที่จะแจกไปตามหน่วยราชการต่าง ๆ ทั่วประเทศ และได้นำพระที่เหลือทั้งหมดบรรจุไว้ในองค์พระปรางค์ที่วัดพระธาตุ เมื่อวันที่ ๒๘ ม.ค. ๒๕๑๒ ว่ากันว่า พระอู่ทองออกศึก รุ่นแจกทหารจงอางศึกนั้น มีประสบการณ์อิทธิปาฏิหารย์มากมาย จนพวกเวียตกงเรียกทหารรับจ้างไทยรุ่นนี้ว่า ทหารผี ในทุกสมรภูมิรบของสงครามเวียดนาม ทหารหาญของไทยรุ่นนี้ให้ความเชื่อมั่นในพุทธคุณ และมั่นใจเป็นอันมาก ไม่ว่าจะโดนยิง โดนแทง หรือโดนระเบิด ต่างก็รอดจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบัน พระอู่ทองออกศึกมีอายุการสร้างผ่านไป ๕๓ ปีแล้ว จึงเป็นพระที่มีอายุพอสมควร น่าบูชา และสะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านพุทธคุณแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็น " หนึ่ง " ไร้เทียมทาน ศักดิ์สิทธิ์ 2 ชม. · ...แต่เดิมเรื่องของนายสถิต ข้องจันทร์ ถูกเล่าขานผ่านปากของพี่ชายในวงการวัดดอนไร่คนที่มีนาม "ว่าที่ร้อยตรี พีระพงศ์ สมใจเพ็ง" อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย หรือชื่อที่ในวงการนักนิยมพระรู้จักกันในนาม "ทองหล่อ โพธิ์พระยา" ข้าพเจ้า(กนก ขำสุวรรณ)เคยเข้าไปสัมภาษณ์นายสถิต ถึงที่บ้านข้างวัดโพธิ์ศรีเจริญ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จนได้รับข้อมูลอันน่าตื่นตลึง เพราะ #ครั้งหนึ่งนายสถิตผู้นี้เคยเห็นร่างของหลวงพ่อมุ่ยลอยละล่องอยู่เหนือศีรษะ นายสถิต ข้องจันทร์ เกิดเมื่อปี 2488 เกณฑ์ทหารเมื่อปี 2509 ผ่านสงครามเวียดนามรุ่นกองพลเสือดำ ปลดประจำการเมื่อปี 2512 จากนั้นย้อนกลับไปเป็นทหารรับจ้างรบที่ประเทศลาวอีกครั้งในปี 2516 ไม่ใช่เป็นด้วยค่าแรงชีวิตวันละ 60 บาท แต่เนื่องจากผู้เล่าได้ก่อคดียิงคู่อริที่บ้านเกิดถูกตำรวจกับศัตรูตามล่า ชีวิตคนธรรมดาจึงต้องกลับเข้ากรมอีกวาระหนึ่ง คนหนีคดีผู้ไม่มีเส้นทางให้เลือกเดินเหมือนกฎแห่งกรรมที่ตามเป็นเงาติดตัวสมรภูมิลาวขึ้นชื่อว่าโหดร้ายเพราะทหารไทยพากันไปตายยกกองพัน แต่นายสถิต ข้องจันทร์ ตัดสินใจเด็ดขาดว่าขอไปไถ่บาปด้วยการไปตายเอาดาบหน้าเข้าไปฝึกทางยุทธวิธี1เดือน ก่อนเข้าประจำการได้รับอนุญาตให้กลับมาลาญาติพี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย สมัยนั้นในเมืองสุพรรณฯ ยังไม่เจริญ ผู้เล่าบรรยายต่อไปว่า ขณะที่ตนกับเพื่อนนั่งกินข้าวที่“ร้านต้มไส้เนื้อ”ชื่อดังกลางตลาด มีซินแสชื่อดังประจำเมืองเดินผ่านมา เพื่อนทหารด้วยกันจึงเรียกใช้บริการดูดวง ว่ากันว่าอาแปะรายนี้ดูลายมือแม่นชะมัด พอแกแบมือผ่านหน้า จึงร้องทัก "ลื้อนี่ชะตาขาด" คำพูดแค่คำเดียวเล่นเอาต้มไส้เนื้อในชามถึงกับจืดสนิท กินข้าวไม่ลง ผู้คนที่ได้ยินต่างเข้ามารุมล้อมวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา นายสถิตเล่าว่า ตนเองกำลังกลุ้มใจเพราะแว่วๆจากผู้บังคับบัญชาว่าประเทศลาวที่กำลังจะไปรบนั้น บางกองพันไม่เหลือเลยสักราย ยิ่งหมอดูออกปากทักทายกันแบบไม่ถนอมน้ำใจ คนหนุ่มเลือดร้อนยิ่งกลุ้มใจไม่มีเรี่ยวแรง ในขณะที่กำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น ได้ยินเสียงใครบางคนในหมู่ไทยมุง พูดออกมาคำหนึ่ง ซึ่งฟังแล้วก่อให้เกิดความหวังที่ปลายอุโมงค์ "ไอ้หนูลองไปวัดดอนไร่ดูซิไปหาหลวงพ่อมุ่ยเผื่อท่านจะมีทางช่วย" แม้ว่าบ้านของแกจะอยู่กันคนละมุมเมือง แต่ชื่อเสียงหลวงพ่อมุ่ยก็โด่งดังข้ามทุ่งมาถึงบ้านโพธิ์พระยาให้ได้ยินมานานปี นายสถิตกับเพื่อนสองคนจึงตัดสินใจนั่งรถสองแถวไปสามชุกโดยพลัน จากนั้นจึงพากันเดินลัดทุ่งมุ่งหน้าทิศตะวันตกอีก16 กิโลเมตร กว่าจะถึงวัดก็เลยเพลจนตะวันเอนลับยอดไม้เข้าช่วงบ่ายใกล้ๆเย็น บนกุฏิหลวงพ่อก็เงียบสงัดราวกับว่าทหารสองคนนี้มีนัดกับหลวงพ่อเป็นการส่วนตัว ทราบภายหลังว่าช่วงนั้นพระเดชพระคุณท่านอาพาธมานานหลายเวลา ญาติโยมจึงค่อนข้างบางตา ยกเว้นแต่พลทหารสองนายที่ถอดรองเท้าก้าวขึ้นไปบนกุฏิ หมอธวัชผู้เฝ้าไข้ เห็นทหารผู้มาไกลทั้งยังสู้อุตส่าห์ย่ำทุ่งมาร่วม16 กิโล จึงเอ่ยปากเชื้อเชิญด้วยน้ำใจไมตรี(ทราบภายหลังว่าหมอธวัชผู้นี้ อดีตเคยเป็นทหารเสนารักษ์ คนจึงเรียกหมอธวัชกันติดปาก) ให้เข้าไปกราบท่านถึงก้นกุฏิด้านใน หลวงพ่อนอนสงบนิ่งหายใจรวยรินอยู่บนเตียงเก่าๆ เสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรยิ่งใหญ่สมชื่อเสียงแม้แต่อย่างเดียว จะมีแต่เพียงสรรพบรรดาวัตถุมงคลสารพัดชนิด ที่กองรวมอยู่ในถาดวางกันเกลื่อนกลาดพื้นกุฏิ นานหลายนาทียังไม่มีทีท่าว่าหลวงพ่อจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด สองทหารผู้มาไกลมองนาฬิกาแล้วมองหน้ากัน หมอธวัชเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆหู พร้อมตะโกนดังๆย้ำเตือนอีกครั้งว่า "หลวงพ่อเขาเป็นรั้วของชาติ เขามาไกล มาขอให้หลวงพ่อช่วย” พอสดับรับฟังคำว่า"รั้วของชาติ"พลัน หลวงพ่อก็พูดสวนขึ้นมาราวกับกระตุ้นพลังในร่างกายของท่านอีกวาระหนึ่ง "เอ้ารั้วของชาติมาก็ต้องช่วย" พร้อมๆกันกับพยายามพยุงร่างอันผอมบางราวกับหนังหุ้มกระดูกให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง สองทหารก้มกราบท่านอีกครั้งหนึ่ง พนมมือมองหน้ากันนานชั่วอึดใจ ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก เหมือนอำนาจในตาท่านจะสยบทุกความคิดให้หยุดนิ่งในช่วงเสี้ยวนาที พลันมีแมวสีสวาทตัวหนึ่งเดินนวยนาดออกมาจากมุมกุฏิด้านใน จากความงามสง่าด้วยลักษณะของแมวมงคลแค่มองผ่านๆก็รู้ทันทีว่า เจ้าสีสวาทตัวนี้น่าจะเป็นตัวโปรดของท่าน พอเดินผ่านด้านหน้ามันก็หยุดแล้วจ้องหน้าสบตาไปทีละราย จนมาถึงหน้านายสถิตก็หยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ พอมองหน้าสบตากันมันก็กระโดดเข้ามานั่งบนตักคนหนุ่มชายชาติอาชาไนย ถ้าให้เดาเชื่อว่าคงจะไม่รักสัตว์ประเภทนี้เป็นแน่แท้ จริงดังนายสถิตที่เล่าต่อไปว่า พอแมวกระโดดเข้ามาสองมือที่พนมข้างหนึ่งจึงลดลงเพื่ออุ้มแมวออกจากตัว หลวงพ่อเห็นดังนั้นจึงยกมือห้าม พร้อมเอ่ยมาด้วยเสียงเบาๆแต่ทว่ามันดังก้องฟังแล้วหนาวจนหัวใจแทบหยุดเต้น "ไม่ต้องเอาเค้าออกแมวตัวนี้เขารู้ถ้าใครชะตาขาด ... เขาจะเข้าหาคนนั้น" ว่าแล้วท่านก็ชี้นิ้วมายังนายสถิตพร้อมบอกต่อไปว่า "ถึงไปก็ไม่มีชีวิตกลับ" ฟังหลวงพ่อพูดเพียงเท่านั้น หนุ่มวัยเบญจเพศแทบเป็นลม เหมือนกับว่าโลกกำลังแหลกสลาย นึกในใจว่า"ตายแน่ๆ เวรจริงๆ ชีวิตกู" หลวงพ่อพูดพลางชี้นิ้วไปรอบห้อง เอ่ยปากอนุญาตให้หยิบวัตถุมงคลได้ตามอำเภอใจ หนุ่มบ้านไกลสองคนรีบกุลีกุจอ หันซ้ายหันขวาเลือกพระสารพัดชนิดรวมใส่ถาดกันมาพอประมาณ เท่าที่จำได้หลายสิ่งในนั้นมีแหวนโล่ แหนบเหน็บกระเป๋า รวมทั้งพระสมเด็จอีกคนละองค์สององค์ พอเลือกได้แล้วจึงรวมกันเพื่อใส่ถาดพร้อมเสร็จสรรพ จึงยกมาประเคนใส่มือ เวลานั้นคำนวณตรงกับช่วงบ่ายแก่ๆของวันหนึ่ง ทหารสองนายได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า หลวงพ่อผู้ชราภาพ พระผู้กำลังอาพาธหนักมานานวัน แต่วันและเวลานั้นได้รวบรวมแรงพลัง ปลุกเสกของขลังให้กับคนใกล้ชะตาขาดอีกวาระหนึ่ง เนื้อที่ไม่พอ...ยังไม่ได้ครึ่งเรื่อง |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...










อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments