-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
หมวด พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525
พระสิวลี สมเด็จพระพุฒาจารย์ อาจ อาสโภ วัดมหาธาตุ




ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระสิวลี สมเด็จพระพุฒาจารย์ อาจ อาสโภ วัดมหาธาตุ |
อายุพระเครื่อง | - |
หมวดพระ | พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525 |
ราคาเช่า | 350 บาท |
เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | ศ. - 08 ส.ค. 2568 - 21:30.05 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | ส. - 09 ส.ค. 2568 - 10:15.32 |
รายละเอียด | |
---|---|
พระสิวลี สมเด็จพระพุฒาจารย์ อาจ อาสโภ วัดมหาธาตุ พระของท่าน องค์เล็ก ๆ ครับ... พระสิวลี เป็นพิมพ์ที่หายากครับ. ผสมผงเก่า บางขุนพรหม พิมพ์ เหมือน วัดประสาท (เดี๋ยว ไป ขัด กรอบ และตกแต่ง ให้สวยงามใหม่ ครับ ) สมเด็จพระพุทฒาจารย์อาจ วัดมหาธาตุ "พระผู้เป็นทองแท้ไม่กลัวไฟ" ... ......พระผู้บริสุทธิ์ แม้จะถูกกล่าวหา...เช่นไร ท่านก็ยังคง ปฏบัติตนด้วยความดี จนสามารถ ผ่านพ้น ห้วงเวลาแห่งความเลวร้ายได้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) มีนามเดิมว่า คำตา ดวงมาลา เป็นบุตรคนโตของนายพิมพ์ และนางแจ้ ดวงมาลา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 แรม 4 ค่ำเดือน 12 ณ บ้านโต้น ต.บ้านโต้น อ.เมือง จังหวัดขอนแก่น การต้องอธิกรณ์ ใน พ.ศ. 2503 เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ และมีข่าวว่าพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) อยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตาหลายครั้ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้ทั้งสองรูปพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ทั้งสองรูปปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าทั้งสองรูปฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดทั้งสองรูปออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 ต่อมาใน พ.ศ. 2505 พระมหาอาจได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาส และจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่หลายปี จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระเถระทั้งสองรูปคืนสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ช่วงปี พ.ศ.2505 มีข่าวใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์ เมื่อพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จรูปหนึ่ง ถูกกล่าวหาต้องอธิกรณ์ว่ามีพฤติกรรมบ่อนทำลายชาติและพระศาสนา ผู้กล่าวหา คือ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะสังฆมนตรีชุด พ.ศ.2503 ผู้ถูกกล่าวหา คือ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อวงการสงฆ์ไทย กาลต่อมา ท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม และผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มีนามเดิม คำตา ดวงมาลา ต่อมาเปลี่ยนเป็น "อาจ" เกิดเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2446 ที่บ้านโต้น ต.บ้านโต้น อ.เมือง จ.ขอนแก่น พ.ศ.2459 บรรพชาที่วัดศรีจันทร์ ต.บ้านโต้น จ.ขอนแก่น โดยพระอาจารย์หน่อ เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ เรียนอักษรลาวและหนังสือไทยควบคู่กันไป มีพระอาจารย์หนู เป็นครู จนมีพื้นฐานทางอักษรลาวและภาษาไทย พ.ศ.2460 สมัครเข้ารับการอบรมวิชาครูที่โรงเรียนประจำจังหวัด สอบไล่ได้เป็นอันดับ 4 บรรจุเป็นครูประชาบาลอยู่ 3 ปี ก็ลาออกเพื่อมาศึกษาพระปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ ช่วงแรกมาพำนักชั่วคราวที่วัดพระยายัง แล้วย้ายไปอยู่วัดชนะสงคราม สมัครเรียนบาลี-นักธรรมที่มหาธาตุวิทยาลัย วัดมหาธาตุ แล้วจึงย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุในความปกครองของสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ พ.ศ.2466 อุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดมหาธาตุ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระธรรมปัญญาบดี (สวัสดิ์ กิตฺติสาโร) เป็นพระกรรมวาจา จารย์ และพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตโต) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านพยายามฝึกฝนตนเองอย่างเต็มที่ ทั้งบุคลิก ลักษณะ ความประพฤติปฏิบัติ และความขยันหมั่นเพียร จนสำเร็จเป็นเปรียญธรรม 8 ประโยค เพียง 12 พรรษา ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศรีสุธรรมมุนี ก่อนขึ้นเป็นชั้นราชในราชทินนามเดิม ชั้นเทพที่พระเทพเวที ชั้นธรรมที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ สุดท้ายได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี พ.ศ.2528 เป็นพระมหาเถระฝ่ายอภิธรรมปิฎก และมีความรู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐาน เป็นแบบอย่างในสายวัดมหาธาตุสืบมา ท่านเป็นพระมหาเถระที่มีบทบาทต่อคณะสงฆ์ไทยอย่างสูง ทั้งทำนุบำรุงกิจการที่มีอยู่แล้วให้เจริญวัฒนาขึ้น และต่อเติมเสริมสร้างสิ่งที่ยังไม่มี อาทิ ด้านการปกครอง เป็นสมาชิกสังฆสภา เจ้าคณะตรวจการภาค 4 สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ฯลฯ ด้านการศึกษา เป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษา กรรมการแปลพระไตรปิฎก เป็นหัวหน้าตรวจสำนวนฝ่ายพระอภิธรรม ฯลฯ ด้านการเผยแผ่ เป็นพระธรรมถึก หัวหน้าคณะปรับปรุงและส่งเสริมพระศาสนาภาคพายัพ รองหัวหน้าคณะสมณทูตไปเจริญศาสนไมตรีประเทศพม่า จัดประชุมพระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศ 25 ปี เดินทางรอบโลกเผยแผ่การศาสนาและวัฒนธรรม ส่งพระภิกษุนักเรียนพุทธศาสนบัณฑิตไปศึกษาต่อปริญญาโท ปริญญาเอกในต่างประเทศ การขอพระอาจารย์ชั้นธรรมาจริยะจากประเทศพม่ามาช่วยสอนพระอภิธรรมปิฎก ฟื้นฟูวิปัสสนาธุระ ด้วยการจัดตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้นที่วัดมหาธาตุเป็นแห่งแรก เสริมสร้างให้วัดมหาธาตุฝึกสอนวิชาพระพุทธศาสนาเต็มบริบูรณ์ ทั้งฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จนเป็นสำนักศึกษาใหญ่ของพระภิกษุสามเณร และพุทธศาสนิกชนมาจนถึงปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นด้วยการเป็นพระนักเผยแผ่ ก้าวขึ้นมาเป็นนักปกครอง และเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ ด้วยวัยเพียง 46 ปี บ่งบอกถึงความสามารถขั้นเอกอุ แต่ที่พิสูจน์จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยคุณธรรมสูงส่ง จนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ คือเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในระหว่าง พ.ศ.2505-2509 ด้วยความที่อุตสาหะวิริยะ จนทำให้การศึกษาพระอภิธรรมปิฎกมาสถิตอยู่ในเมืองไทย ส่งผลให้ถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลว่า บ่อนทำลายความสามัคคีของคณะสงฆ์และถูกป้ายสี ว่ามีการ กระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ จนถูกจับสึกแล้วนำไปคุมขังเป็นเวลายาวนานถึง 5 ปี โดยคณะรัฐบาลยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้จะถูกบังคับจับสึก ถอดจากเจ้าอาวาส จากสมณศักดิ์ ปลดหน้าที่การงานทางคณะสงฆ์ทุกตำแหน่ง ท่านยอมทุกอย่าง แต่สิ่งที่ท่านไม่ยอมรับคือ ยังคงยืนยันในความเป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดเวลาที่ถูกคุมขัง ท่านยังรักษาประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย และนุ่งขาวห่มขาว กระทั่งกลับคืนสู่ร่มกาสาวพัสตร์อย่างสง่างามอีกครั้ง |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...










อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments