-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7

หมวด เครื่องรางของขลัง
พ่อครูฤาษี หลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ บางคณฑีใน จ.สมุทรสงคราม



| ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
|---|---|
| ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
| ชื่อพระเครื่อง | พ่อครูฤาษี หลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ บางคณฑีใน จ.สมุทรสงคราม |
| อายุพระเครื่อง | 47 ปี |
| หมวดพระ | เครื่องรางของขลัง |
| ราคาเช่า | 250 บาท |
| เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
| อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
| LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
| สถานะ |
|
| เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | พ. - 01 ต.ค. 2568 - 22:00.24 |
| แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | พ. - 01 ต.ค. 2568 - 22:00.24 |
| รายละเอียด | |
|---|---|
| พ่อครูฤาษี หลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ บางคณฑีใน จ.สมุทรสงคราม พระเครื่องของท่าน ใช้มวลสาร วิเศษ และ สร้างภายในวัดเท่านั้น หลวงพ่อตี๋ บอกว่า การสร้างพระทุกครั้งต้องมีเหตุมีผล ต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่คิดจะสร้างก็สร้างกันทันที ที่สำคัญ การสร้างพระทุกครั้งจะสร้างกันเองที่วัด ตำผง ผสมผง กดพิมพ์กันเองที่วัดทุกขั้นตอน ไม่ได้จ้างโรงงานที่ไหนทำให้ จึงมั่นใจได้ในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ และเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ว่า วัดบางคณฑีในไม่เคยสร้างพระแบบสุกเอาเผากิน ทุกอย่างล้วนกำเนิดขึ้นมาจากความตั้งใจจริงทั้งสิ้น การสร้างพระแต่ละครั้ง ท่านได้นำมวลสารศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ที่ได้สะสมไว้สำหรับการสร้างพระโดยเฉพาะ เช่น ผงวิเศษชนิดต่างๆ ที่ท่านได้เพียรลบผงด้วยตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการลบผงที่เขียนขึ้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น ในอุโบสถ หน้าโต๊ะบูชาครู ฯลฯ หรือการลบผงที่เขียนขึ้นตามฤกษ์ยาม เช่น ราชาฤกษ์ ที่เด่นทางความเจริญก้าวหน้า หรือ สมโณฤกษ์ ที่อำนวยผลทางด้านความร่มเย็น ฯลฯ หรือการลบผงแบบเฉพาะกิจ เช่น ขณะที่พระกำลังสวดพระปาฏิโมกข์ ก็ยังคงทำขึ้นอยู่เสมอๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการพร้อมที่จะสร้างพระได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมี ดินขุยปู ที่มีความขลังในตัวของมันเอง เป็นดินที่กองอยู่บริเวณปากรูปู ซึ่งเกิดจากปูตัวผู้ได้ขุดดินในรู แล้วอมขึ้นนำมาคายไว้บริเวณปากรู เพื่อให้เป็นจุดสังเกตของปูตัวเมีย ในการเข้ามาวางไข่ โดยเชื่อกันว่า ดินขุยปู เป็นของดีตามธรรมชาติ ในทางไสยศาสตร์ถือว่า ให้ผลทางด้านเมตตามหานิยม และถ้าต้องการให้ดินขุยปูนี้ครอบคลุมไปถึงด้านมหาอุด ครูบาอาจารย์จึงได้กำหนดไว้ว่า ให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากดอุดลงไปที่รูปู แล้วว่าคาถาก่อนพลีดินขุยปูนั้นมาใช้ หลวงพ่อตี๋ ยังมี ดินกากยายักษ์ ดินที่มีสีดำสนิท จากป่าในท้องที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เพียงแห่งเดียว ที่พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี นำมาใช้เป็นสวนผสมหลักอย่างหนึ่งของการสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน รุ่นแรก เมื่อปี ๒๔๙๗ โดยเชื่อว่า ดินกากยายักษ์มีเทวดาและยักษ์ คอยปกปักรักษาตลอดเวลา และมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ดินจอมปลวก (ในป่าลึก) ผงรังต่อ (สื่อความหมายถึง ต่อลาภ ต่อเงิน ต่อทอง รวมไปถึงการต่อทุกสิ่งทุกอย่างในทางที่ดีงาม ว่าน ๑๐๘ ชนิด ดินหน้าตะโพน ดินเจ็ดท่า ฯลฯ มวลสารทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนที่หลวงพ่อตี๋ ได้เพียรเสาะหาเพื่อนำมาผสมสร้างพระเครื่อง เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง ก่อนที่จะมีพิธีการปลุกเสกเพิ่มพุทธคุณอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อตี๋ ยังบอก ด้วย ว่า การปลุกเสกต้องทำตามฤกษ์ที่กำหนดไว้ โดยก่อนทำพิธีต้องตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีของพระพุทธเจ้าว่า....“ด้วยบุญกุศลที่ได้ทำมา และด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ขอให้พระที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก เป็นพระที่สามารถนำไปคุ้มครองชีวิตของผู้บูชาได้” หลวงพ่อตี๋ ได้ ที่ผ่านสร้างพระเครื่องไว้หลายรุ่น หลังจากแจกลูกศิษย์และชาวบ้านแล้ว ที่เหลือท่านจะนำไปบรรจุไว้ที่วัด เพื่อเป็นการสืบพระศาสนาต่อไป พอได้โอกาสฤกษ์งามยามดี ท่านจะสร้างพระรุ่นใหม่ออกมาแจกกันอีก เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา เมื่อปี ๒๕๒๑ ท่านได้สร้างพระตามแบบฉบับของท่าน ๔ พิมพ์ คือ ๑.พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ๒.พระปิดตามหาเสน่ห์ (ใบโพธิ์) ๓.พระพิมพ์ขุนแผน ๔.พิมพ์ฤๅษีบรมครู พระทั้ง ๔ พิมพ์นี้ ใช้เนื้อหามวลสารตามที่ได้สะสมไว้เก่าก่อน รวมทั้งผงวิเศษที่ท่านทำขึ้นเฉพาะพิมพ์ผสมลงไปด้วย เพื่อให้พระพิมพ์นั้นๆ มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ผสมผงเกี่ยวกับโชคลาภ พระปิดตาใบโพธิ์ ผสมผงด้านเมตตา พระพิมพ์ขุนแผน ผสมผงด้านมหาเสน่ห์ พิมพ์ฤษีผสมผงที่ให้ผลทางด้านคุ้มครอง และเจริญรุ่งเรือง สำหรับพระที่ท่านสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่เคยนำไปตระเวนเสก หรือนำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดอื่นใด ท่านจะเสกของท่านเพียงรูปเดียวเสมอ โดยให้เหตุผลว่า ๑.ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ๒.ช้างเผือกอยู่ในป่า ใครไม่เห็นคุณค่าก็ช่างมัน เมื่อปลุกเสกเสร็จ ท่านได้แจกพระออกไป ต่อมาปรากฏว่า มีประสบการณ์ ในหลายด้าน มีผู้คนจำนวนมากพากันมาขอพระจากท่านไม่เว้นว่าง ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของท่าน ที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย และเรื่องมากกับท่าน ท่านจึงตัดสินใจ เก็บพระชุดนี้ไว้ในกุฏิหลังเก่า และไม่เคยนำออกมาแจกใครอีกเลย เครดิต โพสต์ของ สํานักตักศิลาไสยเวทย์ สํานักตักศิลาไสยเวทย์ 24 กุมภาพันธ์ 2020 · พระครูพินิจสมุทรคุณ (หลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน จ.สมุทรสงคราม เจ้าแห่งท้องทุ่งบางคนที เทพเจ้านาเกลือเรือตังเก ศิษย์เอกพุทธาคม หลวงปู่สุด แห่งวัดกาหลง หลวงพ่อตี๋ ท่านเป็นชาวบางคนทีโดยกำเนิด ชื่อเดิมของท่านคือ “วินิจ” เกิดเมื่อ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ ณ บ้านบางคนที ตำบลบางคนที อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม โยมบิดาของท่านชื่อ “นายเจือ ศรีฉ่ำ” โยมมารดาชื่อ “นางเฉลิม ศรีฉ่ำ” มีอาชีพทำสวน หลวงพ่อบรรพชาอุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ณ วัดบางคณฑีใน เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๗ โดยมีท่านพระครูวิริยคุณ เจ้าคณะอำเภอบางคนที (เจ้าอาวาสวัดเกาะใหญ่) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูพิศาลสมุทรคุณ (หลวงพ่อหลา) วัดบางคณฑีใน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฏีกาทองสุข เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า “สุจิณโณ” หลวงพ่อเล่าว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเรียนวิชามามากที่สุดคือหลวงอาของท่านที่ชื่อ พระครูพิศาลสมุทรคุณ “หลวงพ่อหลา” อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑีในแห่งนี้ หลวงพ่อหลาเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญทั้งในด้านวิปัสสนากรรมฐานและคาถาอาคม โดยเฉพาะน้ำมนต์ ท่านว่าเด็ดขาดนัก รดแล้วหมดเคราะห์หมดโศก หรือจะเป็นวัตถุมงคลประเภทพระเครื่ององค์เล็กๆที่ก่ออภินิหาริย์ไว้มากมาย เรียกได้ว่าทั้งหมดทั้งปวงที่หลวงพ่อหลามีอยู่ได้ถูกถ่ายทอดมาสู่พระหลานชายของท่านองค์นี้จนหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว หลวงพ่อตี๋เล่าว่าสมัยที่ท่านไปเรียนและนอนอยู่ในกุฏิของ พระครูสมุทรธรรมสุนทร (หลวงพ่อสุด วัดกาหลง) มีวันหนึ่งท่านได้ตื่นขึ้นกลางดึกและได้หันไปมองตรงที่หลวงปู่สุดนอน ก็ไม่เห็นหลวงปู่สุด คงเห็นแต่เป็นเสือโคร่งตัวใหญ่นอนอยู่ ท่านว่าขยี้ตาหลายครั้งก็ยังมองเห็นแต่เสือ แต่ที่สุดของที่สุดแล้วเมื่อท่านระลึกได้ว่าหลวงปู่สุดท่านมีวิชาเสือสมิง ท่านจึงตั้งสติได้ ด้วยเหตุนี้แหละครับหลวงพ่อตี๋ ท่านจึงนับถือหลวงปู่สุด วัดกาหลงเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อท่านเรียนวิชาการสักยันต์ตะกร้อกับวิชาเสือสมิง ตลอดจนสรรพวิชาต่าง ๆจนจบแล้ว หลวงปู่สุดจึงได้มอบเข็มสักให้ท่านเล่มหนึ่ง ซึ่งเข็มเล่มนี้หลวงพ่อตี๋ท่านถือเป็นเจ็มเล่มครูของท่านเลยทีเดียว หลวงพ่อเล่าว่าวันหนึ่งท่านรู้สึกสนใจว่าทำไมคนจีนถึงเขียนยันต์ “ฮู้” ได้ขลังกันนัก...แล้วความขลังนั้นมันเกิดจากอะไร "เกิดจากตัวยันต์ หรือเกิดจากคนทำ" ด้วยเหตุนี้แหละครับท่านจึงได้เข้ามาเมืองกรุงเพื่อมาขอเรียนวิชากับท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) วัดโพธิ์แมนคุณาราม กรุงเทพฯ เพราะท่านสืบทราบมาว่า ท่านเจ้าคุณ เป็นพระที่เก่งมากและที่เด็ดขาดคือท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง เป็นพระจีนแต่เสกพระได้ขลังแบบพระไทย เล่ากันว่าท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งเรียนวิชามาหลายสำนัก ทั้งของจีนและธิเบต โดยเฉพาะ”วิชาเหมาซาน” ถือว่าทอดสายตาไปในแผ่นดินแล้วยากจะหาผู้ต่อกร เรียนยันต์ไทยก็ยากเอาเรื่องอยู่แล้ว พอมาเรียนยันต์จีนยิ่งหนักเข้าไปกว่าเก่า ปวดหัวตึบ “ภาษาจีนเป็นภาษาที่มหัศจรรย์ บางทีแค่ตัวอักษรเพียงตัวเดียวแต่สามารถเขียนและตีความหมายได้มากมาย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าผู้ใดที่จะเรียนวิชานี้จะต้องสามารถเขียนและอ่านภาษาจีนได้” ว่ากันว่า”ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น” เพราะหลวงพ่อตี๋ท่านได้ใช้เวลาไปมาหาสู่ระหว่างวัดบางคณฑีใน กับวัดโพธิ์แมนอยู่เกือบปี ท่านว่าในที่สุดแล้วก็บรรลุถึงทางออก โดยการจ้างให้พระจีนในวัดนั่นแหละ สอนภาษาจีนให้ท่าน จนท่านสามารถเขียนและอ่านภาษาจีนได้ชำนาญ จึงได้รับการสอนวิชาจากท่านเจ้าคุณ ซึ่งหลวงพ่อตี๋บอกพวกเราว่าท่านได้เรียนมาก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามสิ่งที่ท่านได้มากที่สุดจากการเรียนวิชากับท่านเจ้าคุณ คือเรื่องของ “สมาธิจิต” ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งของตำบลบางคนที เล่าให้พวกเราฟังว่าพวกเขามีอาชีพเกษตรกรทำไร่องุ่นเพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ตลาด ในช่วงที่ฝนตกชุกจะเป็นช่วงที่องุ่นเริ่มติดผล ซึ่งสภาพของดินฟ้าอากาศแบบนี้โรคและแมลงก็เจริญเติบโตเช่นเดียวกัน นอกเหนือไปจากการใช้ยาและตาข่ายปกคลุมต้นองุ่นแล้ว สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกันเป็นประจำคือการนำผ้ายันต์ของหลวงพ่อตี๋ไปปักไว้กลางสวน ผ้ายันต์ที่พวกเขากล่าวถึงคือ “ธงกฐิน” เชื่อกันว่า “ปักธงแล้วจะไม่มีแมลงมารบกวน” เชื่อกันว่า “ปักธงแล้วองุ่นจะปราศจากโรค” จะว่าไปแล้วเรื่องแบบนี้มันก็อธิบายกันยาก ว่าธงกฐินของหลวงพ่อตี๋มันมาเกี่ยวกับไร่องุ่นได้อย่างไร แต่พวกเกษตรกรเหล่านั้นก็ประสบผลสำเร็จกับวิธีการแบบนี้มาตลอด ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง จะเป็นว่าแมลงเหล่านั้นกลัว “รูปจรเข้คาบดอกบัว” หรือโรคพืชเดินทางมาพบ “รูปนางมัจฉาถือดอกบัว” ก็เลยเข้าใจผิดพากันอพยพไปลงที่อื่น แต่เรื่องแบบนี้ถ้าเพื่อนๆเคยศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ก็จะพบว่าในบริบทของสังคมไทยมีการใช้วิชาอาคมมากำหราบโรคห่า(ชื่อในสมัยนั้น) ซึ่งเรื่องของธงกฐินกับไร่องุ่นมันก็มาในทำนองนั้น ไม่แน่นะครับบางทีธงกฐินอาจเป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะของชาวเกษตรกรก็ได้ ปัจจุบันหลวงพ่อตี๋ท่านได้ละสังขารแล้ว เมื่อเมื่อประมาณ 05.00 น. ของ วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2553 สิริอายุรวมได้ 57 ปี |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...
อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments





