หมวด พระเกจิภาคตะวันออก
รูปถ่าย นิโรธสมาบัติ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม บ้านค่าย จ.ระยอง พ.ศ. 2507



ชื่อร้านค้า | ศิลป์เจริญพร - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | รูปถ่าย นิโรธสมาบัติ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม บ้านค่าย จ.ระยอง พ.ศ. 2507 |
อายุพระเครื่อง | 58 ปี |
หมวดพระ | พระเกจิภาคตะวันออก |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า) |
อีเมล์ติดต่อ | เนื่องจากมีลูกค้าติดต่อเช่าพระจำนวนมาก ดังนั้นเช่าผ่านLINE ID : @870rqvth จะติดต่อง่ายสะดวกสุดครับ |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | พ. - 22 เม.ย. 2558 - 21:33.57 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | ส. - 24 มิ.ย. 2560 - 15:27.28 |
รายละเอียด | |
---|---|
**รหัส ศ.ร.๔๐๒๐ รูปถ่าย นิโรธสมาบัติ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม บ้านค่าย จ.ระยอง พ.ศ. 2507 (รูปที่เก่งกว่าเหรียญ) รูปถ่าย นิโรธสมาบัติ หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม บ้านค่าย ระยอง รูปถ่าย นิโรธสมาบัติหลังยันต์พุทธเกษตร หลวงพ่อกัสสปมุนี สภาพสวยมาก สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม บ้านค่าย ระยอง เมื่อปี พ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย และบำเพ็ญภาวนา อยู่นานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้ง ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งที่พระองค์ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น ‘เขตพุทธาวาส’ ทั้งสิ้น ท่านจึงไม่ห่มคลุม และทุกแห่งที่ท่านไปนมัสการ ตามพุทธประวัติก็ดี ตามโบราณาจารย์ ว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจ หลวงพ่อท่านยังไม่เชื่อทีเดียว หากท่านลงมือนั่งภาวนา ‘ตรวจสอบ’ ด้วยองค์ท่านเองในที่ทุกแห่ง กระทั่งจิตท่านเห็นชัดว่า ณ สถานที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงทำกิจดังกล่าวแล้วจริง ๆ ท่านจึงเชื่อ และเมื่อท่าน ‘พิจารณา’ ด้วยฌานของท่านแล้ว ปรากฏว่าในทุกสถานที่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ทุกแห่งแฝงเร้นด้วยพระพุทธบารมีที่ยังคงอบอวลแผ่รัศมีอยู่ตลอดเวลา ภาพถ่าย นิโรธสมาบัติ หน้าสถูป หลวงพ่อท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำ อจินตา ขณะที่ท่านเข้าฌาน มีชาวต่างประเทศได้ผ่านมาพบและ ทำการบันทึกภาพท่านไว้ ภายหลังก็ได้นำรูปนั้นมาให้ท่านดู ปรากฏว่าท่านไม่พอใจมาก เพราะแอบถ่ายโดยไม่ขออนุญาต และเพราะท่านแต่งตัวไม่เรียบร้อย ท่านจึงดุเขา (เพราะท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม) และยึดทั้งรูปทั้งฟิล์มกลับมา ครั้นกลับเมืองไทยแล้ว คณะศิษย์อยากได้ของที่ระลึกจากท่าน ท่านจึงให้นำฟิล์มนี้ไปอัดออกมาเป็นรูปใบน้อย และยังเมตตาเขียนยันต์วิเศษที่ชื่อว่า ‘ยันต์พุทธเกษตร’ มอบให้ด้วยลายมือท่านเอง (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปวิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา) ศิษย์ได้นำยันต์พุทธเกษตรลายมือท่านไปบันทึกเป็นภาพถ่ายใบน้อยออกมาอีก 1 ใบ จากนั้นก็นำรูปหลวงพ่อกับรูปยันต์พุทธเกษตรนี้ประกบเข้าด้วยกัน แล้วนำมาถวายให้ท่านอธิษฐานจิตแจกผู้ศรัทธาในราวปี พ.ศ. 2508 –2509 หลวงพ่อเคยบอกว่า นิโรธสมาบัติ นี้มีอานุภาพมากนัก มิใช่แต่กุฏิของท่านเท่านั้น แต่กำลังแห่งนิโรธยังครอบคลุมไปทั่วภูเขา ‘สุนทรีบรรพต’ อันเป็นที่ตั้งวัด อย่าว่าแต่ของในกุฏิท่านเลย แม้กรวดหินหน้าวัดหากจะหยิบขึ้นมาแล้วตั้งจิตระลึกถึงท่านก็ยังมีอานุภาพได้ หลวง พ่อกัสสปะมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระที่หลวงปู่ดู่นับถือคุณธรรม -ท่านเคย เกิดเป็นฤาษี สมัยพุทธกาล จึงมีฤทธิของเก่าติดตามมามาก แม้ชาตินี้จะบำเพ็ญไม่นาน ก็สำเร็จธรรมขั้นที่น่าพอใจ ชาติ ปัจจุบัน ท่านเป็นข้าราชการชั้นสูง เกือบได้เป็นรองอธิบดี กระทรวงพาณิชย์ แต่ขอลาออกก่อนเกษียน เพื่อไปบวช เนื่องจากเกิดมรณานุสติ เห็นคนที่รู้จักเสียชีวิตอย่างกะทันหัน -ท่านสอนกรรมฐานแนวอานาปาน สติ แบบกำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียวล้วนๆ โดยไม่ต้องบริกรรมคำภาวนาใดๆทั้งสิ้น (ผมเข้าใจเอาเองว่า ท่านสำเร็จธรรมด้วยอานาปานสติ จึงมุ่งเน้นสอนศิษย์ของท่านในแนวนี้จริงๆ ว่าให้ทำแบบที่ท่านสอน คือ กำหนดลมหายใจล้วนๆ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมภาวนา เช่น คำสอนทีว่า "ดับความครุ่นคิดในใจทั้งปวงแล้วกำหนดรู้ลมหายใจเท่านั้น") -ท่านมีประสบการณ์ใช้อรูปฌานขั้นอา สานัญจายตนะประลองฤทธิกับฤาษีในอินเดีย ? (ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า หลวงพ่อกัสสปะมุนีท่านสำเร็จธรรมขั้นแสดงฤทธิ์ได้ เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์, แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์) -ระหว่างปฏิบัติ ธรรมที่อินเดีย ท่านใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ในการสนทนากับผู้อื่น ควบคู่กับภาษาฮินดี หลวงพ่อกัสสปะมุนี ท่านเก่งภาษาอังกฤษมาก เพราะเคยเรียนโรงเรียนที่มีบาทหลวงสอนมาก่อน -ท่านบำเพ็ญสมาธิขั้น นิโรธสมาบัติที่อินเดีย (ผมขออธิบายแทรกตรงนี้ว่า มีพระอนาคามี และ พระอรหันต์เท่านั้น ที่บำเพ็ญสมาธิคล่องแคล่วถึงขั้นอรูปฌาน จึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้) -ท่านเคยใช้อำนาจฌานสมาบัติ ช่วยลากตู้รถไฟทีอินเดีย 1) บันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2524 มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่ หลวงพ่อใช้พลังจิต"ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย"นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร. หลวง พ่อกัสสปมุนีตอบว่า "ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้ "อาโลกสิน"(แสงสว่าง,ความว่าง) ดึงรถไฟขึ้นไป..!!?!" วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ คณะของหลวงพ่อกัสสป ฉันอาหารเช้าแล้ว ได้เวลา ๙.๐๐ น. จึงพาพวกอุบาสกและ อุบาสิกาออกเดินทาง ไปยังสถานีเนาก้า เพื่อไปยังสวนป่าลุมพินีวันในแคว้นเนปาลอันเป็นสถานที่พระบรมศาสดาทรงประสูติ ถึงสถานีเนาก้าเวลา ๑๑.๐๐ น. แต่เจ้ากรรมแท้ๆ ... ที่พนักงานรถไฟแขกอินเดียมันมักง่าย ตัดรถตู้คณะของหลวงพ่อกัสสปมุนีออกปล่อยทิ้งไว้ อยู่ห่างจากตัวสถานีเกือบสามร้อยเมตร ตรงที่รถตู้ถูกตัดออกนี้เป็นที่ลาดต่ำกว่าที่ตั้งสถานี และห่างจากที่รถบัสจอดเกือบครึ่งกิโลเมตร ในคณะแสวงบุญของหลวงพ่อ มีอุบาสิกาอยู่ในวัยชราหลายคนจะต้องเดินไกล ทั้งตัวรถตู้ก็สูง บันไดก็ยิ่งลอยสูงขึ้นไปด้วย เพราะรถถูกตัดทิ้งไว้ในที่ลาดต่ำ แม้แต่ผู้ชายที่แข็งแรงอย่างนายเอื้อ บัวสรวง ก็ยังต้องเกร็งข้อโหนตัวลอยขึ้นไปยิ่งเป็นพระ เป็นผู้หญิงยิ่งทุลักทุเลใหญ่ ทำให้นายสุวรรณ เจามหาสุข ผู้อำนวยการเดินทางในครั้งนี้ และนายเอื้อ บัวสรวงโมโหมาก ปัญหาจึงมีอยู่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะให้ตู้รถแล่นขึ้นไปจอดบนชานชาลาเหนือสถานีได้ ใน ที่สุดปรึกษาตกลงกันได้ว่า ให้คณะแสวงบุญที่ขึ้นไปก่อนลงมาจากรถเพื่อให้รถเบาขึ้น แล้วจ้างพวกแขกสองสามคน และเด็กแถวนั้นให้ช่วยกันดันรถ แต่เมื่อทำดูแล้วรถไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย เพราะตู้รถไฟใหญ่กว่าตู้รถไฟในบ้านเมืองเรามาก มีน้ำหนักเป็นตันๆ และจะต้องดันให้เคลื่อนขึ้นที่สูงเสียด้วย มันต้องใช้ช้างสารฉุดถึงจะเขยื้อนขึ้นไปได้ ตอนนี้นายเอื้อ บัวสรวงเห็นหมดหนทางที่จะพึ่งแรงคน จึงคิดจะพึ่งแรงบารมีของพระเสียแล้ว จึงได้หันมาอาราธนาขอร้อง อาจารย์วิริยังค์ (ท่านเจ้าคุณญาณวิริยาจารย์) ช่วยให้รถเคลื่อนด้วยอานุภาพที่ท่านมีอยู่ เพราะมองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้ ก็ต้องพึ่งพระกันบ้าง ท่านพระอาจารย์วิริยังค์ ได้เข้าไปยืนข้างตู้รถไฟภาวนาอยู่สักครู่ก็ทำท่าดัน แล้วบอกให้ทุกๆ คนช่วยกันดันรถ แต่ดันเท่าไหร่ๆ รถก็ไม่มีทีท่าจะเขยื้อน นายเอื้อ จึงได้หันมาอาราธนาท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดยะลา ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะอำเภอยะลาและหลวงพ่อทิมวัดช่างไห้ ขอให้ช่วยแสดงอานุภาพทำให้ตู้รถไฟเคลื่อนที่ แต่ท่านทั้งสามองค์ก็ตอบตรงๆ ว่าไม่ได้ฝึกมาทางนี้ คือไม่ได้ฝึกทางอภิญญา สุดท้ายนายเอื้อ บัวสรวงหมดหนทางอับจนปัญญา จึงได้ขอร้องให้ หลวงพ่อกัสสปมุนี ช่วยด้วย “ยัง เหลือแต่หลวงพ่อกัสสป องค์เดียวเท่านั้น ผมเชื่อว่าคงจะไม่สิ้นหวังเสียทั้งหมด” นายเอื้อ บัวสรวง พูดค่อนข้างเสียงดังเปิดเผย พลางพนมมือนอบน้อม หลวงพ่อกัสสป จึงเอ่ยว่า “ทำไม มาเจาะจงอาตมา ก็ท่านเหล่านั้นยังรับไม่ไหว แล้วอาตมาภาพจะรับได้ยังไง” นาย เอื้อ บังสรวง ได้ยืนกรานว่า “ถึงอย่างนั้น ก็ขอให้หลวงพ่อเห็นแก่ญาติโยมผู้หญิง และคนแก่ เถอะครับ ที่จะต้องโหนตัวขึ้นรถ”ว่าแล้วก็ไหว้อีก หลวงพ่อกัสสปเห็นนายเอื้อมีความมั่นใจเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องช่วยสงเคราะห์ จึงบอกเบาๆ ว่า “โยมบอกพวกนั้นให้ดันรถพร้อมๆ กัน พอเห็นอาตมาเดินขึ้นหน้ารถก็ดันเลย” นายเอื้อก็รับคำเตรียมอยู่ข้าง ตู้รถไฟ จากนั้นหลวงพ่อกัสสป ก็เดินขึ้นไปทางริมรั้วสถานี ครั้นพอถึงหน้ารถตู้ นายเอื้อก็ร้องบอกให้พวกนั้นดันรถ เสียงรถเคลื่อนดังครืด แล่นตามหลังหลวงพ่อกัสสปมาได้หน่อยหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปจึงยื่นไม้เท้าให้นายเอื้อจับปลายไว้ นายเอื้อเอื้อมมือขวามาคว้าปลายไม้เท้าไว้ ส่วนมือซ้ายจับอยู่ที่ราวบันไดรถ หลวงพ่อจับหัวไม้เท้าไว้ข้างแล้วจูงนำหน้า เท่านั้นเอง ตู้รถไฟอันใหญ่โตหนักอึ้ง ก็แล่นปราดๆ ขึ้นไปตามรางสู่สถานีอย่างง่ายดายน่ามหัศจรรย์ สร้างความตะลึงงันให้แก่ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์ ดังกล่าวต่อหน้าต่อตา สุดที่จะกล่าวพรรณาเป็นอักษรภาษาใดๆได้...!!!!!! นับ ว่าหลวงพ่อกัสสป ได้ฝังรากความมั่นใจให้แก่นายเอื้อ และญาติโยมในที่นั้นว่า อานุภาพของพุทธศาสนานั้น เป็นของมีจริง ที่พระสาวกของพระพุทธองค์ สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น หรือวาระอันสมควรจะพึงแสดง! 2) ในบทความ “พลังจิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี” ในหนังสือ ปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปี แห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ นายเอื้อ บัวสรวง ได้เล่าถึงเหตุการณ์นี้ว่า “หลวงพ่อได้ชูไม้เท้า ยาวราว ๑.๕๐ เมตร เห็นจะได้ ยกชูไปในอากาศ แล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาให้ผม และหลวงพ่อตั้งท่าเดินหน้านำไป ผมก็คว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาให้ทันที ทันใดนั้นผมรู้สึกราวกับว่าถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป” มีบันทึกเก่า ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๔ มีศิษย์ท่านหนึ่งกราบเรียนถามหลวงพ่อกัสสปมุนีว่า ตอนที่หลวงพ่อใช้พลังจิต "ลากรถไฟขึ้นเขาที่อินเดีย" นั้น หลวงพ่อทำอย่างไร? ?หลวงพ่อกัสสปมุนี ตอบว่า "ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่ง และออกเดินนำหน้าทันที ไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่อิทธิวิธี หากเป็นการใช้ ?"อาโลกสิน" ดึงรถไฟขึ้นไป" -ท่าน เคยสั่งให้ลูกศิษย์อาราธนาท่านก่อนทำงานสำคัญ แล้วท่านจะช่วยให้สำเร็จ แม้องค์ท่านไม่อยู่ต่อหน้าศิษย์ก็ตาม (เท่ากับบอกเป็นนัยๆว่า หลวงพ่อสำเร็จด้านหูทิพย์ หรือทิพโสต) ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยสั่งศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า ??"เวลาจะทำอะไร ให้อาราธนาหลวงพ่อก่อนทุกครั้ง แล้วจะสำเร็จ" พอดีมีคนซึ่งมาใหม่คน หนึ่ง บังเอิญได้ยินคำสั่งของหลวงพ่อดังว่า จึงได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเชื่อถือสักเท่าไรว่า "ถ้า อาราธนาแล้ว ผมอยู่ตั้งไกล แล้วหลวงพ่อจะได้ยินหรือ..??" เมื่อได้ ฟัง หลวงพ่อกัสสปมุนีก็ย้อนตูมกลับมาทีเดียวว่า "ถ้าหลวง พ่อไม่ได้ยินแล้ว จะให้เรียกทำไม??!?" -ท่านเคยเจริญ ภาวนาที่ภูกระดึง แล้วพบพวกกายทิพย์ที่นำท่านไปดูสมบัติเก่าของท่าน สมัยเป็นจักรพรรดิ์จีน -ท่านสร้างวัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยมีพวกกายทิพย์ช่วยเหลือ -ท่านเคยเกิดเป็นจักรพร รดิ์จีนองค์หนึ่ง ผู้ช่วยเผยแพร่ศาสนาพุทธในจีน -ท่านเป็นสหธรรมิก กับหลวงปู่ครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน -เมื่อมรณภาพ แล้ว ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย ยังเก็บไว้ที่วัดปิปผลิวนาราม |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...









