พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว" พ.ศ. 2553 ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล-ศิลป์เจริญพร - webpra
VIP
"ร้านนี้พระเครื่องยุคเก่า สร้างโดยพระสุปฏิปันโน เจตนาการสร้างบริสุทธิ์ ที่นับถือบูชาได้อย่างสนิทใจ"

หมวด หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู - หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน - หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด

พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว" พ.ศ. 2553 ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล

พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว"  พ.ศ. 2553  ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล - 1พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว"  พ.ศ. 2553  ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล - 2พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว"  พ.ศ. 2553  ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล - 3
ชื่อร้านค้า ศิลป์เจริญพร - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว" พ.ศ. 2553 ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเล
อายุพระเครื่อง 12 ปี
หมวดพระ หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู - หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน - หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า)
อีเมล์ติดต่อ เนื่องจากมีลูกค้าติดต่อขอเช่าพระมาจำนวนมากต่อวัน ดังนั้นเช่าผ่านLINE จะติดต่อง่ายและสะดวกสุดครับ
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ เช่าแล้ว
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ พฤ. - 10 พ.ย. 2559 - 20:41.55
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ พ. - 14 เม.ย. 2564 - 14:07.53
รายละเอียด
**รหัส ศ.ร.๗๐๓๐
พระรูปหล่อ หลวงปู่เรือง วัดเขาสามยอด จ.ลพบุรี ตอกโค๊ต "ขว" พ.ศ. 2553 ก้นอุดผงวิเศษ สภาพสวย พร้อมเลี่่ยม

หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ปูชนียธรรมสถานเขาสามยอด

---------------------------------
อ.เมือง จ.ลพบุรี
ชาติภูมิ หลวงปู่เรืองท่านเป็นชาวบ้านสร้าง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2457 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล เป็นบุตรของนายคำพันธ์ นางศรี นามสกุลสุขสันต์ นามเดิม เรือง สุขสันต์
การศึกษา จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนขุนโคกปีบปรีชา อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อจบการศึกษาแล้วเป็นกำลังอันสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวประกอบอาชีพตามท้องถิ่น
อุปสมบทเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2477 ที่วัดสระข่อย ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี พระครูวิมลโพธิเขต (หลวงพ่อจำปา) เจ้าอาวาสวัดสระข่อย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูทัต วัดโคกมอญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฉัตร วัดท่าประทุม เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับฉายาอาภัสสะโร หลังอุปสมบทพำนักจำพรรษาที่วัดสระข่อย และสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นได้ออกธุดงควัตรไปตามสถานที่ต่าง ๆ
ปี พ.ศ. 2494 ธุดงค์สู่เขาสามยอดและพำนักภายในถ้ำพระอรหันต์ ( ปูชนียธรรมสถานเขาสามยอด ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ) และได้รับใช้สถานที่แห่งนั้นบำเพ็ญจิตภาวนามาโดยตลอด

หลวงปู่เข้ารับการอุปสมบทตามประเพณีชายไทย เมื่ออายุครบบวชจะต้องบวชทดแทนคุณบิดามารดา ท่าานอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ ที่ 6 ก.ค. 2477 (ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ) เวลา 14.08 น. ณ วัดสระข่อย ต.โคกปีบ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี อายุ 21 ปี (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7) โดยมี พระสมุห์จำปา (ต่อมาเป็น พระครูวิมลโพธิ์เขต) วัดสระข่อย อันเป็นเจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะตำบลโคกปีบ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพัด ธัมมะธีโร วัดโคกมอญ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโคกไทย) ต.โคกปีบ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฉัตร คังคะปัญโญ วัดต้นโพธิ์ ต.โคกปีบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อันมีพระครูพิบูล วัดท่าประชุม อ.ศรีมหาโพธิ์ เป็นเจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะอำเภอศรีมหาโพธิ์) ได้รับฉายาว่า “อาภสสโร” (อาภัสสะโร)
ท่านได้จำพรรษาและศึกษาพระธรรมพระวินัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์ที่วัดสระข่อย (อยู่ใกล้สระมรกตประมาณ 2 ก.ม.) เป็นเวลา 10 พรรษา โดยได้อยู่รับใช้ปฏิบัติพระอุปัชฌาย์พร้อมทั้งศึกษาวิชาต่าง ๆ จากพระอุปัชฌาย์ จนเป็นที่รักและไว้วางใจยิ่งจากพระอุปัชฌาย์

ด้านการศึกษาธรรมะ หลวงปู่ได้เรียนนักธรรมชั้นตรีและสอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรกนี้เลย (พ.ศ. 2477) จากสำนักเรียนที่วัดของท่าน พรรษาที่ 2 (พ.ศ.2478) สอบได้นักธรรมโท พรรษาที่ 3 สอบได้นักธรรมเอก จะเห็นได้ว่า หลวงปู่ให้ความสำคัญต่อการศึกษามาก และหาได้ยากยิ่ง ที่พระภิกษุเรียนเก่งขนาดสอบได้ปีละชั้น ทั้งที่พรรษายังน้อย อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น
__________________
เมื่อท่านเรียนจบนักธรรมแล้ว พระอาจารย์ฉัตร วัดต้นโพธิ์ อันเป็นพระคู่สวดของท่าน ได้มาขอท่านจากพระอุปัชฌาย์ให้ไปช่วยสอนธรรมะที่วัดต้นโพธิ์ ท่านก็ไปช่วยสอนอยู่ระยะหนึ่ง พร้อมกันนี้ท่านได้ศึกษาวิชาบาลีมูลกัจจายน์ และวิชาโหราศาสตร์สมุนไพรใบยาพร้อมด้วยวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ไปด้วย จนพรรษาพ้น 10 พรรษาแล้ว ท่านเห็นว่าได้ศึกษาวิชาการพอที่จะปกครองตนเองได้แล้ว จึงกราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกธุดงค์แสวงวิเวกประพฤติปฏิบัติธรรมไปในที่ต่าง ๆ โดยก่อนจากไป หลวงปู่ได้ขอผ้าจีวรจากพระอุปัชฌาย์ไปเพียง 1 ชุด พระอุปัชฌาย์ทั้งรักทั้งห่วงลูกศิษย์รูปนี้มาก แต่เพื่ออนาคตของศิษย์ท่านอนุญาตให้ไปได้ โดยได้ยกผ้าครองให้ทั้งชุด หลวงปู่กราบลาพระอุปัชฌาย์อันเป็นที่เคารพยิ่ง พร้อมทั้งกล่าวว่า “ผมไปแล้ว ผมจะไม่กลับมาอีก จะแสวงหาวิมุตติธรรมไปเรื่อย ๆ” จนทุกวันนี้ (ข้อมูลหนังสือเล่มนี้ ปี41) เป็นเวลากว่า 50 ปี แล้ว หลวงปู่ก็ยังไม่ได้กลับไปวัดบ้านเดิมอีกเลย
หลวงปู่ตัดสินใจเด็ดขาด สะพายย่ามแบกกลดเดินทางออกจากวัดไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น เช้าก็ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ หนทางสมัยก่อนยังไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ต้องใช้เกวียนเป็นส่วนมาก เดินทางธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคอีสาน หลวงปู่เดินทางธุดงค์ไปจนทั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินทางธุดงค์มาที่กรุงเทพฯ แล้วแวะจำพรรษาที่วัดท่าหลวง จ.นนทบุรี (ปัจจุบันไม่ทราบว่าเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอะไร) พอดีช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมาก ทำให้ฝ่ายพันธมิตร ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ได้มาทิ้งระเบิดแถว ๆ กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลเป็นจำนวนมาก ที่ท่านอยู่ก็ใกล้กองกำลังญี่ปุ่นจึงพลอยฟ้าพลอยฝน โดนระเบิดหล่นใส่ใกล้วัดเป็นประจำ ชาวบ้านในเขตนั้นก็ย้ายอพยพไปอยู่ยังต่างจังหวัดกันเกือบหมด มีญาติโยมมาถามหลวงปู่ด้วยความเป็นห่วงว่า หลวงปู่ไม่ย้ายไปต่างจังหวัดหรือ ? ไม่กลัวโดนระเบิดหล่นใส่หรือไง ? หลวงปู่บอก คนเราเมื่อถึงที่ตาย อยู่ตรงไหนก็ตาย ไม่มีใครหนีพ้นหรอก ตอนเครื่องบินมาทิ้งระเบิด หวอก็เปิดดังลั่นไปหมด เพื่อให้คนหลบภัยในที่กำบัง หลายคนวิ่งเข้าวัดหลบในอุโบสถบ้าง ทั่ว ๆ ไปบ้าง แต่หลวงปู่กลับนั่งภาวนาอยู่บนศาลาเฉย ๆ ไม่ไปหลบที่ไหน พระเณรอยู่ในวัดก็หลบกันหมด แต่ที่น่าแปลกคือ ระเบิดที่มาทิ้งเที่ยวแล้วเที่ยวเล่ากลับตกแค่รอบ ๆ วัด ไม่ตกในวัดเลย (ทิ้งตอนกลางคืน)
ระยะปลาย ๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ขึ้นอีสาน แล้วกลับมาอยู่ที่ จ.ลพบุรี ที่ถ้ำพิบูลย์ในปี พ.ศ.2489 (พรรษาที่ 13) (ถ้ำพิบูลย์อยู่ใกล้วัดพระบาทน้ำพุ ที่ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ในปัจจุบัน) หลวงปู่เรืองได้จำพรรษาที่ถ้ำพิบูลย์ 5 พรรษา ต่อมาทางทหารได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่วัดที่สร้างใหม่ เป็นที่เจริญ และใหญ่โตกว่าที่เดิม อีกทั้งไม่กันดาร เพราะที่ท่านอยู่นี้เป็นเขตของทหาร และทหารซ้อมยิงอาวุธอยู่บ่อย ๆ กลัวว่าจะเป็นอันตรายได้ อีกอย่างในหน้าแล้งกันดารน้ำมาก จึงขอให้ไปอยู่ที่วัดที่สร้างใหม่ แต่หลวงปู่ไม่ไป กลับเก็บกลดสะพายย่าม ธุดงค์เข้าป่าลึกไปเลย

ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่า เดินตามหลังเขาไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมลงจากเขา จนมาพบ ถ้ำพระอรหันต์ที่เขาสามยอด (เมื่อ พ.ศ.2493) หลวงปู่จึงตัดสินในอธิฐานจิตว่า จะไม่ไปไหนอีก จะอยู่จำพรรษาที่นี่ตลอดไป และจะไม่ลงไปจากเขานี้อีกด้วย ซึ่งเมื่อ 40 ปีกว่าก่อน ที่แถว ๆ นี้ยังมีเสือ มีช้าง และสัตว์ป่าชุกชุมอยู่ รวมถึงไข้ป่ารุนแรงด้วย
__________________
แรกที่หลวงปู่อยู่ ท่านไม่ลงไปไหนเลย รวมทั้งไม่ได้บิณฑบาตด้วย แต่ท่านก็อยู่ได้ ผู้เขียนได้สอบถามหลวงปู่ว่า 2-3 ปีแรก หลวงปู่ไม่ได้บิณฑบาตเลย ท่านอยู่องค์เดียวมาตลอด ไม่มีใครมาพบเห็นท่านเลย หลวงปู่อยู่ได้อย่างไร? และฉันอะไร? จึงอยู่ได้ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ฉันยอดไม้ ใบไม้ โดยเฉพาะยอดโสมซึ่งขึ้นอยู่บนเขามากมายก็ฉันมาตลอด อิ่มแทนข้าวก็อยู่ได้ ส่วนหน้าแล้งบนเขาไม่มีน้ำ แล้วหลวงปู่เอาน้ำที่ไหนดื่มและมาสรง (อาบ) หลวงปู่บอกว่า ก็ตัดเถาวัลย์ให้น้ำไหลจากเถาวัลย์ เอากระติกรอง แล้วนำมาฉัน วันละนิดเดียวพอแก้กระหาย เพราะอยู่ในถ้ำอากาศเย็นจึงไม่ต้องฉันบ่อย ๆ ส่วนน้ำสรง ก็ไม่ต้อง เพราะอะไร ก็เพราะเหงื่อไม่ค่อยออก กลิ่นตัวจึงไม่ค่อยมี ฝนตกทีก็ได้สรงกันที
หลวงปู่อยู่ที่บนเขามา 40 กว่าปีแล้ว โดยไม่ยอมลงไปไหน ระยะหลังค่อยดีขึ้นมาหน่อย เพราะมีผู้คนมาเจอท่านแล้วพากันบอกต่อ ๆ ไป จึงมีคนมากราบเยี่ยมเยียนบ่อยขึ้น พร้อมทั้งมีผู้ศรัทธาและทหารได้มาสร้างกุฏิให้พออยู่ได้ พร้อมทั้งถังใส่น้ำ แต่ก็พอใช้ระยะหนึ่งเท่านั้น พอหนาแล้งน้ำไม่ค่อยพอใช้เช่นเดิม ในปีที่ผ่านมามีพระเณรมาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อีก 2 รูป อีกทั้งมีสัตว์ป่ามาร่วมใช้ร่วมดื่มด้วย เช่น กระรอก กระแต นก สุนัข ไก่ป่า ฯลฯ ที่สำคัญมีลิง 2 ฝูงใหญ่ เป็นลิงป่าประมาณ 100 กว่าตัว จะมาทุกวัน วันละหลาย ๆ หน จนเชื่องขนาดจับเล่นได้ เพราะฝูงลิงมาอาศัยบารมีหลวงปู่อยู่ตั้งแต่แรกที่ท่านมาอยู่ จึงเป็นภาระให้หลวงปู่พอสมควร ทั้งเรื่องอาหารและน้ำ
ต่อไปนี้เป็นเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้เขียน (อรรถพรรักษา - พระมหาเสรี) ได้ฟังจากปากหลวงปู่เอง รวมทั้งฟังเล่าจากคนอื่น ๆ ที่ได้ประสบมา บุคคลที่เล่าให้ฟังนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งพยานบุคคลและสิ่งของ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง โดยไม่ได้ลำดับตอนแต่อย่างใด (ทางเว็บไซต์ได้นำมาลงเพียงบางเรื่อง บางส่วนเท่านั้น)

โดนรุมยิง 30 นัด รอดตายปาฏิหาริย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ที่ถือได้ว่าใกล้ชิดมาก ไปโดนรุมยิงด้วยปืนลูกซอง 10 กว่านัด ชนิดถูกรุมยิง โดนเข้าเต็ม ๆ 30 กว่านัด แต่รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์เหลือเชื่อ คือไม่เข้าแม้แต่นัดเดียว คน ๆ นั้นคือ นายสมใจ จันทร์สีดา บ้านโนนหัวช้าง 101/1 ม.7 ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นประสบการณ์ที่นายสมใจไม่เคยลืมเลยชั่วชีวิต เพราะยังมีบาดแผลเป็นจุดดำ ๆ ถ้าไม่ได้หลวงปู่ช่วยป่านนี้คงไม่รู้อยู่ภพไหนแล้ว
นายสมใจได้เล่าว่า เขาเองเป็นคนไม่กลัวใคร เป็นคนเอาจริง ไม่ก้มหัวให้ใคร เขาได้ไปชอบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่บ้านหมี่ ตามประสาลูกชาวไร่ชาวนา เมื่อชอบสาวก็ต้องหมั่นไปหา เพราะไม่มีเงินทุ่มเหมือนคนรวย ๆ ที่ซื้อหาความรักด้วยเงินทองได้ แต่ด้วยระยะทางจากบ้านใน อ.เมืองลพบุรี ไป อ.บ้านหมี่ ไกลพอสมควร จึงต้องขึ้นรถเมล์ ไปหาสาวบ้านหมี่ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความงามอยู่แล้ว หญิงสาวที่นายสมใจไปชอบ ก็เป็นคนสวยมาก เรียกว่าไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านเลยทีเดียว มีหนุ่ม ๆ จากต่างถิ่นในถิ่นมาชอบพอสาวคนนี้กันมาก จึงมักมีเรื่องมีราวกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่รุนแรงอะไร
__________________
นายสมใจอาศัย “ดักลอบต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว” จึงเดินทางไปบ้านหมี่บ่อย ๆ และด้วยเป็นคนขยันเอาจริงเอาจัง ไม่กลัวใคร ใจนักเลงดี จึงเป็นที่ชอบใจของญาติทางฝ่ายหญิง โดยเฉพาะตัวสาวเองชอบนายสมใจมาก ๆ เสียด้วย ทำให้ไอ้หนุ่มในหมู่บ้านไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นการหยามกัน จึงได้วางแผนที่จะเล่นงานนายสมใจ ได้ปรึกษากับพรรคพวก จะเก็บนายสมใจเสีย โดยไปดักรอที่ทางเข้าหมู่บ้าน มีปืนลูกซองไปคนละกระบอก ประมาณสามสี่คน

นายสมใจเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ตอนกลางคืนหลวงปู่เรืองมาหาในฝัน บอกวาให้ไปหาที่ถ้ำหน่อย แต่นายสมใจไม่ได้ไปเพราะว่ามีนัดกับสาวที่บ้านหมี่ พอทำธุระเสร็จก็นั่งรถเมล์ไปบ้านหมี่ ไปเจอเพื่อนจึงแวะไปเที่ยวบ้านเพื่อนก่อน พอตกเย็นจึงเดินทางไปบ้านสาว เวลานั้นใกล้ค่ำแล้ว ลงรถเมล์ที่ทางเข้าหมู่บ้านสาว เดินทางด้วยเท้าเข้าหมู่บ้าน ระยะทางประมาณ 500 เมตร เป็นที่เปลี่ยว
ขณะนั้นเอง มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น คือมีคนกลุ่มที่นั่งอยู่โคนต้นไม้ ระยะห่างประมาณ 30 เมตร ได้ลุกขึ้น แล้วร้องเรียกนายสมใจ เวลานั้นเริ่มมืดแล้ว จึงมองไม่ค่อยเห็นกัน พอนายสมใจได้ยินเสียงเรียก ก็ตอบว่า “ใครเรียกวะ” พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงปืนก็ดังขึ้น 2-3 นัดพร้อมกัน แรงปะทะทำเอานายสมใจเซไปเกือบล้ม แต่ยังไม่รู้ว่าโดนยิง พอได้สติขยับจะวิ่งหาที่กำบังเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหลายนัด นายสมใจได้ล้มลงทั้งยืน เพราะแรงปะทะของลูกปืน

สักพักมีเสียงพูดว่า “เรียบร้อย กลับเถอะ” นายสมใจพอรู้สึกตัวก็ชาไปหมด แขนข้างซ้ายยกไม่ขึ้น เอามือขวาลูบ ๆ ดู รู้สึกแสบ ๆ ร้อน ๆ แต่ไม่มีเลือดออกเลย จึงใจดีขึ้น รู้ว่าโดนยิง แต่ไม่เข้า เท่านั้นเองก็นึกถึงพระที่ห้อยคอมา รู้สึกสบายใจขึ้นมาก กำพระที่มีอยู่องค์เดียวคือ พระหลวงปู่เรือง นั่นเอง พยายามลุกขึ้นแต่ลุกไม่ค่อยได้ เพราะขัดยอกไปหมด จึงตัดสินใจคลานมาที่ถนนใหญ่ โบกรถมาโรงพยาบาลเมืองใหม่ลพบุรี พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 2-3 วัน เพราะช้ำในจากพิษกระสุน เขียวช้ำเป็นจ้ำ ๆ นับได้ 32 แผล ซึ่งยังเป็นแผลเป็นอยู่ทุกวันนี้ ขอดูได้ทุกเวลา หากไม่ได้บารมีหลวงปู่เรืองช่วยวันนั้นแล้ว นายสมใจบอกว่าคงไม่มีชีวิตกลับมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเป็นแน่
จดหมายจากทหารไทยในสมรภูมิเวียดนาม เมื่อปี 2512 ถึง อาจารย์เรือง เขาสามยอด

จากค่ายแบล์แคทร์ เวียดนามใต้
18 ส.ค. 12
นมัสการ มายังหลวงพ่อ

อื่นๆ...

Top