หมวด พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525
พระซุ้มกอเนื้อดิน หลวงพ่อยี ปญญภาโร วัดดงตาก้อนทอง พิษณุโลก พระสงฆ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์มากที่สุด
ชื่อร้านค้า | ศิลป์เจริญพร - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระซุ้มกอเนื้อดิน หลวงพ่อยี ปญญภาโร วัดดงตาก้อนทอง พิษณุโลก พระสงฆ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์มากที่สุด |
อายุพระเครื่อง | - |
หมวดพระ | พระเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ก่อนปี 2525 |
ราคาเช่า | 400 บาท |
เบอร์โทรติดต่อ | 0811178991 (สะดวกรับสายเวลา 18.00 - 20.00 น.) |
อีเมล์ติดต่อ | เนื่องจากมีลูกค้าติดต่อขอเช่าพระมาจำนวนมากต่อวัน ดังนั้นเช่าผ่านLINE จะติดต่อง่ายและสะดวกสุดครับ |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ | |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | พ. - 15 พ.ค. 2567 - 21:29.55 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | พฤ. - 16 พ.ค. 2567 - 06:19.58 |
รายละเอียด | |
---|---|
**รหัส ศ.ร.๒๒๒๙๐ พระซุ้มกอเนื้อดิน หลวงพ่อยี ปญญภาโร วัดดงตาก้อนทอง พิษณุโลก พระสงฆ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในประเทศไทย พระสงฆ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในประเทศไทย หลวงพ่อยี ปญญภาโร วัดดงตาก้อนทอง พิษณุโลก วัดดงตาก้อนทอง มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจที่สุด กล่าวคือ วัดนี้เป็นวัดที่หลวงพ่อยี ปัญญภาโร ซึ่งเป็นพระที่มีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในประเทศไทยเป็นผู้สร้าง และประวัติความเป็นมาของวัดก็มีความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อยีจนแยกกันไม่ออก ตลอดจนสืบเนื่องเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระพิสาลพัฒนาทร (ถาวร จิตตถาวโร) อีกด้วยในกาลต่อมา หลักฐานที่บันทึกเกี่ยวกับประวัติของวัดไม่ปรากฏออกมาเป็นเอกสารใดๆ ให้เราศึกษาค้นคว้าได้ แต่จะออกมาในรูปของการบอกเล่าปากต่อปากจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สมัยที่หลวงพ่อยีท่านยังมีชีวิตอยู่ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อยี เหล่านั้นล้วนได้เคยรู้ เคยเห็นถึงฤทธิ์อภิญญาของหลวงพ่อยี ว่าเป็นความจริงแน่นอน ดุจเดียวกันกับในสมัยพุทธกาลที่ พระอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมีฤทธิ์อภิญญากันทั้งสิ้น ในเมืองไทยเองก็มีพระอภิญญาอยู่หลายองค์ เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี ) หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และองค์อื่นๆ อีกที่ได้รับการกล่าวขวัญถึง ซึ่งหลวงพ่อยี ปัญญภาโร ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จากคำบอกเล่าต่างๆ นั้น ทำให้ได้ทราบว่า หลวงพ่อยีเป็นชาวจังหวัดลพบุรี เมื่อเล็กๆ อายุได้ ๘ ขวบ ได้อาศัยอยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ทราบชื่อแน่นอน แต่หลวงพ่อยีเรียกว่า “หลวงพ่อใหญ่” ได้ธุดงค์ออกป่าหลายแห่งจนอายุได้ ๒๑ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระธุดงค์ ออกเดินแบกกลด สะพายบาตรไปเรื่อยๆพักตามป่าตามเขา ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ เคยเข้าไปถึงพม่า เวียงจันทน์ และมาลายู หลวงพ่อยีท่านเล่าว่าท่านได้เดินธุดงค์หาความวิเวก จนจิตใจมองเห็น นรก สวรรค์ ยามที่ออกโปรดสัตว์ไนตอนเช้า จะมีเทวดา นางฟ้ามาตักบาตรให้ ตลอดเวลา ได้บวชเป็นพระถึง ๒๘ พรรษา อายุประมาณ ๕๐ ปี เมื่อเล็งเห็นว่าตนเองยังมีกรรมอยู่ จำเป็นต้องลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาส หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปหลายๆ จังหวัด ใช้ชีวิตแบบฆราวาสเต็มที่ จนครั้งสุดท้ายได้มาหักร้างถางพง ณ บริเวณที่เป็น วัดดงตาก้อนทองนี้ สมัยนั้นยังเป็นป่ารกชัฏอยู่ มีที่ดินทั้งหมด ๕๖๕ ไร่ เคยประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สักอยู่ยงคงกะพันชาตรีให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่พักหนึ่ง ต่อมาได้ออกบวชอีกเป็นครั้งที่ ๒ หลวงพ่อยีได้ตกลงใจยกที่ดินถวายเป็นของสงฆ์ เสียส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ให้คนเช่าต่อไป สิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดของวัดดงตาก้อนทอง คืออุโบสถใช้เวลาในการสร้างจริงๆ เพียง ๑ ปี ๖ เดือนเท่านั้นแต่ในการรวบรวมปัจจัยมาเป็นค่าวัสดุและแรงงานใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว งบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง ๖ - ๗ ล้านบาท การขนส่งวัสดุอุปกรณ์ต้องใช้ทางเกวียน เพราะสถานที่ในการก่อสร้างอยู่ห่างไกลมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยบารมีของหลวงพ่อยี งานก่อสร้างอุโบสถก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ และยังเป็นถาวรวัตถุที่งดงามอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ โยมผวน โตมา ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อยีได้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมาเป็นโบสถ์หลังนี้ หลวงพ่อยีได้ปัจจัยในการสร้างโบสถ์มาจากการใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ช่วยให้ลูกศิษย์มีฐานะร่ำรวยขึ้น แล้วบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นก็นำเงินไปช่วยท่านในภายหลัง ท่านสามารถเสกกระดาษให้เป็นใบละร้อย เสกดินให้เป็นทองคำ เสกใบไม้ให้เป็นเงิน หรือแม้บางครั้งก็เสกใบไม้เป็น กบ นำมาทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อยก็เคยปรากฏมาแล้ว หรือเรื่องการบิณฑบาตข้าวทิพย์จากเทวดาก็ตาม หลวงพ่อท่านเดินออกไปห่างจากครัว ไม่ถึง ๑๐ เมตร ท่านยืนทำสมาธิที่ต้นมะม่วงใหญ่ ไม่นานนักก็เดินกลับมาพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ เต็มบาตร ข้าวทิพย์นี้มีกลิ่นหอมแรงทิ้งไว้ก็ไม่บูดแต่จะแห้งไปเองเหมือนข้าวตาก จากการที่ท่านสร้างอุโบสถนี้ ทำให้ท่านต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ สถานที่พักของท่านคือที่โรงเรียนตะละภัฏศึกษา การแสดงฤทธิ์อภิญญาของท่านก็กระทำเป็นประจำ จนถึงบั้นปลาย ของชีวิต หลวงพ่อถูกพวกมิจฉาทิฏฐิกล่าวหาว่าท่านหลอกลวง แต่ด้วยสัจจบารมีของท่านอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ที่ท่านแสดงให้ปรากฏก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่บุคคลสำคัญๆ ระดับประเทศในขณะนั้น เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี นายสัญญาธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา พันเอกปิ่น มุทุกันต์ อธิบดีกรมการศาสนา และนายประกอบ หุตะสิงห์ อธิบดีศาล อุทธรณ์ เป็นต้น หลวงพ่อยีท่านสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตาว่า ท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้จริงหรือไม่ จากคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมการศาสนา คือพันเอก ปิ่น มุทุกันต์ ในขณะนั้นว่า หลวงพ่อยีได้นำบาตรมาให้ตนดูและได้เป็นคนเช็ดบาตรด้วยตนเองทีเดียว หลวงพ่อยี อุ้มบาตรออกไปยืนที่นอกชานกุฏิห่างจากผู้สังเกตการณ์ ไม่ถึง ๑๐ เมตร ท่านยืนนิ่ง หันหน้าไปแต่ละทิศ แล้วเปิดฝาบาตร ทำนองรับบาตรจากผู้ใส่เหมือนกับที่เราใส่บาตรทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อยีก็เรียกอธิบดีกรมการศาสนาเข้าไปหา ท่านส่งบาตรให้ พอยื่นมือไปรับมารู้สึกว่าบาตรหนักอึ้ง เปิดฝาบาตรดูปรากฏว่ามีข้าวสุกร้อนๆ เต็มบาตร มีกลิ่นหอมอบอวล เป็นข้าวชนิดมันปู กันบาตรมีลูกประคำทองอยู่ ๒ ก้อน ขนาดโตกว่าเม็ดข้าวโพด ซึ่งภายหลังเมื่อได้นำเข้ากรุงเทพฯ ให้ช่างทองบ้านหม้อดูก็เป็นทองคำบริสุทธิ์ นอกจากจะพิสูจน์เรื่องนี้แล้วหลวงพ่อยีเสกเหรียญเงินให้เป็นทองก็ได้ด้วย หลวงพ่อท่านแบ่งให้อธิบดีกรมการศาสนาครึ่งหนึ่ง ให้ประธานศาลฎีกาครึ่งหนึ่ง ครั้งเมื่อนำไปพิสูจน์ที่ร้านทองก็ปรากฏว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ เช่นเดียวกัน หลวงพ่อยีขญะทำพิธียืดเหรียญบาท ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อยี เช่น คุณสมหมาย-คุณณรงค์ศักดิ์ ตะละภัฏ คุณยรรยง ณ บางช้าง และลูกศิษย์อื่นๆ อีกมากมายก็สามารถที่จะยืนยันได้เป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อยีท่านมีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ สูงส่งมากมายเพียงใด ในระยะที่ผู้คนฮือฮากันถึงเรื่องความมหัศจรรย์ที่หลวงพ่อยีท่านได้กระทำขึ้นนั้น พระราชมุนี ( โฮม โสภโณ ) แห่งวัดปทุมวนาราม ก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่ต้องมาพิสูจน์ถึงความเท็จจริงนี้ให้ประจักษ์ หลวงพ่อถาวร ซึ่งในขณะนั้นเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุดของพระราชมุนีโฮม ก็ได้ติดตามมาด้วย และภายหลังก็ได้มาที่วัดดงตาก้อนทองอีกหลายครั้ง เพื่อศึกษาเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กับหลวงพ่อยี จนกระทั่งได้ประจักษ์แจ้ง ได้รู้ ได้เห็น เป็นที่ยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นจริงทุกประการ ไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงสงสัยอีกเลย หลวงพ่อยี มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เก็บศพใส่โลงทองไว้ในกุฏิทางด้านจังหวัดพิจิตร ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้สั่งเสียไว้กับศิษย์ใกล้ชิดคือ โยมผวน โตมา ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับวัดดงตาก้อนทอง นี้คือ ให้โยมผวน เป็นผู้ดูแลรักษาโบสถ์นี้ไว้อย่าไปอยู่ที่อื่น รอจนกว่าหลวงพ่อที่ ๒ จะมารับช่วงต่อ สำหรับโบสถ์ก็ระวังอย่าให้น้ำท่วม อย่าให้ไฟไหม้ ซึ่งเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างที่หลวงพ่อยีท่านทำนายไว้แล้วในปี ๒๕๒๙ นั้นเอง คือมีทั้งน้ำท่วม และไฟไหม้โบสถ์ และโยมผวนก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่ หลวงพ่อที่ ๒ จะมารับช่วงทะนุบำรุงวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองดุจกาลก่อนเสียที พอต้นปี ๒๕๓๑ หลวงพ่อถาวร ก็มาที่วัดดงตาก้อนทอง ประกาศว่าจะทะนุบำรุงวัดดงตาก้อนทอง ซึ่งในขณะนั้นมีสภาพเกือบจะเป็นวัดร้าง ด้วยการนำพระภิกษุ สามเณรมาจำพรรษาที่นี่ และจะทำให้วัดเป็นศูนย์กลางของชุมนุมชน โยมผวนขนลุกซู่ด้วยความยินดี ยกมือท่วมหัวว่าลูกรอดตายแล้ว หลวงพ่อมาโปรดลูกแล้ว ด้วยปฏิปทาที่แน่วแน่มั่นคง และจริยวัตรที่งดงามของหลวงพ่อถาวร ทำให้เกิดศรัทธาปสาทะแก่โยมผวนเป็นล้นพ้น ดังนั้นสมบัติต่างๆ ของหลวงพ่อยีที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ของท่าน มีเก็บรักษาไว้มากมายเพียงใด โยมผวนนำมาน้อมถวายให้แก่หลวงพ่อถาวร จนหมอสิ้น แม้กระทั่งข้าวทิพย์แห้ง ที่นางได้เก็บรวบรวมไว้นับสิบปี ก็นำมาถวายด้วย วันหนึ่งหลวงพ่อถาวร ท่านได้ทดลองอะไรบางอย่าง ด้วยการนำข้าวทิพย์มาหุงผสมกับข้าวธรรมดา วันนั้นปรากฏว่า กุฏิสุวรรณเนตรหอมตระลบอบอวลไปทั้งกุฏิ เพราะกลิ่นข้าวทิพย์โชยขจรขจายไปทั่ว ทำความแปลกประหลาดมหัสจรรย์แก่ผู้ได้พบเห็นเป็นยิ่งนัก หลวงพ่อถาวรย้ำว่า “ของแท้ ของจริง |