
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

ประวัติ วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร 
วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) 
หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโส 
ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ 
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พระผู้มีปัญญาหลักแหลม
เป็นที่หนึ่งในศิษย์ “ทายาทธรรม” ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
เมื่อเดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์
บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ปีนั้นอากาศที่เมืองเลยหนาวมากจนมือเท้าเป็นตะคริว
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านจึงพาพระเณร ตาผ้าขาว
ออกไปหาฟืนในบริเวณป่ารอบๆ หมู่บ้านโคกมน
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เล่าว่า
หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ที่มีความละเอียดอ่อน
รู้คุณค่าของเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง
ไม้ฟืนหากนำมาก่อไฟหุงต้มแล้วหากฟืนท่อนนั้นยังเหลือ
หลวงปู่ท่านจะเอาน้ำมาดับไฟให้มอดสนิท
และองค์ท่านจะจัดเก็บฟืนท่อนนั้นไว้ใช้หุงต้มในครั้งต่อๆ ไป
ท่านจะไม่ทิ้งฟืนให้ไหม้ไฟไปโดยเสียประโยชน์
หลวงปู่ชอบท่านจะไม่ให้พระเณรเถรชีในวัดก่อไฟผิงแก้หนาว
ท่านจะให้ลูกศิษย์แก้หนาวโดยการเดินจงกรมให้มากๆ
เพื่อปลุกเร้าธาตุไฟอบอุ่นร่างกาย
เว้นไว้แต่พระเณรเถรชีรูปนั้นๆ มีอาพาธรบกวนธาตุขันธ์
ท่านจึงจะอนุญาตให้ก่อไฟผิง
องค์ท่านเทศน์สอนลูกศิษย์ว่า ถ้ามัวแต่พากันมานั่งสุมหัวผิงไฟ
มันก็จะสุมหัวคุยกันตามประสากิเลสกิโลมันจะพาคุย
เรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาลามก
คุยกันแล้วก็ไม่พากันทำความเพียรเดินจงกรมภาวนา
พอดึกค่อนคืนก็ง่วงเหงาหาวนอน ต่างคนต่างคลานเข้ามุ้ง
ไปนอนกอดอีสาดอีหมอนทิ้งวันทิ้งคืนไปเฉยๆ
เอะอะขึ้นมาพออากาศหนาวนิดๆ หน่อยๆ
มันก็จะพากันเตรียมก่อไฟผิงอย่างเดียว
มัวแต่ห่วงร้อนห่วงหนาวอยู่อย่างนี้
เวลาไปอยู่ในป่าในเขาเจออากาศที่มันเย็นหนาวมหาโหดแล้ว
มันจะไม่พากันแข็งกระด้างค้างตายกันหรือ
ต้องฝึกฝนตนเองให้อยู่ได้กับทุกสภาพอากาศซิ
ฝึกตนเองให้อยู่กับร้อนให้เป็นอยู่กับเย็นให้ได้
ถ้าอยากอยู่สบายจริงต้องอยู่กับทุกข์ให้เป็น
เอาทุกข์เวทนานั้นแหละมาฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เข้มแข็ง
ถ้าหนาวมากก็อย่านอนขดอี้จู้เป็นครูหมอนกิ่ว
ถ้านั่งภาวนาอาการเหน็บชามันก็จะเกิดเร็ว
เวทนามันก็จะโหมใจอย่างหนัก ให้เดินจงกรมเอา
เดินให้มากๆ เดินให้นานๆ เดินเพื่อปลุกเร้าธาตุไฟ
ให้มาช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
หัดมีปัญญาตั้งแต่หนุ่มแต่น้อยสิ
เฒ่าชะแรแก่ชราแล้วมันจะได้ไม่โง่เง่าเต่าตุ่น
จะได้เอาสติปัญญาที่ตนฝึกฝนอบรมมา
ไปบอกสอนคนรุ่นหลังเพื่อสืบทอดปัญญาต่อๆ ไป...
หลวงปู่จันทร์เรียนถ่ายทอดคำสอนขององค์หลวงปู่ชอบ
โดยท่านหัวเราะอย่างใหญ่ ท่านปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นถ้ำสหายฯ
เวลาหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าเรื่ององค์หลวงปู่ชอบแล้ว
ดูสีหน้าแววตาท่านฮึกเหิมห้าวหาญดี
ฟังท่านเล่าแล้วเราพลอยสนุกสนานไปกับท่าน ถึงแม้จะต่างยุคสมัยกันก็ตาม
พระเณรเถรชีที่อยู่ปฏิบัติกับองค์หลวงปู่ชอบสมัยก่อน
แต่ละท่านจึงมีความอดทนต่อดินฟ้าอากาศ และความหิวโหยมากเป็นพิเศษ
เรื่องใดที่องค์หลวงปู่ชอบสั่งห้ามแล้ว พระเณรเถรชีจะต้องถือปฏิบัติกันให้ได้
หากผู้ใดปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ท่านไม่ได้แล้ว
จะอยู่ปฏิบัติร่วมสำนักกับท่านไม่ได้
พระเณรสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื้อด้านฝืนคำขององค์ท่าน...
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าปีนั้นอากาศมันหนาวมาก
แม่ชีที่วัดจึงพากันแอบเอาฟืนที่หลวงปู่ชอบและพระเณรหามาไปก่อไฟผิง
แม่ชีพากันนั่งผิงไฟคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก
โดยทิ้งท่อนฟืนไหม้ไฟไว้เป็นอนุสรณ์
การพูดคุยสนทนากันของแม่ชีกลุ่มนี้ในคืนนั้น
หลวงปู่จันทร์เรียนว่าคงจะมีเรื่องอะไร
ที่ไปกระทบกับ “ความรู้” ขององค์หลวงปู่ชอบ
พอรุ่งเช้าก่อนที่องค์ท่านจะออกไปบิณฑบาต
หลวงปู่ชอบท่านพาหลวงปู่จันทร์เรียนเดินไปดูที่โรงครัววัดป่าสัมมานุสรณ์
เดินตรงดิ่งมาที่กองไฟข้างโรงครัว
หลวงปู่ท่านเห็นท่อนฟืนไหม้ไฟทิ้งไว้อย่างเสียประโยชน์
องค์ท่านถึงกับพูดขึ้นมาว่า...
“ปาดโธ้ พวกนกกระยางขาวหมู่นี้
มันคือพากันมักง่ายใช้ของบ่เป็นแท้
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพ่อแก่มันบ่
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพระเณรเถรเฒ่าบ้างหรือ
มันบ่ฮู้หรือว่าพ่อแก่ของมันกับพระเณร
พากันไปลากฟืนจากป่ามาเมื่อยขนาดไหน
มันพากันเอาฟืนมาสุมไฟคุยกันเล่นจนดึกดื่น
ทิ้งให้ไหม้ไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร”
พอว่าจบหลวงปู่ชอบท่านเดินเข้าไปดุแม่ชีที่โรงครัว
เล่นเอาแม่ชีโขลกพริกไม่แหลก สับมะละกอไม่เป็นเส้น
มือสั่นใจสั่นกันทั้งโรงครัว องค์ท่านดุให้แม่ชีอย่างหนัก
และไล่แม่ชีหนีให้ไปอยู่ที่วัดอื่น
เล่นเอาแม่ชีกลุ่มนี้คอพับน้ำตาร่วงต่อหน้าองค์ท่าน
หลังจากหลวงปู่ท่านดุแม่ชีแล้ว
องค์ท่านก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านโคกมน
หลังฉันอาหารเสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียน
และพระเณรว่า ให้ท่านจันทร์เรียนกับพระเณรทั้งหมด
เอาบริขารไปเก็บไว้ที่กุฏิแล้วพากันออกมารวมตัวกันที่ศาลา
เรามอบหมายให้ท่านจันทร์เรียนเป็นหัวหน้า
พาพระเณรไปรื้อกุฏิแม่ชีออกจากวัดให้หมดทุกหลัง
อย่าให้หลงเหลือแม้แต่หลังเดียว
พวกนกกระยางขาวหมู่นี้เราจะไม่ให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
พวกว่ายากสอนยากแบบนี้เราจะไม่เอาไว้ให้หนักวัดหนักวา
คำสั่งองค์ท่านดูดุดันเด็ดขาด เล่นเอาพระเณรในวัดงงไปตามกัน
แต่ไหนแต่ไรก็เห็นแต่องค์ท่านไล่พระเณรเถรชี
ที่ว่ายากสอนยากให้ออกไปจากสำนักเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลวงปู่ท่านถึงกับสั่งให้รื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปจากวัดทั้งหมด
พระเณรได้แต่สงสัยไม่มีใครกล้าที่จะถามถึงเหตุผลจากองค์ท่าน
เมื่อพระเณรเอาบริขารของตนเองไปเก็บยังที่พักแล้ว
ต่างองค์ต่างหยิบเอาเครื่องมือในการรื้อถอนมารวมตัวกันที่ศาลา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกกับหมู่เพื่อนว่า
พวกท่านไม่ต้องทำหรอก พากันกลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาซ่ะ
เรื่องนี้ผมจะเป็นคนทำเองเพียงผู้เดียวเอง
หมู่เพื่อนถามท่านว่าครูบาจะทำองค์เดียวได้หรือ
กุฏิแม่ชีมีตั้งหลายหลัง กว่าจะรื้อถอนได้ทั้งหมด
ก็กินเวลาไปหลายวันถึงจะเสร็จ
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกหมู่คณะว่า ไม่เป็นไรหรอก
ผมทำองค์เดียววันเดียวก็เสร็จ
ท่านบอกหมู่เพื่อนให้กลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาเถอะ
เรื่องนี้ท่านจะเป็นธุระจัดการเอง
หมู่เพื่อนจึงพากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน
พอคล้อยหลังที่หมู่เพื่อนกลับไปแล้ว หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็เดินไปยังที่พัก
ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่ริมฝากฝั่งแม่น้ำสวย
หลวงปู่จันทร์เรียนเข้าไปกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า
ขอโอกาสขอรับพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ข้าน้อยมีเรื่องอยากกราบเรียนครูบาอาจารย์ซักเล็กน้อย
ข้าน้อยคิดว่าการรื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องไม่ยากหรอก
ใช้เวลาวันเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการตัดปัญหาทั้งหมด
ข้าน้อยว่าไม่ต้องรื้อมันหรอกกุฏิแม่ชี เอาไฟเผามันทิ้งทุกหลังไปเลยขอรับ
เอาไฟเผาทิ้งทั้งหมดไม่ต้องให้มันเหลือซากเหลือตอ
พอที่จะเอากลับมาสร้างใหม่ได้อีก
สิ้นคำพูดของหลวงปู่จันทร์เรียน
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงกับอุทานขึ้นมาว่า
“บ๊ะ...ท่านเรียนนี่ ท่านจะเอาไฟไปเผากุฏิทิ้งแบบนี้ได้ยังไง
นี่มันเป็นของสงฆ์นะ ถ้าท่านทำแบบนั้น
มันจะเป็นการกระทำผิดต่อพระธรรมวินัยนะ
ท่านเรียนนี่เว้าไปทั่วทีปทั่วแดน (ท่านเรียนนี่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย)
เราบอกให้ท่านไปรื้อบ้านแม่ขาว
เราไม่ได้บอกให้ท่านไปเผาบ้านแม่ขาวซ่ะหน่อย
ท่านไม่เข้าใจในคำพูดของเราหรือ”
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ว่า
“อ้าว...ในเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ต้องการให้แม่ขาวอยู่ที่นี่แล้ว
ก็เผามันทิ้งเลยสิ รื้อออกไปมันก็ยังเหลือไม้เก่าอยู่เหมือนเดิม
เวลาที่พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่อยู่วัดไปเที่ยววิเวกที่อื่น
พวกนี้เขาก็จะแอบเอาไม้เก่ามาสร้างกุฏิขึ้นมาใหม่อีก
มันก็จะวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้อีกเหมือนเดิม
ผมว่าไม่ต้องรื้อมันหรอก เผามันทิ้งทั้งหมดโลด
เพื่อตัดปัญหาที่เขาจะเอาไม้เก่ากลับมาสร้างกุฏิใหม่อีก”
หลวงปู่ชอบท่านว่า
“อ้าว...ถ้าหากวันข้างหน้ามีผู้มาขออาศัยใบบุญของวัดนี้ล่ะ
เราจะไปหาไม้ที่ไหนมาสร้างกุฏิให้เขาอยู่ล่ะ
ท่านเรียนนี่ก็ว่าไปเรื่อย เอะอะมะเทิ่งมาก็จะเผาทิ้งๆ อย่างเดียว
อย่างนี้มันไม่ถูกธรรมวินัยนะ”
หลวงปู่จันทร์เรียน
“ถ้าท่านอาจารย์ยังจะให้โอกาสคนอื่นเข้ามาพักอยู่ที่วัดนี้อีก
ข้าน้อยว่าบ่ต้องรื้อถอนมันออกไปหรอก มันเหนื่อยเสียเปล่า
รื้อออกแล้วยังจะเอากลับมาสร้างใหม่อีก
แบบนี้หมู่คณะเขาก็จะเหนื่อยเสียเปล่าๆ”
องค์ท่านหลวงปู่ชอบนิ่งฟังเหตุผลของหลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าสักพักหลวงปู่ชอบท่านก็ยิ้มขึ้นมา
หลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียนว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านเรียนกลับไปบอกหมู่คณะว่า
ไม่ต้องรื้อถอนกุฏิแม่ขาวแล้ว ให้พากันกลับไปเดินจงกรม
ภาวนาทำความพากความเพียรของใครของมัน
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกเรื่องนี้
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ต้องบอกหมู่คณะให้ยากหรอกขอรับ
ข้าน้อยบอกหมู่คณะแล้ว ข้าน้อยบอกหมู่เพื่อน
ก่อนที่จะเข้ามากราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ยิ้มไม่ว่าอะไรให้หลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่ท่านได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กลับไปทำความเพียรของตนเอง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า ต่อมาแม่ชีกลุ่มนี้
ได้พากันเข้าไปกราบขอขมาต่อองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ในเรื่องที่พวกตนได้ล่วงละเมิดคำสั่งขององค์ท่าน
เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง
หลวงปู่ท่านภาคทัณฑ์เรื่องนี้เอาไว้
และอนุญาตให้แม่ชีอยู่ปฏิบัติกับท่านที่วัดต่อไป
หลวงปู่จันทร์เรียนปฏิภาณไหวพริบของท่านเฉียบแหลมว่องไว
หากเป็นผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) แล้ว
ถ้าหลวงปู่ชอบท่านสั่งให้ไปรื้อกุฏิเช่นนี้ เราก็ต้องไปรื้อถอนตามคำสั่งขององค์ท่านแล้ว 
เพราะเราเป็นพระซื่อ (บื้อ) พลิกไหวสถานการณ์ไม่เป็นอย่างหลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเป็นพระที่มีปัญญาหลักแหลมเฉียบไว
ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะส่วนตัวของท่านโดยเฉพาะ 
สมัยเป็นพระหนุ่มเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
เรื่อง...อาจารย์ชอบ อาจารย์ช้าง 
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ 
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านกลาง ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย 
สถานที่แห่งนี้ต่อมาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมา แต่ปัจจุบันสำนักสงฆ์แห่งนี้ไม่มีแล้ว
เนื่องจากไม่มีพระเณรอาศัยอยู่จึงกลายเป็นสำนักสงฆ์ร้างไปในที่สุด 
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ก็ไม่เคยเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงเรื่องการร้างของสำนักสงฆ์บ้านกลาง 
และก็ไม่เคยเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ถึงเรื่องนี้ด้วย
เคยเรียนถามเรื่องสำนักสงฆ์บ้านกลางกับท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ
เพราะท่านพระอาจารย์สมศรีเคยมาพักภาวนาที่วัดแห่งนี้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบมาก่อน 
พระอาจารย์สมศรีท่านพูดถึงสถานที่แห่งนี้ว่า ภูมิเจ้าที่ที่นี่ดุ 
พระเณรองค์ไหนที่ศีลมัวหมองมักจะได้เจอดีกับเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ 
สมัยก่อนองค์ท่านหลวงปู่ชอบมักจะพาลูกศิษย์ไปฝึกฝนให้หายจากโรคกลัวผีอยู่ที่นี่
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาท่านอาจารย์จันทร์เรียนและสามเณรอีกรูปหนึ่ง
ไปเที่ยววิเวกที่เขตภูเรือ จึงได้มาพักภาวนาอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านกลาง 
หลวงปู่ชอบท่านพาพระอาจารย์จันทร์เรียนพักอยู่ที่นี่หลายวัน
จนอาจารย์จันทร์เรียนท่านคุ้นชินกับสถานที่ 
อาจารย์จันทร์เรียนท่านจึงเล่นๆ หัวๆ ตามประสาพระหนุ่ม
แต่เหตุการณ์ที่ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเจอเข้ากับตัวท่านเองนี้
ไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเจ้าที่เจ้าทาง เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับช้างป่าภูหลวง
ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเล่าให้ฟังว่า 
มีวันหนึ่งท่านทำข้อวัตรสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
หลังจากทำอาจาริยาวัตรกิจสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้ว 
หลวงปู่ชอบบอกท่านว่าอย่าพากันมัวเล่นมัวหัวมากนัก 
ให้พากันรีบสรงน้ำแล้วไปเดินจงกรมภาวนาเสีย 
ค่ำมืดมาหูตาจะพร่ามัวมองไม่เห็นทาง พวกสัตว์ป่ามันจะออกมาหากินในเวลาค่ำคืน 
เมื่อเห็นกันแล้วสัตว์จะกลัวคน คนจะกลัวสัตว์ 
พอหลวงปู่ชอบท่านบอกแล้วองค์ท่านก็เดินกลับที่พัก
วันนั้นท่านอาจารย์จันทร์เรียนบอกเรานึกยังไงก็ไม่รู้ 
เราอยากจะคุยมากเป็นพิเศษ เราจึงชวนเณรมานั่งคุยกัน 
ท่านคุยกันกับเณรอย่างสนุกสนานจนลืมเวลานาที ท่านนั่งคุยกันกับเณรจนค่ำโพล้เพล้เย้ตา 
มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อตนเองได้ยินเสียงไม้ไผ่หักดังโพล๊ะเพละๆ 
เสียงไม้ไผ่หักเพราะช้างป่าจากภูหลวงมันพากันลงมาหากินใบไผ่ในสำนักสงฆ์บ้านกลาง
อาจารย์จันทร์เรียนท่านได้ยินเสียงดังแบบนี้
ท่านจึงบอกเณรให้รีบกลับที่พักของใครของมัน 
ท่านกลับไปยังนั่งร้านที่พักของตนเองเอามุ้งกลดลงเ
พื่อจะนั่งซุ่มดูช้างอยู่ภายในมุ้งกลดของท่าน 
ท่านเห็นช้างป่าโขลงหนึ่งประมาณหกเจ็ดตัวพากันหักกินใบไผ่ 
และบังเอิญซ่ะเหลือเกินที่ช้างโขลงนี้มันดันพากันเดินผ่านมาทางนั่งร้านที่ท่านพักอยู่ 
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเล่าไปหัวเราะไป ท่านบอกเรากลัวช้างเป็นทุนอยู่แล้ว 
นึกในใจของตัวเองว่า ช้างเอ้ย...มึงอย่าผ่านมาทางนี้เด้อ 
มึงจะพากันไปทางไหนก็ไปซ่ะ อย่าผ่านมาทางนี้เด้อกูย้าน
ช้างป่ามันไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างนี้ มีช้างป่าใหญ่เชือกหนึ่ง
ท่านเข้าใจว่าน่าจะเป็นช้างป่าจ่าโขลง 
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้มันคงสงสัยมุ้งกลดของท่านว่าคืออะไรกันแน่ 
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้เดินตรงที่ลี่เข้ามายังที่พักของท่านอาจารย์จันทร์เรียน 
นั่งร้านไม้ไผ่ที่พักของท่านมันก็เป็นนั่งร้านแบบโล่งโจงโปงไม่มีหลังคาบังฟ้าบังฝน 
ที่พักของท่านไม่ต่างอะไรกับแคร่ไม้ธรรมดานี่เอง
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นช้างเดินเข้ามาใกล้ที่พักของท่าน 
ท่านบอกว่าตอนนั้นหัวใจของท่านเต้นรัวตุ่มๆ ต่อมๆ 
ท่านบอกเรากลัวช้างมากแต่เราก็ไม่ยอมวิ่งหนีมัน 
ท่านนั่งดูช้างอยู่ภายในกลด เห็นช้างยื่นงวงเข้ามาดมมุ้งกลดของท่าน 
ถึงตอนนี้อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก 
ท่านกลัวช้างจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นลงไปในขณะนั้น 
หลังจากช้างมันดมมุ้งกลดแล้วมันคงจะได้กลิ่นของคน 
ช้างตัวนี้จึงยื่นงวงเข้ามาดมสิ่งที่อยู่ภายในกลดเพื่อให้หายสงสัย 
ตอนช้างยื่นงวงเข้ามาดมกลดแบบแนบชิดติดเนื้อนี้ 
งวงของช้างเชือกนี้มาแตะถูกหน้าของท่านอาจารย์จันทร์เรียนพอดี
อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเท่านั้นแหละกล้วยเอ้ย...
เราร้องพุทโธดังๆ เพียงครั้งเดียวในใจ จิตเราก็รวมพรึ่บเข้าสู่อัปปนาสมาธิทันที 
จิตสว่างจ้าขึ้นมาในเสี้ยวเวลานาทีนั้น ช้างก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน 
กลัวก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ภูเขาเลากาทิวาราตรีก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด 
มีแต่ความสว่างไสวภายในจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนถึงรุ่งสางของวันใหม่
รุ่งเช้าวันใหม่จิตท่านก็ถอนออกมาจากสมาธิ 
ท่านลืมตาขึ้นมามองดูว่าช้างมันยังอยู่หรือไม่ ก็ไม่เห็นมีช้างเหลืออยู่ซักตัว 
ท่านก็ไม่รู้ว่าช้างโขลงนี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไร ท่านนั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา 
ขณะที่อาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งทบทวนขบวนความอยู่นั้น 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเดินมายังที่พักของท่าน 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดกับท่านอาจารย์จันทร์เรียนว่าท่านเรียนนั่งทำอะไรอยู่ 
รีบล้างหน้าล้างตาเอาบาตรเราลงมาศาลาได้แล้ว 
นี่ใกล้จะได้เวลาออกไปบิณฑบาตแล้วรู้ตัวไหม...
อาจารย์จันทร์เรียนท่านรีบลุกขึ้นเก็บมุ้งกลด 
ขณะที่ท่านกำลังเก็บมุ้งกลดอยู่นั้นองค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดให้ท่านว่า 
“มันเป็นอย่างนี้แหละคนเรา เวลาครูบาอาจารย์บอกสอนให้เดินจงกรมภาวนา
มันกลับไม่ทำ เอาแต่พูดคุยสนุกสนานตามประสาลมๆ แล้งๆ กันไปทั่ว 
พออาจารย์ช้างมาบอกมาสอนเท่านั้นแหละ ภาวนาจิตรวมดีจังเน๊าะ 
ต่อไปก็ให้ท่านเอาช้างเป็นอาจารย์เด้อ 
อาจารย์ชอบนี่สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาบ่เก่งเท่ากับอาจารย์ช้าง 
เรานี่อยากให้อาจารย์ช้างอาจารย์เสือมาหาพวกท่านทุกวัน
มันถึงจะได้ตั้งใจภาวนากัน อาจารย์ชอบนี่จะไม่ได้เมื่อยในการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์”
หลวงปู่ชอบท่านพูดจบแล้วก็ยิ้มเดินไปรอท่านอาจารย์จันทร์เรียนที่ศาลาหอฉัน 
ระหว่างบิณฑบาตหลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ท่านอีก 
หลวงปู่ชอบท่านเฉยไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเราเข็ดเขี้ยวไม่อยากเจอกับอาจารย์ช้างอีก 
พอสรงน้ำหลวงปู่ชอบเสร็จเมื่อไร ท่านก็จะรีบสรงน้ำตนเองทันที
และรีบเข้าที่เข้าทางเดินจงกรมภาวนาของท่าน
โดยที่หลวงปู่ชอบท่านไม่ต้องมาบอกซ้ำย้ำเตือน...
ผู้เขียนเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนว่า 
ท่านอาจารย์ดูออกจะอาจหาญชาญชัยกว่าพระเณรทุกองค์
ในบรรดาลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ท่านอาจารย์ยังกลัวช้างอยู่หรือ
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านตอบว่า อ้าว...สิบ่ให้เฮาย่านมันจั่งใด๋ 
(อ้าว...จะไม่ให้เรากลัวมันได้ยังไง) ก็ช้างมันตัวใหญ่กว่าเรานี่ 
ลองไปหือกับมันเบิ่งตี้ มันสิได้เหยียบเอาขี้แตกตาย 
ว่าจบอาจารย์จันทร์เรียนท่านก็หัวเราะห้าๆ ออกมา
เราเองก็อดที่จะขำไปกับท่านไม่ได้ 
ฟังครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท่านเล่าประสบการณ์สมัยที่ท่านยังปฏิบัติอยู่กับ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้วเพลินดี ได้ทั้งความสนุกสนาน 
ได้ทั้งข้อคิดหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เก็บระเบิดคืนเจ้าของ 
ในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๒๔-๒๕๒๕ 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเที่ยววิเวกและจำพรรษาอยู่ทางเขตเมืองเลย 
สมัยนั้นเป็นสมัยกลิ่นไอคอมมิวนิสต์ซ่อนหลบตัวเพื่อรอฟ้าวันใหม่ที่พวกเขาเฝ้าหวัง 
ตามเขตอำเภอปากชม น้ำโสม นายูง ยังมีกลิ่นไอควันไฟคอมมิวนิสต์อยู่ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก การซุกซ่อนอาวุธของคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไปตามป่าเขา 
ชาวบ้านสมัยนั้นหรือแม้แต่พระบางรูปยังมีใจฝักใฝ่ในคอมมิวนิสต์
หลวงปู่จันทร์เรียนออกจากบ้านวังผา มาพักอยู่ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน 
บ้านห้วยบ่อซืน ตำบลห้วยบ่อซืน อำเภอปากชม จังหวัดเลย
มีวันหนึ่งท่านเดินไปบิณฑบาตที่ในหมู่บ้าน 
วันนั้นท่านเดินบิณฑบาตผ่านอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยบ่อซืน
เจ้าอาวาสผู้นี้แกมีนิสัยไม่เหมือนพระทั่วไป
ชอบพกพาอาวุธทั้งปืนมีดติดตัวเป็นประจำ
ความประพฤติของอดีตเจ้าอาวาสผู้นี้เป็นเช่นไร
ชาวบ้านห้วยบ่อซืนในอดีตเป็นที่ทราบกันดี
แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรจานกาละมังผู้นี้เพราะติดคาในผ้าเหลือง
จึงปล่อยวางแกให้เป็นไปตามกรรมของตนเอง
ปรกติจานอันธพาลผู้นี้เวลาบิณฑบาตเจอกันกับหลวงปู่จันทร์เรียน
มักจะพูดจาถากถางดูถูกหลวงปู่จันทร์เรียนอยู่เป็นประจำ 
แต่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะอดทนในขันติวิริยะธรรมขององค์ท่านที่ฝึกมา 
เดิมทีหลวงปู่จันทร์เรียนก่อนท่านจะบวชนั้น ท่านเป็นคนใจร้อนวู่วาม 
แต่ความวู่วามของท่านถูกองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม กำราบให้สิ้น
จึงเหลือแต่ใจเดิมที่ท่านเป็นคนใจเร็วไว้ให้เห็นเท่านั้น
วันนั้นจานเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยบ่อซืนเดินบิณฑบาต
มาเจอกับหลวงปู่จันทร์เรียน จานท่านนี้ว่าให้หลวงปู่จันทร์เรียนว่า 
“ท่านเรียน เมื่อวานมีแผ่นดินไหวอยู่ญี่ปุ่น 
มีคนตายตั้งหลายคนท่านฮู้บ่ 
หลับหูหลับตาอย่างท่านจะรู้เรื่องอย่างนี้อยู่บ่ 
เฮาฮู้เรื่องนี่เพราะเราฟังวิทยุเด้”
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงว่าให้ 
“สนใจแต่แผ่นดินไหวอยู่ญี่ปุ่น 
สนใจแต่แผ่นดินไหวอยู่ประเทศนั่นประเทศนี่ 
รู้หมดว่าแผ่นดินไหวอยู่ไหนในโลกนี้ 
แผ่นดินกิเลสไหวในใจของตนเองคือบ่สนใจ 
ทุกวันนี้ไม่รู้หรือว่ากิเลสมันขย้ำหัวตัวเองมากแค่ไหนแล้ว” 
หลวงปู่จันทร์เรียนเตือนด้วยความหวังดีในธรรม
แต่เจ้าอาวาสท่านนี้กลับโกรธแค้นหลวงปู่จันทร์เรียน
ที่มาหักหน้าตนเองในกลางหมู่บ้านท่ามกลางญาติโยมที่กำลังจะใส่บาตร 
จึงเก็บแค้นฝังลึกในใจเพื่อรอการสะสางกับหลวงปู่จันทร์เรียน
ผ่านไปไม่กี่วันขณะหลวงปู่จันทร์เรียนกำลังเดินจงกรม
อยู่ทางโรงครัวของวัดป่าห้วยบ่อซืนในปัจจุบัน 
มีผู้ห่มผ้าเหลืองแอบเอาระเบิดมาปาข่มขู่หลวงปู่จันทร์เรียน
ที่ทางเข้าวัดป่าห้วยบ่อซืน ห่างจากท่านเดินจงกรมอยู่ประมาณร้อยเมตร 
เสียงระเบิดดังตู๊ม...ขึ้น หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกำหนดจิตดูที่มาทันที 
ท่านเห็นอลัชชีผู้นี้หลบอยู่ในพงหญ้ากำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ท่าน
หลวงปู่จันทร์เรียนทำท่าไม่สนใจ
เดินจงกรมของท่านต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
อลัชชีผู้นี้พอขยับเข้ามาใกล้แล้วเขาเอาระเบิดลูกที่สอง
โยนใส่หลวงปู่จันทร์เรียนอีกลูก
ระเบิดลูกที่สองตกอยู่ไม่ไกลหลวงปู่จันทร์เรียนมากเท่าไหร่นัก 
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันหนึ่งอันใดมิทราบได้ 
ถามหลวงปู่จันทร์เรียน ท่านก็บอกว่าไม่รู้ 
ระเบิดลูกนี้เกิดด้านไม่ระเบิดออกมาดั่งใจผู้ที่โยนหมายทำร้ายท่าน
ผู้ที่โยนระเบิดหมายทำร้ายท่านเห็นระเบิดไม่แตกจึงรีบถอยหนีหลบออกไป
หลังจากอลัชชีผู้นี้ถอยหนีไป
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงเดินไปเก็บลูกระเบิดที่อลัชชีทิ้งไว้
ท่านเอายางรัดถุงแกงมัดกระเดื่องลูกระเบิดเอาไว้ให้แน่น 
แล้วเก็บเอาระเบิดลูกนี้ไปเก็บไว้ยังที่พักของท่าน 
ท่านพิจารณาถึงจิตของผู้นี้ แม้ร่างกายจะหุ้มห่อด้วยผ้ากาสายะ
อันเป็นผ้าธงชัยแห่งอริยะ แต่จิตใจเขานั้นกลับตกต่ำดำดิ่งอยู่ในนรกอเวจี 
ท่านได้แต่ปลงใจสังเวชกรรมที่เขาได้กระทำลงไป
รุ่งเช้าบิณฑบาตหลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านนำระเบิดลูกเกลี้ยงลูกนี้ติดตัวไปด้วย
พอท่าเจอกับอลัชชีผู้นี้ขณะบิณฑบาต 
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงยื่นระเบิดลูกเกลี้ยงคืนให้เจ้าของ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “เอาของไปเล่นทิ้งขว้างไม่รู้จักเก็บกลับคืน 
ผมไม่อยากเป็นผู้เก็บภาระของเล่นให้กับท่าน เอ้า...ไป ผมเอามาคืนให้”
ผู้ที่ขว้างระเบิดใส่ท่านเห็นระเบิดที่ตนเองขว้างใส่
หลวงปู่จันทร์เรียนที่ท่านยื่นให้ ถึงกับหน้าเผือดถอดสี
เกิดความกลัวหลวงปู่จันทร์เรียนขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
มีอาการตัวสั่นงันงกเมื่อเจอหน้าหลวงปู่จันทร์เรียน 
จนพ่อตู้เสน บ้านห้วยบ่อซืน ที่รอใส่บาตรในขณะนั้นบอกว่า
“อาจารย์กลัวอาจารย์จันทร์เรียนเกือบใจขาดตาย”
อลัชชีผู้นี้ตรอมใจเป็นไข้อยู่หลายวันเพราะกลัวหลวงปู่จันทร์เรียน
ได้มากราบขอโทษหลวงปู่จันทร์เรียน 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “กรรมท่านกับผมนั้นมันจบกันแล้ว 
แต่กรรมพรหมจรรย์ที่ท่านทำไว้ในพระศาสนานั้นท่านต้องรับเอาเอง”
จากนั้นมาอลัชชีผู้นี้ไม่กล้าเบียดเบียนหลวงปู่จันทร์เรียนอีกเลย
พอผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน ได้เห็นเจ้าอาวาสวัดบ้านท่านนี้ 
ดูกิริยาวาจาการกระทำของเขาไม่มีความเป็นพระให้เรามองเห็นเลย 
นอกจากกายห่มผ้าเหลือง ต่อมาแกเกิดป่วยเดินไม่ได้อยู่พักหนึ่ง 
สุดท้ายญาตินำกลับไปรักษาและไปตายอยู่ที่บ้านของตนเอง
นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนให้หลวงปู่จันทร์เรียนทราบ 
ถามท่านว่าคนๆ นี้จะไปไหนท่านอาจารย์ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก
“อย่าถามว่ามันอยู่สูงซ่ำใด๋ ให้ถามว่ามันอยู่ต่ำซ่ำใด๋พอ”
ถามท่านว่าตอนนี้คนๆ นี้อยู่ที่ไหน 
ท่านก็บอกชื่อนรกที่ผู้นี้กำลังเสวยทุกข์อยู่ให้ฟัง
เรื่องนี้มันมีเกิดขึ้นในพระศาสนาแล้ว เรื่องนี้มันมีเกิดขึ้นในชีวิต
เรื่องราวของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พระผู้เป็นพี่ชายทางธรรมของเรา 
เราจึงเขียนเรื่องของหลวงปู่จันทร์เรียนไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ศึกษา
บันทึกโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน อ.ปากชม จ.เลย
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไว้วางใจให้ดูแล “เหล็กไหล” 
เรื่องเหล็กไหลนี้ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเมตตาเล่าไว้
เมื่อคืนวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ 
ในงานครบรอบวันคล้ายวันมรณภาพขององค์หลวงปู่ชอบปีที่ ๒ 
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ขณะยืนคุยกับหลวงปู่จันทร์เรียน ที่หน้าศาลาเมตตาฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
แล้วได้เห็นวัตถุแสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาจาก
“เจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์” ขนาดเท่ากับไข่ไก่ 
จึงชี้ให้พระอาจารย์จันทร์เรียนดู พอเห็นแล้วท่านบอกว่า 
“บ่มีอีหยังดอก เหล็กไหลเขาแสดงให้รู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่
ไม่ได้ไปไหน เขาออกมาแสดงเฉยๆ”
แล้วหลวงปู่จันทร์เรียนท่านเล่าให้ฟังต่อว่า
เหล็กไหลอันนี้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้มาจากเมืองลาว
ทีแรกเขาจะมอบต่อให้กับลูกชายของเขา
แต่ลูกชายของเขาประพฤติตนไม่ดี เป็นโจรเป็นขโมย
เขาจึงเอามามอบถวายให้กับหลวงปู่ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเดินได้อยู่
พอหลวงปู่ท่านอาพาธเดินไม่ได้ คืนนั้นเรานอนเฝ้าหลวงปู่อยู่ที่กุฏิท่าน
หลวงปู่ชอบท่านบอกให้เราไปหยิบย่ามท่านมา
และให้เราล้วงลงไปเอาห่อผ้าห่อหนึ่งในย่ามของท่าน
หลวงปู่บอกท่านจะมอบของที่อยู่ในห่อผ้านี้ให้เราเป็นผู้ดูต่อจากท่าน
นอกจากเราแล้วท่านไม่ไว้ใจใครในเรื่องนี้
เราถามท่านว่า พ่อแม่ครูจารย์ในห่อผ้านี้มีอะไรหรือ
หลวงปู่ท่านบอกว่า เหล็กไหล 
พอรู้ว่าเป็นเหล็กไหลเราจึงเปิดห่อผ้าออกดู 
มันเป็นก้อนสีดำเล็กๆ ขนาดเท่ากับเม็ดถั่วลิสง 
เหล็กไหลมันก็แสดงฤทธิ์ออกแสงให้เราเห็น
เราพิจารณาดูไม่มีประโยชน์ที่เราจะเก็บเอาไว้รักษา
เราจึงปฏิเสธที่จะรับดูแลเหล็กไหลต่อจากหลวงปู่
องค์หลวงปู่ชอบท่านก็เลยว่า 
ท่านไม่อยากให้เหล็กไหลอันนี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นถ้าไม่ใช่เรา 
ถ้าตกไปอยู่ในมือของคนชั่วมันก็จะนำเอาไปทำความชั่วได้ 
ถึงจะเป็นคนดีก็ตาม แต่พอมีของที่มีฤทธิ์เดชอยู่ในมือ
ก็จะเกิดลำพองตนหลงผิดไปทำชั่วได้ 
เพราะถือว่าตนเองมีของมีฤทธิ์อยู่ในตัว จะเกิดประมาทหลงไปทำผิดได้
พอเราไม่รับดูแลรักษา องค์หลวงปู่ชอบท่านเลยว่า
ถ้าอย่างนั้นเราจะสร้างเจดีย์เพื่อเก็บ “เหล็กไหล”
และบรรจุของเก่า ของโบราณ สมบัติของพระศาสนาไว้ที่นี่ 
เจดีย์หลังนี้จึงเกิดจาก “เหล็กไหล” เป็นเหตุ
“เจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์” เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ 
แล้วเสร็จในปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเล่าให้ฟังว่า 
สิ่งสุดท้ายที่บรรจุบนเจดีย์ คือ “เหล็กไหล”
โดยองค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้มอบเหล็กไหล
ให้หลวงปู่จันทร์เรียนเป็นผู้นำขึ้นไปบรรจุแทนองค์ท่าน
วันที่บรรจุเจดีย์ คือ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๖ 
ซึ่งตรงกับงานวันเกิดขององค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ตอนกลางวันบรรจุพระกับของโบราณไว้บนเจดีย์ 
ส่วนเหรียญและวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงปู่
ที่มีการสร้างมาตั้งแต่ต้นจนถึงปีสองหก 
หลวงปู่ท่านให้ เรากับหลวงพ่อบัวคำ (มหาวีโร) นำขึ้นไปบรรจุ 
เฉพาะเหรียญรุ่นแรกขององค์หลวงปู่ชอบที่นำขึ้นไปบรรจุบนเจดีย์
มีจำนวนหลายร้อยองค์ เราห่อพลาสติกอย่างดีใส่ลงในบาตร 
โบกปูนทับอีกชั้นให้แน่นหนา 
เพื่อกันคนจะแอบมาแคะเอาเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่
ตกกลางคืนหลวงปู่ท่านชวนเราออกมาดูเจดีย์ 
ท่านยื่นห่อผ้าที่ห่อเหล็กไหลให้เรา 
ท่านบอกให้เรานำเหล็กไหลขึ้นไปบรรจุด้วยตัวเอง 
และให้เราขึ้นไปคนเดียว ห้ามคนอื่นตามขึ้นไปดูเป็นอันขาด 
ก่อนที่เราจะขึ้นไปบนเจดีย์ หลวงปู่ท่านบอกเราให้จัดการเองทั้งหมด 
“ท่านเรียนจะเก็บเอาไว้ตรงจุดไหนก็แล้วแต่ท่าน ตามท่านจะเห็นสมควร” 
เราจึงเจาะผนังเจดีย์บรรจุเอาไว้ทางด้านนี้ หลวงปู่จันทร์เรียนชี้ให้ดู
ผู้เขียนได้สอบถามหลวงปู่จันทร์เรียนเพิ่มเติมว่า 
“ส่วนตัวผมนั้นไม่เคยเห็นเหล็กไหลของจริงเหมือนท่านอาจารย์
เคยเห็นแต่แม่เหล็กที่เขาเอามาหลอกกันว่าเป็นเหล็กไหล 
หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า 
เหล็กไหลเกิดจากฤทธิ์ของเทวดาร่วมกันใช้ฤทธิ์นิรมิตขึ้นมา 
และอีกทางหนึ่งเกิดจากท่านผู้ทรงฤทธิ์อภิญญาเสกสร้างขึ้นมา 
ผมอยากได้ยินเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์อีกทางหนึ่ง
เพื่อมาประกอบกันกับเรื่องที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง”
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านตอบว่า
“ก็อย่างที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟังนั่นแหละ 
ความรู้เรื่องพิศดารในสามแดนโลกธาตุนี่มันก็สุดที่หลวงปู่ชอบนั่นแหละ 
อะไรจะบังความรู้ของท่านได้ เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น 
ต่อให้หนีไปหลบบังภูเขาเป็นร้อยลูก 
หลวงปู่ชอบท่านก็ยังค้นหาเจอด้วยญาณความรู้ของท่าน 
เรื่องกิเลสมันลึกลับกว่านี้อีกท่านก็ยังค้นหาจนเจอ ประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ 
เรื่องนี้ก็ตามที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังนั้นล่ะ 
ของมีฤทธิ์มันก็คู่กันกับผู้มีฤทธิ์ บ่เห็นมันแปลกอีหยังเลย”
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
 
หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ











 
 





 
 


